วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

08: พุทโธอัปปมาโณ 3

อย่าพึ่งเชื่อ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
IT Man/09.08.56

อ้างถึง:  http://dr-natachai.blogspot.com/2011/09/124.html 

IT Man: 08-09-2011, 08:46 AM #4661
ว่าจะจบเรื่องนี้แล้วนะ แต่เห็นใน blog ท่าน ดร. เปิดซะแทบหมดเปลือก แถมติดรูปโชว์ซะอย่างงั้น หมดกันเลยเรา หุหุ

"ของจริง เรื่องจริง ไม่ต้องกลัวอะไร"

ซึ่งคิดว่าหลายๆท่านคงได้ให้ความสนใจอยู่ ทว่าทำไมรีบปิดเรื่องเร็วจัง ก็เพราะเหตุว่า...เรื่องที่พวกเราประสพมามันเกินวิสัยของคนทั่วไปหากยังติด คิด ข้อง อยู่ภายใต้กรอบความคิดแบบโลกธรรม ยากมากที่จะเข้าใจและเชื่อถือ (เรื่อง อดีตชาติ การสัมผัสพลังพระพุทธานุภาพ และการได้รับพระพรสืบต่อพลังแห่งพระพุทธานุภาพอันไร้ขีดจำกัด) ทว่า...หากเข้าสู่กรอบความคิดแบบโลกุตรธรรมแล้ว ย่อมเข้าใจได้ว่ามันเป็นไปได้ แม้จะมีโอกาสน้อยมากๆ
  • อดีตชาติ : แค่นี้ผู้คนก็ส่ายหน้าหนีแล้ว และยิ่งทราบว่าเป็นอดีตชาติที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างพระพิมพ์ พระบูชา วังหน้า,วังหลวง ยุค ร.3-4-5 แล้ว ยิ่งไม่น่าเอ่ยถึงเลย อีกทั้งในเรื่องของกฏแห่งกรรม ผมได้เรียนรู้และเข้าใจด้วยตนเองดีแล้ว ทั้งจากมองผ่านไปยังบุคคลอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้วสะท้อนเข้ามาหาตัวเอง โอ้..หนอ ทำให้เราเห็นใจและเข้าใจคนอื่นมากยิ่งขึ้น ผลที่ได้...สามารถประมวลผลสืบเนื่องจากภพปัจจุบันไปยังภพในอนาคตได้
  • การสัมผัสพลังพระพุทธานุภาพอันไร้ประมาณ : ก็เหมือนกับการสัมผัสพลังแห่งอิทธิคุณในพระเครื่องทั่วไปนั่นแหละครับ แต่นี่แรงกว่า เข้มกว่า หากเทียบกันกับพระพิมพ์สมเด็จวัดระฆัง 1x + xxxx
    • พระพิมพ์พระคณาจารย์กับพระกรุทั่วไปโดยเฉลี่ย = 0.2x-1.2x
    • พระพิมพ์วังหน้า,วังหลวง ระดับหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรขึ้นไป = 5.3x
    • พระพิมพ์วังหน้า,วังหลวง ไม่แน่ใจว่าเป็นของใคร = 8x
    • พระพิมพ์วังหน้า,วังหลวง ระดับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นไป = 10x - 150x + xxxx
    • พระพิมพ์วังหน้า,วังหลวง ระดับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์รวมกันจนถึงพระองค์ศรีอริยะเมตตรัย = 150x จนถึงไร้ประมาณ
    • TOP1,2,3 เดิมๆ = 27x+xxxx , TOP4 เดิมๆ = 62.5x+xxxx
    • ระดับ 62.5x ผมปวดหัวและปรับธาตุขันธ์ 3-4 วัน (ผมรู้มา 2 ปีแล้วและยังประกาศออกไปว่า ไม่มีพระพิมพ์อะไรจะสูงไปมากกว่านี้ (62.5x) อีกแล้ว วันนี้ ผมขอถอนคำพูดที่ว่ามาทั้งหมดนะครับ)
    • ระดับ 150x ผมปวดหัวและบริเวณแขวนพระ 2 วัน
    • ระดับ ไร้ประมาณ ผมปวดหัว..หน้าอก 1 วัน (ได้ปรับธาตุขันธ์จากท่าน ดร.นนต์ก่อน 1 วัน)
    • xxxx = แต่ละก๊อกที่รอวันเปิด
    • สิ่งที่กล่าวมานี้คงเต็มไปด้วยเครื่องหมาย ???? เต็มหัวท่านอยู่เป็นแน่แท้ พร้อมกับบ่นๆว่า "โห...ท่าทางจะกู่ไม่กลับนะเจ้าสมบัติเอ๋ย" ...หุหุ
  • การได้รับพระพรสืบต่อพลังแห่งพระพุทธานุภาพอันไร้ขีดจำกัด
    • เรื่องนี้น่าจะเว้นไว้ให้ท่าน ดร.นนต์ต่อให้ได้
    • สำหรับวันที่อยู่วัดระฆังนั้น ขณะทำพิธีประมาณบ่ายสามกว่า ผมหลับตาลงเห็นเป็นรัศมีเต็มท้องฟ้าสีแดงขององค์สุริยะเทพเป็นวงกว้างไร้ประมาณ ภายในตรงกลางเป็นสีขาวนวลๆเรืองๆและสีทอง (สีทองโดนกลบด้วยสีแดงกับสีขาว หากไม่เพ่งก็จะเห็นเป็นสีขาวอยู่กลางเหมือนโดนัท)
    • พอข้ามฝั่งมาท่าพระจันทร์ ผมไปเจอสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำพลังไร้ประมาณ วางรออยู่ 2 เส้น แบ่งให้ท่าน ดร.นนต์ เป็นคนละเส้น
    • ร้านที่สองก็เจอเส้นใหญ่ 1 เส้น เช็คดูเป็นของภรรยาคุณซึ้งบน ผมก็เดินต่อไป ไม่มีอะไรให้ผมเห็นอีก จึงย้อนกลับมาหาพรรคพวก ปรากฏว่าท่าน ดร.นนต์ได้เส้นใหญ่มาอีก 1 เส้น เห็นบอกว่าจักน้อมถวายพ่อแม่ครูอาจารย์ - ขอโมทนาสาธุเด๊อ...
    • จากนั้นไปที่ลานจอดรถ ม.ธรรมฯ เช็คพระกันแบบมึนๆระคนดีใจ ตกใจ ตื่นเต้น อยู่สามคน...พอได้เวลาเคารพธงชาติ พวกเรายืนสงบนิ่ง หลังจากที่ได้รับรู้ว่า ได้รับพระพรพิเศษ (ไม่ได้ติดตัวไปทุกภพทุกชาติ) พวกเราได้ยืนแผ่อธิษฐานกราบขอบพระคุณในพระเมตตาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์สืบไปยังพระองค์ศรีอริยะเมตตรัย ผมได้ยินเสียงแว่วๆเข้ามาว่า "พระพรที่ให้ไปนั้น ให้ไว้เพื่อสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์" จากนั้นผมก็เห็นในนิมิต มีผู้คนเข้ามาแวดล้อมมากมาย ในสายตาแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวังในตัวเรา
    • ผมจึงเปรยๆแบบเตือนกันและกันเองต่อท่านสอง ดร. ว่า... "พระพรที่พวกเราได้รับมานั้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตนเอง แต่ไว้เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น"
    • เพื่อเป็นการพิสูจน์คำพูดและเจตนาสงเคราะห์คนอื่นของผมสามคน จงคอยดูนะครับว่า หลังจากวันที่ 9 เดือนที่ 9 ปีที่ 9 (5+4) พลานุภาพพระพิมพ์ 25 พศตว. จักมากขึ้นกว่าเดิม(0.5x) เป็น 10x หรือไม่?
ปล: ระหว่างที่ผมนั่งพิมพ์และแก้ไขบทความนี้อยู่นี้ เหมือนโดนอะไรกดบนศรีษะด้านซ้ายตลอดเวลาเลย

ดร.นนต์: 08-09-2011, 09:50 AM  #4662
สิ่งบางอย่างเปิดเผยได้
สิ่งบางอย่างเปิดเผยไม่ได้

เพราะจะมีทั้งคำอนุโมทนาและคำปรามาส

ผู้สัมผัสได้จะอนุโมทนา
ผู้สัมผัสไม่ได้และอยู่นอกสายจะปรามาส

คลื่นต่างกัน จะไม่รวมกัน นี่เป็นธรรมชาติของโลก


ดร.นนต์: 08-09-2011, 10:25 AM  #4665
พรหรือความมหัศจรรย์แห่งจิตและบุญนั้น
มิได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่เป็นผลของการบำเพ็ญมาทางนี้หลายภพหลายชาติ แต่ต้องมีบารมีเต็มแล้วเท่านั้น พระเบื้องบนจึงจะเมตตาสงเคราะห์ได้ แต่ก็ต้องใช้บุญบารมีของตัวเองไปสงเคราะห์ต่ออีกทีหนึ่ง...

สิ่งเหล่านี้ต้องมีพยานรับรู้ จึงจะสามารถพูดออกมาได้... แม้เป็นความจริง แต่ไม่มีพยานรู้เห็น ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเปิดเผย ดั่งเช่นที่พระพุทธเจ้าเห็นเปรต แต่พระองค์ไม่ได้กล่าวกับใคร จนกว่าเมื่อพระโมคลาเห็นแล้ว ท่านจึงตรัสเล่าให้กับสาวกอื่นๆรับรู้ได้ เพราะมีพยานคือ พระโมคลานะ

ท่านทั้งหลายที่สัมผัสได้ จะไม่สงสัย
ท่านใดสัมผัสไม่ได้ ก็จะยังสงสัย และอาจกล่าวว่า งมงาย หลง และเกิดอาการวิปัสสนูปกิเลสมันหลอกเอา ดังนั้น จึงต้องมีผู้ที่อยู่เหนือกว่ารับรอง หรือมีพยานประจักษ์ จึงจะสามารถเชื่อถือได้ หรือจิตของท่านจะต้องพิจารณาใคร่ครวญในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น หลายๆครั้ง จนกว่าจะได้ผลที่เที่ยงแล้ว ค่อยปักใจเชื่อ... อย่าเชื่อตามคำบอกเล่า จงเชื่อจากการปฏิบัติและรับรู้ด้วยตนเองเป็นปัตจัตตัง

เหตุของการเกิดบุญบาป ความเชื่อ ไม่เชื่อ หรือปรากฏการณ์ต่างๆ เป็นวิถีของแต่ละบุคคล จะเอาผลของตัวเองไปวัดกับผู้อื่นไม่ได้ ปฏิบัติเอง ถึงแล้ว รู้เอง... ความรู้จากพระคำภีร์แม้จะท่องจำได้มาหลายภพหลายชาติแล้วก็ตาม ก็มิได้มีความหมายใดๆเลย หากท่านไม่ได้ลงมือปฏิบัติให้รู้ให้เห็นด้วยตัวเอง...

หรือแม้ท่านผู้ใดผู้หนึ่งจะบรรลุธรรมระดับใดระดับหนึ่ง นั่นก็เป็นวิถีปฏิบัติตามจริตของตัวเอง จะเอาไปเป็นแนวมาตรฐานให้ผู้อื่นเดินตามทั้งหมดนั้น ก็ไม่สมควร นั่นเพราะเบื้องหลังของแต่ละบุคคลนั้นสร้างสมบารมีมาต่างกัน บางท่านในอดีตชาติไม่เคยสร้างพระสร้างถาวรวัตถุ หรือไม่เคยอธิษฐานบารมีมาในด้านนี้ หากรู้ไม่เท่าทัน ก็จะกล่าวตำหนิผู้ที่สะสมพระเครื่องได้ว่า เป็นผู้ที่หลงงมงาย ทั้งที่จริงแล้วจริตและบุญของเขาสร้างสมมาทางด้านนี้ และอธิษฐานอะไรไว้ เจ้าตัวเขาจะรู้เอง ดังนั้น หากจะตำหนิผู้อื่น ก็จงพิจารณาที่ตัวเองก่อนว่า เราก็ไม่เหมือนใคร แล้วจะให้ใครมาเหมือนเราได้อย่างไร (อันนี้ผมกล่าวไว้ล่วงหน้า...เพราะจะมีผู้เข้ามาทดสอบอยู่เรื่อยๆ เพื่อนักรบธรรมจะได้ตามทัน)

ผู้ที่มีแนวทางเดียวกันและสร้างสมบุญบารมีมาด้วยกัน ก็จะไปด้วยกันได้ และรับรู้ได้เองโดยอัตโนมัติ... คลื่นเดียวกันแผ่ไปถึงกันได้ ปิดไว้ก็ไม่อยู่...ขอจงพิจารณาเอาเองเถิด

ความจริง ไม่กลัว ความไม่จริง

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ toon_toon อ่านข้อความ
....ทิ้งสมมุติ มันก็วิมุติ แต่ก็ต้องอาศัย เหยียบย้ำอยู่บนสมมุติ ระวังสมมุติมันหรอกเอา....โมทนาสาธุทุกประการครับ...

ดร.นนต์:05-09-2011, 08:36 PM #4521
ขออนุโมทนาสาธุ ที่ท่านเข้ามาช่วยย้ำธรรมกับเหล่านักรบธรรม คำกล่าวของท่านชอบแล้ว ถูกแล้ว ขออนุโมทนาด้วยความบริสุทธิ์ใจนะครับ
พระพุทธองค์ตรัสว่า ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลล้วนเป็นสิ่งสมมุติ

หลวงพ่อชา สุภัทโธ สอนว่า วางสมมุติ แล้วจะได้วิมุติ

พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน สอนว่า ทุกสิ่งเป็นสิ่งสมมุติ พระธรรมก็เป็นสิ่งสมมุติ

ดังนั้น การที่ผู้ใดจะละวางได้ ก็ต้องมีสิ่งสมมุติเสียก่อน การตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า ก็มิได้เกิดขึ้นมาลอยๆ ล้วนตรัสรู้มาจากสิ่งสมมุติที่อยู่รายรอบพระองค์ท่านทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรูป เป็นนาม เรียนรู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากสิ่งสมมุติ จนกระจ่างว่า สิ่งสมมุติทั้งหลายมันล้วนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งสมมุติล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป หมุนเวียนอยู่เช่นนี้ ถ้าไม่มีสมมุติ ก็ย่อมไม่ได้วิมุติ

การปฏิบัติภาวนาสมาธิ เราสามารถปรุงแต่ง เหมือนเราปรุงอาหารนิดหน่อยพอให้อร่อย เมื่อรู้รสแล้วก็ละวางในรสนั้นเสีย ผู้ใดหลงในรส(สิ่งสมมุติ)นั้น นับเป็นผู้ที่อยู่ในอาการหลง หรือที่เรียกว่าเป็นผู้ที่อยู่ในอาการวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นแก่ผู้นั้นแล้ว ก็ต้องให้พ่อแม่ครูอาจารย์ช่วยแก้ไขให้จึงจะผ่านพ้นไปได้

เป็นธรรมดาของนักปฏิบัติ ย่อมเคยเกิดอาการวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นทุกคน ไม่มียกเว้น อยู่ที่ใครจะละวางอาการหลงในสิ่งสมมุตินั้นได้เร็วกว่ากัน... เมื่อถึงแล้ว จะรู้ว่า อาการละวางนั้น มันเป็นเช่นไร...

หลวงตามหาบัว แม้คำพูดของท่านดูประหนึ่งว่า ท่านมีความโกรธที่ดุด่าว่าลูกศิษย์ แต่ความจริงภายในของท่านมิได้เป็นเช่นนั้น เช่นเดียวกัน ผู้ที่ยังอาศัยสิ่งสมมุติอยู่ แม้จะแสดงออกมาดูประหนึ่งว่าลุ่มหลงอย่างหนัก แต่ภายในอาจมิได้เป็นเช่นนั้น

พระอรหันตเจ้า แม้ท่านจะหลุดพ้นจากกิเลสและสิ่งสมมุติทั้งหลายทั้งมวลแล้ว แต่ท่านก็ยังจะต้องอาศัยสิ่งสมมุตินั้นอยู่ เพื่อให้อยู่ได้กับโลกสมมุติ เช่น เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่พัก ยารักษาโรค ตามเหตุอันควรแก่โลกสมมุติทั้งหลาย เมื่อท่านละสังขารพ้นจากโลกสมมุติแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยสิ่งสมมุตินั้นอีกต่อไป จึงเหลือไว้แต่ความเป็นวิมุตินั่นเอง เมื่อยังทรงสังขารอยู่ท่านก็ยังต้องใช้สิ่งสมมุติ เพียงแต่ท่านรู้ว่ามันคือสิ่งสมมุติอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ได้ยึดเอาถือเอา...


ดร.นนต์:
การที่ผู้ใดอาศัยสิ่งสมมุติเพื่อช่วยในการปฏิบัติภาวนาสมาธินั้น ย่อมชอบ และเป็นผู้ที่ฉลาดแล้ว กล่าวคือ

หากเราต้องการไปเชียงใหม่ ผู้ฉลาดย่อมเลือกที่จะเดินทางด้วยเครื่องบิน (ต้องมีบุญบารมีเก่าจึงจะมีเงินค่าตั๋วเครื่องบินด้วย) แม้เราจะทราบดีว่า การเดินทางโดยสามัญของมนุษย์นั้นคือ การเดินด้วยเท้า แต่มันต้องใช้เวลานานและยากลำบากเป็นที่สุด

เช่นเดียวกัน หากเราฉลาดเลือกใช้สิ่งมงคลที่สามารถช่วยให้เราไปทางลัดได้ ก็จะทำให้ถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วและสะดวกยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อลงจากเครื่องบินแล้ว ท่านก็ยังจะต้องใช้ความเป็นสามัญคือการเดินด้วยเท้าอีก เพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง การเดินก็ต้องอาศัย "ปัญญา" ในการเดินไปให้ถึงจุดหมายปลายทางจะด้วยวิธีการต่างๆ ก็จงเลือกเอาเอง... เช่นเดียวกัน เมื่อเราอาศัยสิ่งมงคล(ที่เรียกว่าสิ่งสมมุติ)ช่วยในการภาวนาสมาธิเพื่อดิ่งและเงียบสงบเร็วเข้าสู่สมาธิชั้นสูง สุดท้ายเราก็ต้องกลับมาที่สามัญคือสมาธิขั้นต่ำ เพื่อใช้สติ "ปัญญา" ในการตัดกิเลสทั้งหลายทั้งมวลอยู่ดี

สิ่งสมมุติ กับ ปัญญา จะพาไปถึงจุดหมายได้เร็วขึ้น


มี_ไม่มี: 05-09-2011, 10:04 PM
สิ่งสมมุติที่ จะพาไปถึงจุดหมายได้เร็วขึ้น คือ มหาสติปัฎฐานสูตร


toon_toon: 05-09-2011, 10:16 PM #4530
ทั้งหลายนั้น......เป็นธรรมชาติ.....เธอจงมีสติตามรู้ธรรมชาตินั้นๆ........ให้เห็นเหตุของการเกิด.....เหตุของการตั้งอยู่.....เหตุของการดับไป.....ไม่ใช่ไปคอยบังคับธรรมชาติให้มันวางมันตั้งอยู่ในอะไรๆ......มันก็จะเป็นการเอาอัตตาไปซ้อนอัตตาอีกชั้นหนึ่ง......แล้วเธอจะเห็นความจริงของธรรมชาติหรือ?

ดร:นนต์: 06-09-2011, 09:34 AM
ขออนุโมทนาในธรรมที่ท่านแสดงออกมาเพื่อเตือนสติเหล่านักรบธรรมเป็นอย่างยิ่ง... ผู้ก้าวล่วงไปก่อนแล้วย่อมหวนกลับมาช่วยผู้ที่ยังตามหลัง... พวกเราโชคดีที่มีผู้ห่วงใยและมาช่วยหลายๆทาง... สิ่งใดที่เหล่านักรบธรรมเกิดอาการหลงหรือขาดตกบกพร่อง ขอให้ท่านช่วยเติมเต็มให้ด้วยนะครับ จักโมทนายิ่ง


ดร.นนต์: 06-09-2011, 11:17 AM #4555
ธรรมชาติหรือสิ่งสมมุตินั้น มันเป็นอยู่ของมันอย่างนั้น
ธรรมชาติหรือสิ่งสมมุติไม่เคยหลอก เพราะมันเป็นอยู่อย่างนั้น
จิตของมนุษย์นั้นต่างหาก ที่ไปยึดไปหลงในสิ่งสมมุตินั้น จิตจึงหลอกตัวเอง

เมื่อธรรมชาติหรือสิ่งสมมุติ มันเสื่อมสลายไปตามสภาวะของโลก หากจิตเข้าใจว่ามันเป็นธรรมดาของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็จะสามารถละวางการยึดมั่นถือมั่นได้ และต้องเป็นการละวางที่ไม่ได้บังคับหรือปรุงแต่งให้มันละวาง การละวางต้องเกิดจากการรู้แจ้งเห็นจริงๆ จึงจะเป็นการละวางโดยอัตโนมัติ

ธรรมชาติหรือสิ่งสมมุติ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ (ผู้ถูกรู้)
จิตเป็นผู้เรียนรู้ (ผู้รู้)ธรรมชาติหรือสิ่งสมมุตินั้น
ใจหรือผู้ละวาง(ความกลาง ความว่าง ความบริสุทธิ์).....เป็นผู้ละวางทั้ง สิ่งถูกรู้ ผู้รู้

ขั้นตอนของนักปฏิบัติ หากเราใช้ปัญญาในการพิจารณา การละวางมันจะพัฒนาไปเองโดยอัตโนมัติ

เมื่อถึงสภาวะธรรมแล้ว หากจิตยังชื่นชมยินดีในสภาวะนั้น ก็ย่อมมิใช่การละวางที่แท้จริง จึงเป็นเพียงวิปัสสนูปกิเลส (หรือวิปัสสนึก) ผู้ใดถึงแล้ว ย่อมรู้เอง

ความเข้าใจดั่งข้างต้น...จึงเป็นความเข้าใจเฉพาะตนตามวาระแห่งการปฏิบัติของผู้ที่กำลังไต่เต้า จึงมิใช่ข้อยืนยันกับผู้ใดได้... ขอท่านจงพิจารณาเอาเองเถิด... เมื่อเจอผู้บรรลุธรรมที่แท้จริงแล้ว ความกระจ่างชัดจะปรากฏขึ้นมาเอง การแก้ไขข้อบกพร่องก็จะเกิดขึ้นเอง... นี่ก็เป็นบุญวาสนาของแต่ละบุคคล... ที่จะได้เจอพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ได้เคยบำเพ็ญร่วมกันมา... หากใครเจอพ่อแม่ครูอาจารย์ที่มิใช่ของจริง มันก็เป็นเรื่องของบุคคลนั้น...

ขอเจริญในธรรม