วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

14: ปัญญาวิมุตติหรือเจโตวิมุตติ

อย่าพึ่งเชื่อ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
IT Man/09.08.56

30-08-2011, 09:24 AM
หลายท่านในที่นี้อาจจะสงสัยว่าระหว่างการปฏิบัติธรรม ทำไมเพื่อนบางคนนิมิตเห็นนู่นนี่ หรือมีการอาการปีติต่างๆนานา แต่กลับไม่สงสัยว่า...บางคนไม่เคยเห็นสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ดูมีความสุขดี ลดโลภ ลดโกรธ ลดหลง ลดอัตตา ลดความยึดมั่นถือมั่นได้สาเหตุเกิดจากจริตนิสสัยในการบำเพ็ญบารมีมาไม่รู้กี่พบกี่ชาติมาแล้ว กล่าวคือ

กลุ่มปัญญาวิมุตติ : จักนั่งสมาธิได้ไม่ทน สงบยาก จิตส่งออกบ่อย เพราะนิสสัยเป็นคนช่างคิดมีปัญญามาก จะให้จับมานั่งนานๆนั้นย่อมไม่ได้ อีกทั้งไม่ค่อยเจอนิมิตหรือแสงหรือสัมผัสต่างๆด้วย

กลุ่มเจโตวิมุตติ : ท่านกล่าวว่ามีประมาณ 30% พวกนี้ส่วนใหญ่ภพก่อนๆเคยบำเพ็ญตบะมา สามารถเข้าสมาธิได้ง่าย ได้นาน สามารถสัมผัสหรือรับรู้ในนิมิตต่างๆได้โดยง่ายกว่ากลุ่มแรก แต่จะไม่ค่อยใช้ปัญญาพิจารณาธรรม

ในสมัยพุทธกาล มีพระอรหันต์เกิดขึ้นมากมาย ก็เพราะพระพุทธเจ้าของเราท่านทรงสอนแยกตามจริตนิสสัยของสาวก พูดง่ายคือเกาถูกที่คัน แคะนิดๆหน่อยก็วิ่งเร็วปร๋อเลยที่เดียว

พระท่านสอนให้เรามองดูผลของการปฏิบัติว่าสามารถลดกิเลสได้หรือไม่? พิจารณาธรรมเป็นหรือเปล่า? ดูอย่างพวกหมอผีมีอาคมล่องหนหายตัวได้ ทำไมไม่รู้ธรรม พระเทวทัตได้ถึงอภิญญา 6 ทำไมตกนรก เป็นต้น

บางท่านในที่นี้มีคุณสมบัติทั้งสองประการ ก็อาจเนื่องด้วยท่านบำเพ็ญมาทั้งสองทาง กล่าวแล้วคือ..ทางปัญญาก็ทำมา ทางเจโตก็ทำมา กรรมต่างๆหรือจริตเดิมจึงส่งผลมาเป็นมรดกทำให้มีทั้งสองอย่าง แต่เชื่อเถิดว่า คุณสมบัติเด่นๆจะออกมาให้เห็นเกินกันไม่มากก็น้อย

การจะรู้ธรรม บรรลุธรรมได้ ต้องอาศัยทั้งสองประการ เพราะพูดไปแล้ว ฝ่ายเจโตถ้าแน่จริงคงไม่กลับมาเกิดอีก ฝ่ายปัญญาก็เช่นกัน ทำไมเอาตัวไม่รอดกัน
ดังนั้น การพิจารณาธรรมได้ต้องไปตามขั้นตอนกล่าวคือ สมาธิระดับต้น เป็นสมาธิแบบสงบธรรมดา ยังไม่มีสมาธิพิจารณาธรรมชั้นสูงได้ ต้องสมาธิระดับต้น+ระดับกลาง(หารสอง) ส่วนสมาธิระดับลึกนั้น ก็เหมือนกบจำศีลหรือการบำเพ็ญฌานสมาบัติ ไม่กินอะไรก็ได้ตลอดเจ็ดวันเป็นต้น แบบนี้ก็ไม่สามารถพิจารณาธรรมได้

หากจะอธิบายเป็นรูปฌานก็บอกได้ว่า ระดับฌาน 1 คือวิตก-วิจารณ์ ยังพิจารณาไม่ได้ ระดับฌาน 2 คือ ปีติ-สุข ก็ยังไม่ได้ (เพราะมัวแต่สั่น หรือร้องไห้) ระดับฌาน 3 อุเบกขา ก็ยังไม่ได้ ระดับฌาน 4 เอกคตา ก็ไม่ได้ จะได้ก็คือระดับปีตินิดๆ...ขึ้นไปอุเบกขาหน่อยๆ ประมาณนี้...(จะรู้เองเมื่อไปถึง)

ในกลุ่มเรา หลายท่านในที่นี้สามารถรับรู้อดีตชาติ ย่างน้อยสองชาติย้อนหลัง รู้ผังชีวิตในอนาคต(อธิษฐานบารมี) เขาก็เอาอดีตชาตินั่นแหละมาพิจารณาเป็นธรรม ไม่ใช่การยึดติดแต่อย่างใด เพราะไม่ได้หลง ไม่ได้เอาหัวโขนนั่นมาใช้ กลับทำให้มองเห็นกฏแห่งกรรมได้อย่างแจ่มชัด จึงมั่นใจในทิศทางการดำเนินแห่งมรรค 8 ได้ยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น...

- กลุ่มเจ้านาย/พระสงฆ์ : มีบทบาทในการคิด ออกแบบ ระดมทุน บอกบุญ ในการสร้างวัดวา สร้างพระ สังคายนาฯ ฯลฯ ปฏิบัติธรรมเนืองๆ ชาตินี้จึงกลับมาทำหน้าที่เดิมๆที่ตัวเองเคยทำ อานิสงค์ที่ได้ จึงมีปัญญาพิจารณาธรรม และมีฐานะเพียงพอที่จะสามารถช่วยงานพระศาสนาได้ ไม่เดือดร้อน และพบเจอสมบัติเก่าที่ตัีวเองเคยสร้างมาเพื่อพระศาสนา

- กลุ่มเศรษฐีเก่า : มีบทบาทอย่างมากในการให้ทุนในการสร้างพระ สร้างวัด มีศรัทธาบ้าง ไม่ศรัทธาบ่้าง แต่ก็สามารถทำได้ เพราะตัวเองไม่เดือดร้อนเงินทอง เห็นเพื่อนในกลุ่มแรกเข้าวัด ฟังธรรมด้วยจิตศรัทธา ตัวเองก็ไปมั่งไม่ไปมั่งหรือเฉยๆ ก็เพราะตัวเองไม่เดือดร้อนอะไร จะต้องดิ้นไปทำไม มาชาตินี้จึงกลับมาเป็นคนปัญญาน้อย ฐานะพออยู่พอกินยังไม่ถึงกับร่ำรวย กรรมได้บอกว่า....ให้รู้จักความยากจนก่อน ค่อยรวยก็ยังไม่สาย แต่รวยแน่ ส่วนปัญญาในการพิจารณาธรรมนั้น หากรู้ตัวทันก็สามารถตามเพื่อนๆในกลุ่มแรกๆไปได้เช่นกัน (ในชาตินี้หากไม่จนเสียบ้างก็จะประมาทเหมือนชาติก่อนๆมา จะมีประโยชน์อะไร)


IT Man: http://board.palungjit.org/f131/หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร-ฝัน-231506-215.html#post5051559

ท่าน ดร.นนต์ ท่านซึ้งบนและท่านพระฤาษี สามท่านนี้เป็นกลุ่มเจโตวิมุตติ (และรู้ตัวกันแล้ว) จึงค่อนข้างมีฤทธิ์เยอะ สัมผัสสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นได้ง่าย

แต่ท่านนนต์พิเศษหน่อยตรงที่ทำมามากทั้งสองทาง

คนเรามองความก้าวหน้าในการปฏิบัติ มักมองระหว่างการปฏิบัติ แต่ไม่ได้มองที่ผลการปฏิบัติ และส่วนใหญ่เข้าใจว่าผู้มีฤทธิ์หรือได้ทางในเป็นผู้ได้ธรรม ไม่จริงเสมอไปนะครับ หุหุ


ผมเอง ครูชาติ คุณอ๊อด เป็นกลุ่มปัญญาวิมุตติ จึงต้องใช้ปัญญาพิจารณาธรรมให้มาก แต่ห้ามหย่อนยานทางการภาวนา ไม่งั้นจักไม่มีกำลังทางในในการพิจาณาธรรม มักนั่งได้ไม่ทน

ผมเองหาวิธีแก้ไขตัวเองโดยตื่นแต่เช้า ทำวัตร เหนื่อยๆมากก็มานั่งพัก+พิจารณาธรรมต่อระหว่างการทำสมาธิ

และทำวัตรเย็น สวดมนต์เย็นนานประมาณ 1 ชม. (ฝึกสมาธิ-ขันติ)
อีกวิธีคือ...การออกธุดงค์หรือเดินป่า เดินเขา จักได้ผลดีต่อทุกๆกลุ่ม

บางท่านอาจสงสัย อ้าวๆ...แล้วทำไมทางในเกิดขึ้นได้
ก็อดีตเคยบำเพ็ญมาหนักทั้งสองทาง และสิ่งได้ก็เพราะเคยได้มาก่อน มันเป็นไปตามเส้นทาง ที่จะต้องได้เจอ ได้เห็น ได้เป็น
มันต้องผ่านกันทุกๆคนที่ปฏิบัตินั่นแหละครับ