วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

26: ความเห็นที่แตกต่าง

อัศวเมธ: 16-08-2011, 03:03 AM #3865
ผมต้องขออภัยต่อนักรบธรรมผู้ใฝ่ในธรรมทั้งหลาย ไว้ในเบื้องต้นก่อน ผมใคร่ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีสติให้มาก ๆ แล้วจงกลับสู่ความเป็นปกติธรรมดา ๆ อย่าได้ไหลหลงในมายาจิตที่ปรุงแต่งขึ้นออกไปจากแนวทางพระธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- การแสดงพลังอำนาจทางจิต เป็นของธรรมดาของผู้ที่ปฎิบัติทางจิตอย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิจสินธ์ แค่จิตที่เป็นสมาธิในขั้น อุปจารสมาธิ อัปปานาสมาธิ ก็สามารถแสดงพลังอำนาจทางจิตที่เหนือธรรมชาติได้แล้ว หากท่านมีจิตที่ตั้งมั่น อนึ่งลำดับขั้นทางจิตตั้งแต่ ขนิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปานาสมาธิ ปฐมฌาน .... จนถึงอรหัตมรรค อรหัตผล ศึกษาได้จากบทสวดในยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก สภาพจิตแห่งองค์สมาธิ องค์ฌาน เป็นอย่างไรศึกษาโดยละเอียดได้จากคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งองค์พระพุทธโฆษาจารย์ ได้รจนาไว้ในราวพุทธศตวรรษที่ 9 หลังพุทธปรินิพพานประมาณ 956 ปี ซึ่งได้อธิบายไว้อย่างละเอียดทั้งทางด้านสมถะกรรมฐาน คือฐานแห่งการงาน ทั้ง 4 บรรพ คือกาย เวทนา จิต ธรรม และ วิปัสนากรรมฐาน คือการใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ ไตร่ตรองตามความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ ที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนันตา
- วัน เวลา ณ ปัจจุบันในทางพระพุทธศาสนา เราอยู่ในช่วงภัทรกัปป์ คือ กัปป์ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์ คือ นะ โม พุทธ ธา ยะ (นะ : พระกกุสนโท , โม : พระโกนาคม , พุทธ : พระกัสปะ , ธา : พระสมณโคดม , ยะ : พระศรีอริยะเมตไตรย) เมื่อสิ้นศาสนาแห่งองค์พระสมณโคดม (พระพทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) องค์พระอชิตะเถระ ก็จะเสด็จมาตรัสรู้เป็นองค์พระศรีอริยะเมตไตรย สัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อสิ้นยุคพระศรีอริยะเมตไตรย และ สิ้นภัทรกัปป์นี้ โลกจะค่อย ๆ เสื่อมลง ๆ และ จะค่อย ๆ วิวัฒนาการเจริญขึ้น ๆ โลกก็จะเข้าสู่มัณฑกัปป์ คือกัปป์ที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาตรัสรู้ ๒ พระองค์ ซึ่งก็คือ พระรามโพธิสัตว์ ๑ และ พระเจ้าปเสนทิโกศล โพธิสัตว์ ๑ เป็นแรกปฐมกัปป์ ขอท่านนักรบธรรมทั้งหลายศึกษาได้จากคัมภีร์อนาคตยวงค์ (องค์มหาพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อีก 10 พระองค์ในภายภาคหน้าต่อจาก องค์พระสมณโคดม สัมมาสัมพทธเจ้า) หรือ Search หาจาก Google ก็ได้ครับ


IT Man: 16-08-2011, 09:05 AM #3866
อาการหลง: คือไม่รู้ว่าตัวเองหลง

อาการไม่หลง : คืออาการที่มีสติรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่


อาการปลื้มปีติ : แสดงออกได้หลากหลายรูปแบบตามจริตนิสสัย เป็นธรรมดาของสามัญชน เมื่อคลายปีติก็จักเข้าสภาวะสามัญลักษณะเอง

อภินิหารเล็กๆน้อยๆ : เกิดจากเทพเทวา ก็พอเป็นกำลังใจให้เข้าหาปฏิบัติ ทั้งนี้ก็เป็นการแสดงให้ดูเฉพาะเหล่าศิษย์ผู้สนิท เฉกเช่นพระอริยะเจ้าท่านมีดีถึงขั้นพระอรหันต์ จะบอกว่าไม่มีคงไม่ได้ ตราบใดที่ปฏิบัติตามครรลองของมรรคมีองค์ 8 ก็จักต้องมีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก เพื่อเป็นกำลังใจให้ลูกศิษย์ลูกหาตั้งใจปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้น

อดีตชาติที่เคยยิ่งใหญ่ปานใดก็ไร้ค่า หากยังหลงอยู่ : ไม่มีประโยชน์อันใดกับอาการอิ่มในรสอาหารของเมื่อวันวาน อดีตชาติเป็นอุทาหรณ์ในภพปัจจุบันว่า แม้ท่านจะยิ่งใหญ่ มีพระคุณต่อพระศาสนามากมายเพียงใด ก็ยังไม่ถึงทางแห่งความพ้นทุกข์ ชาตินี้จึงต้องตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้มากๆ

การบำเพ็ญเพียรแห่งพระโพธิสัตว์ : ก็เห็นเป็นเช่นนี้มาทุกๆกัปพุทธันดร ก่อนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์กับเหล่าสาวก ต่างก็ต้องเสด็จลงมาบำเพ็ญเพียรเวียนเกิดเพื่อสะสมพระบารมีจนกว่าจะเต็ม บางพระองค์เต็มแล้วเต็มอีก ก็เสด็จลงมาช่วยกันโปรดในยุคกึ่งพุทธกาลนี้ ทำไมถึงจะกล่าวถึงไม่ได้เล่า?


ครูชาติ: 16-08-2011, 10:28 AM #3868
ยินดีต้อนรับคุณอัศวเมธ ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำให้ความรู้แก่พวกเรา ...และให้สติพวกเรานักรบธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราเห็นและประสบมาที่นำเสนอตรงนี้ขอบอกก่อนไม่มีอคติ ไม่มีการปรุงแต่ง แต่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติทั้งสิ้น หากสิ่งนั้นเป็นความจริง ความจริงย่อมมีอยู่ และรอการพิสูจน์ดัง พุทธสุภาษิตที่ว่า "สจฺจํเว อมต วาจา" การมองการเห็นอะไรต่างๆ ต้องปราศจากอคติ มีสติไม่หลง ส่วนผู้ที่มาพบเห็นก็คงต้องพิจารณาเองตามสภาวะจิตของเขาเองบังคับไม่ได้...โลกมนุษย์นี้เป็นโลกสมมติ โดยมีโลกธรรม เป็นที่พึง คนที่เอาโลกธรรมเป็นที่พึ่งย่อมมองไปในทางโลกธรรม...โดยมองแบบโลกเขามองกัน...คือมองแบบโลภ โกรธ และหลง ส่วนพวกเรานักรบธรรมนั้น มีที่พึ่งเช่นกันคือ มีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง การมองของพวกเราจะมองเพื่อละ ..โลภ โกรธ และหลง...ดังนั้น การรู้การเห็นจึงบอกว่าเป็นปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น บอกใครไม่ได้ อย่างเรานั่งตากแดดเราก็จะบอกว่าร้อนแต่ความรู้สึกที่ร้อนไม่สามารถบอกใครได้ว่าร้อนอย่างไร ในความร้อนนั้นมีความเย็นด้วย แล้วความเย็นในร้อนเป็นอย่างไร บอกใครไม่ได้...ครับ....ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นปัจจัตตังครับ...ขอบคุณที่มาเยี่ยมและคำแนะนำที่ดีๆ ....ขอให้ท่านอัศวเมธจงเจริญในธรรม หากมีโอกาสเจอกัน และสนใจปฏิบัติธรรมอยากเชิญร่วมมาปฏิบัติธรรมที่ภูดานไหด้วยกัน...เราเจอคนดี ก็อยากชวนมาร่วมด้วย...การมารู้จักกันด้วยบุญ ถือว่าเป็นการสร้างบารมีร่วมกัน...ข้อความที่ผมตอบท่านไปหากมีอะไรที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ กระผมก็ขออภัยด้วย...และเป็นความรู้สึกของผมคนเดียวที่จะเล่าให้ฟังไม่เกี่ยวกับนักรบธรรมคนอื่นนะครับ...

somlatri: 16-08-2011, 04:22 PM #3876
ท่าน IT Man กล่าวดีแล้วหนอ
ครั้งพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงยมกปาฏิหารย์ พระอัครสาวกหลายองค์ก็แสดงฤทธิ์และปาฏิหารย์ โมทนาสาธุ


ดร.นนต์: 17-08-2011, 10:12 AM #3883
พระพุทธเจ้าทรงแสดงอภินิหารย์มากมาย ตั้งแต่ทรงประสูติแล้ว ใครๆก็รู้ทั้งนั้น มิใช่เรื่องแปลกใดๆเลย ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงแสดงในกาลอันควรกับบุคคลอันควรทั้งนั้น

ผู้ที่สำเร็จปริญาเอก เป็นล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ใบ
และผู้ที่สำเร็จเปรียญธรรมเก้าประโยค เป็นล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ภพ

ก็มิได้มีความหมายใดๆ เท่ากับการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ แม้จะเป็นเพียงการเริ่มต้นที่น้อยนิด แต่ยังดีกว่าผู้ที่ท่องจำพระไตรปิฎกได้ทุกตัวอักษร และท่องได้มาเป็นเวลาหลายๆๆๆๆๆๆๆๆ...ภพชาติแล้วก็ตาม จะไปรู้ดีเท่ากับนักปฏิบัติและผู้พ้นแล้วกระนั้นหรือ

การที่เส้นพระเกศาของพ่อแม่ครูอาจารย์ กลายเป็นพระธาตุ ในขณะที่มีชีวิตอยู่นั้น หมายความว่าอย่างไร จะอธิบายเป็นอย่างอื่นได้อย่างนั้นหรือ มิใช่ของจริงกระนั้นหรือ ขอผู้ที่ยังสงสัย จงพิจารณาใคร่ครวญให้รอบคอบก่อนที่กระทำสิ่งที่มิอันควร(โดยอาจไม่มีเจตนา)ลงไป

กระแสธรรมนั้น ของจริง ของแท้ ของพระพุทธเจ้า ของพระนิยตโพธิสัตว์เจ้า และอรหันต์เจ้า ก็ย่อมแท้วันยันค่ำ มิแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้

พ่อแม่ครูอาจารย์ ท่านสอนและอบรมแต่ธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมที่ท่านบรรลุด้วยวิถีการปฏิบัติ ท่านเน้นการใช้ปัญญามากกว่าสิ่งอื่นใด สิ่งวัตถุมงคลทั้งหลายท่านก็ทราบว่า เหล่านักรบธรรมมีความชื่นชอบเพราะเป็นจริตเดิมที่ได้มีส่วนสร้างพระ สร้างถาวรวัตถุทางพุทธศาสนา มาหลายภพหลายชาติแล้ว ท่านก็ได้อบรมสั่งสอนไม่ให้ยึดติดในวัตถุเหล่านั้น ในส่วนของอิทธิปาฏิหารย์และการรู้อดีตอนาคตนั้น ถือเป็นเรื่องธรรมดามากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของนักปฏิบัติ โดยเฉพาะพระผู้พ้นแล้ว ผู้อยู่เหนือโลกแล้ว มิใช่อยู่ๆจะแสดงให้ใครๆดูก็ได้ ถ้าผู้นั้นมิใช่สาวกหรือผู้มีบุญวาสนาผูกพันกันมาตั้งแต่อดีต

พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านสอนธรรมตามวาระจิต สอนวิธีการลดการละตามวาระจิต ไม่ต้องถามไม่ต้องบอกท่านก็รู้ ซึ่งนักรบธรรมทั้งหลายล้วนเจอมากับตัวเองทั้งนั้น ในโลกปัจจุบันนี้ จะมีพระอริยเจ้าสักกี่องค์ที่รู้และสอนธรรมตามวาระจิต (มิใช่สอนตามคำภีร์ที่ท่องจำมา) และเหตุแห่งการที่ท่านสอนธรรมไปพร้อมกับการนั่งสมาธิท่ามกลางแสงแดดบนลานหินยอดเขานั้น อันเนื่องจากนักรบธรรมท่านหนึ่งมีความห่วงใยพ่อแม่ครูอาจารย์ กลัวว่าท่านจะร้อนจึงนำร่มไปกางให้ท่าน ท่านจึงใช้กลอุบายนี้สอนพวกเราทันที คือการไม่ยึดมั่นถือมั่นในสภาวะของโลก ท่านสอนเรื่อง สิ่งที่ถูกรู้ ...ผู้รู้....เพื่อจะได้ไม่ทุกข์กับความร้อนที่กำลังเข้ามาปะทะตัวเรา แต่เป็นการให้ปฏิบัติเพียงไม่นานประมาณสิบนาทีเท่านั้น เพราะท่านรู้กำลังของเหล่านักรบธรรมเป็นอย่างดี ผมเองเมื่อปฏิบัติตามท่าน ก็คือ พิจารณาความร้อนที่กำลังแผดเผาผิวกายเราอยู่นั้นเราก็รู้ ผู้ถูกรู้ก็คือ กายที่ปะทะกับความร้อน ผู้รู้ก็คือ จิตที่รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น ผู้ละวางก็คือ การไม่ยึดมั่นถือมั่นเอามาเป็นความทุกข์ เพราะเราเข้าใจได้ว่า ความร้อนและกายมันก็เป็นไปตามสภาวะของโลก มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นของธรรมดา เมื่อกำลังจิตของเราพิจารณาไปดั่งนั้น ความร้อน ความเย็น ก็มิได้มีความหมายใดๆให้เราเกิดทุกข์ได้ เมื่อพิจารณามาถึงตรงนี้ จิตของเราก็รวมเป็นหนึ่ง ไม่รู้สึกอะไรเลย นอกจากความเย็นซาบซ่านไปทั้งตัว เมื่อเป็นดั่งนี้ แล้วจะให้เราอธิบายได้อย่างไร จะบอกว่าพวกเรากำลังหลงฤทธิ์หลงปาฏิหารย์อย่างนั้นหรือ ความจริง จากการปฏิบัติจริง จากพ่อแม่ครูอาจารย์จริง แม้เป็นเพียงเสี้ยวส่วนหนึ่ง พวกเราก็อดไม่ได้ที่จะนำมาบอกกล่าวเพื่อนธรรม ตามภูมิแห่งพวกเราที่มีน้อยนิด ก็อาจมีประโยชน์และส่งสารไปยังผู้ที่กำลังแสวงหาธรรมอยู่บ้างก็ได้

พ่อแม่ครูอาจารย์บอกว่า การพูดความจริง ของจริง ก็สมควร แต่อย่าได้ปรุงแต่งหรือเพิ่มเติมหรือผิดเพี้ยนไปเป็นอันขาด ความจริงก็คือความจริง พระพุทธเจ้าให้พูดแต่ความจริง ดังนั้น ความจริงจึงไม่กลัวผู้ที่ไม่จริง

การรู้ในสิ่งที่เห็นที่มีที่เป็น ของเหล่านักรบธรรมในขณะอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์นั้น มันไม่สามารถอธิบายให้ผู้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ได้ซาบซึ้งหรือเข้าใจได้ทั้งหมด มันเป็นปัตจัตตัง และเป็นปัตจัตตังของผู้มีปัญญา ผู้ผ่านการปฏิบัติมาแล้วทั้งสิ้น ความงมงาย ความหลงเชื่อ ความหลงผิด จึงเป็นสิทธิ์ของผู้ไม่ได้เกี่ยวข้องจะคิดว่าเป็นเช่นนั้น

ความมั่นคง หนักแน่น เอาจริง ปฏิบัติจริง เมื่อเจอของจริงแล้ว จึงเป็นสิ่งที่เหล่านักรบธรรมสมควรจะต้องปฏิบัติ เพื่อให้สมกับความเป็นลูกของพระพุทธเจ้ากันทุกคน

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์


ครูชาติ: 17-08-2011, 10:43 AM #3884
ขออนุโมทนาสาธุ... ในคุณธรรมของท่าน ดร.นนต์ ที่แสดงออกมา...ขนาดมาศึกษากับพ่อแม่ครูอาจารย์เพียง 2 ครั้ง ยังได้อะไรไปมากขนาดนั้น อยากให้มาปฏิบัติ จริงๆ แล้วเอาปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์จริงๆ สัก 7 วันจังเลย ท่านอาจจะเป็นบุคคลแรกในกลุ่มที่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงได้เป็นแน่.....ขออนุโมทนาสาธุในสิ่งที่ท่านได้แสดงออกมาอีกครั้ง ....ธรรมะจากการปฏิบัติมิอาจผิดเพี้ยน แต่ธรรมะที่มีอยู่ในตำราอาจจะมีการผิดเพี้ยนได้ เพราะหากผู้เขียนตำรานั้นไม่เคยปฏิบัติ หรือไม่ใช่พระอริยสงฆ์ การเขียนอาจมีการแทรกความคิด ความเห็นของผู้เขียนลงไปบ้าง หรือบางครั้งคุณธรรมที่เป็นส่วนลึกๆ ไม่อาจจะเขียนออกมาในตำราได้ ...ฉะนั้นธรรมะในหนังสือ จึงเป็นธรรมะระดับกลางๆ ที่เขียนเพื่อให้ผู้อ่านได้ความรู้...พอเป็นแนวทางไปสู่การปฏิบัติ...หากต้องการธรรมะขั้นละเอียดต้องปฏิบัติเอง....อย่างที่หลวงตามหาบัวท่านกล่าวว่า "เรื่องราวเกี่ยวกับพระอรหันต์ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่รู้คนอื่นไม่อาจรู้ได้ ...." คนที่ปฏิบัติธรรมก็ย่อมเห็นธรรมะตามสภาวะจิต สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน...สิ่งที่พวกเรานักรบธรรมแสดงออกไปก็เพื่อเป็นการสื่อสารระหว่างกัน และเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมขั้นสูงต่อไป...
ขอให้ทุกท่านจงมีความเจริญในธรรม....