วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

29: พระพุทธปฐวีธาตุเสนาบดีคู่บารมี


- พระพุทธปฐวีธาตุคู่เหมือนซ้ายองค์เล็ก (IT Man) ขวาองค์ใหญ่ (ดร.นนต์) 2 ใน 16 องค์
- ถวายพระนาม(ถามโดยท่านนนต์) ว่า...องค์เอตทัคคะบารมี (พระเสนาบดีคู่บารมี)
- ได้รับมอบจากพ่อแม่ครูอาจารย์เมื่อวาระองค์สร้างบารมีธรรม (24-26 ก.ย.'54)




พร้อมแขวนเดี่ยวเที่ยวทั่วจักรวาลครับ เพื่อนนักรบธรรมทั้งหลาย

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

28: เอาจริงมั๊ย...ต้องให้มันได้อย่างงี้ซี

Natachai: 11-09-2011, 01:14 PM #4749

มีอยู่ตั้งไว้แล้วเสื่อมไป เกิดนั้นเกิดแน่แต่ไม่ทราบว่าเมื่อใด และจะเห็นตามลักษณะคล้ายแผนที่ดังกล่าว แล้วก็เปลี่ยนไปอีกตามกรรมลิขิต......

ดร.นนต์: 11-09-2011, 01:22 PM #4751
ทำไมสิ่งมงคลต่างๆของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พระวังหน้า พระวังหลวง พระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุ เหล็กไหล ลูกแก้ว เพ็ชรนาคา วัตถุมงคลใต้ดิน และอื่นๆ จึงผุดขึ้นมาทั้งจากใต้ดิน เสด็จมาทางอากาศ เสด็จออกมาจากที่ซ่อนเร้น มาสู่ผู้มีบุญ ผู้มีบารมี และพลังพลานุภาพจึงได้รับการปรับเพิ่มพูนขึ้นมามากมายขนาดนี้...ทำไม...ทำไม... ทำไม...

คำตอบคงอยู่ในใจของผู้ไม่ประมาทแล้วนะครับ


IT Man: 11-09-2011, 02:10 PM #4753
ครับผม
นอกจากปรากฏการณ์เรื่องของวัตถุธาตุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรืออภินิหารต่างๆในพระพุทธศาสนายุคกึ่งพุทธกาลจะบังเกิดขึ้นอย่างถล่มทลายมากยิ่งแล้ว


ยังเป็นโอกาสดี ของผู้หวังความก้าวหน้าในทางธรรม พัฒนาศักยภาพของตนเองให้สูงส่งยิ่งๆขึ้นไปได้โดยง่าย

ประดุจดั่ง...โลกธาตุนี้ หากผู้มุ่งหวังทางแห่งความพ้นทุกข์เป็นเอกะ ท่านผู้นั้น ย่อมได้พระพร คือความก้าวหน้าในทางธรรมเช่นกันทุกคน

ก็ลองไปศึกษาดูนะครับว่า
มรรคมีองค์ 8 ข้อใดสำคัญที่สุด หากผิด 1 ข้อที่สำคัญดังกล่าว ก็เข้าป่า หาทางออกมิได้ดีๆนิเอง ทำไมท่านถึงเอา สัมมาทิฏฐิ มาไว้ข้างหน้า โปรดค้นหาคำตอบได้ใน หนังสือของ หลวงพ่อทูล ครับ

ขอความเจริญรุ่งเรืองในทางธรรมจงบังเกิดมีกับเพื่อนธรรมทุกท่านเถิด


สมาชิกธรรม: 11-09-2011, 09:45 PM#4765
เรื่องเหนือโลกเกิดขึ้นมากมายหลายอย่างจริงๆครับในช่วงเวลานี้...รวมทั้งวัตถุมงคลที่ทรงอิทธิคุณสูงทั้งหลายก็ทยอยออกมาบางส่วนกลับสู่เจ้าของเดิม ผู้มีบุญและเคยมีส่วนเกี่ยวข้องดั่งที่ท่านดร.นนท์ได้เคยกล่าวไว้ หลายๆคนก็สงสัยและก็รอคอยคำตอบก็คงเป็นเรื่องที่ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์...ช้าหรือเร็วไม่อาจคาดการณ์ได้แต่การมุ่งเน้นปฎิบัติก็ยังคงอยู่ในใจเรากลุ่มนักรบธรรมเสมอมิห่างหาย...ต้องเร่งแล้วหล่ะครับท่านทั้งหลาย.....

IT Man:11-09-2011, 10:29 PM#4766
ขอบคุณมากครับท่านฤาษี หึหึคุณแม่ชมถามพวกเราเมื่อวาระวันแม่ '54 หลังจากพ่อแม่ครูอาจารย์ได้เทศนาจบ...ว่า "เอาจริงมั๊ย?" ครูชาติตอบก่อนเลยว่า "เอาจริงครับ" หุหุ คุณแม่ชมบอกว่า "ต้องให้มันได้อย่างงี้ซี "

ผมเองในคืนนั้นยังลังเลที่จะตอบ วันต่อมาขึ้นภูผาผึ้งกลับลงมาก็ยังลังเล...พอกลับมาบ้านก็ยังไปเรื่อยๆมาเลียงๆ หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน...ก็ได้เริ่มเปลี่ยนนิสัยจากนอน 5 ทุ่ม ตื่น 7 โมงครึ่ง (ทำแบบนี้มาเกินสิบปี) มาว่าจะตื่นตี 5 ทำวัตรเช้า,เย็นทุกๆวัน ทำได้ไม่กี่วัน ร่างกายกลับตื่นตี 4 มาเอง เรื่อยๆ ไม่ง่วงด้วย แปลก... นานเข้าๆ ก็เป็นกิจวัตรแล้วครับ

ตื่นตี 4 ครึ่ง ทำวัตรเช้า ทำสมาธิ เดินจงกรม ส่วนตอนเย็นก็ 1 ทุ่มเป็นต้นไปหาเวลาทำวัตรเย็น ทำสมาธิ , ประมาณ 4 ทุ่มครึ่งเดินจงกรมอีกรอบ ก็เห็นพัฒนาการมาเรื่อยๆ จึงตกลงปลงใจโทรหาคุณแม่ชมว่า "ผมพร้อมและจะเอาจริงแล้วครับ" (พึ่งจะ)ตอบอย่างมั่นใจอย่างที่ไม่เป็นเป็นมาก่อน

เพื่อน นรธ.บางท่านจะมัวชักช้าอยู่ใย เราพบพระผู้เป็นของจริง เราได้ฟังพระธรรมที่เป็นของจริง แล้วตัวเราหล่ะ? จะเอาจริง (ปฏิบัติให้รู้ธรรมเอง) กะท่านหรือไม่? หากเราเอาจริง,ปฏิบัติจริงเราก็ได้ "ธรรม" อันเป็นของจริงที่ได้เกิดขึ้นในกายและจิตเรานั่นเอง

ทีนี้จักเข้าใจคำว่า "ถึงแล้วจะรู้เอง" "ปัจจัตตัง" "มหัศจรรย์ทางจิต" เช่นกันทุกคนครับ...ทิ้งได้เลยตำรา ก ข หุหุ


สมาชิกธรรม: 11-09-2011, 11:10 PM
ขออนุโมทนาและยินดีด้วยนะครับ"ต้องให้มันได้อย่างนี้ซี"แม่ชมกล่าวถูกต้องแล้วเห็นด้วยครับ ไม่เฉพาะแต่ใครบางคนเท่านั้นแต่เป็นกลุ่มนักรบธรรมทุกๆท่านและรวมถึงที่จะเข้ามาสมทบรวมกลุ่มอีกในวันข้างหน้านี้...(ค่อนข้างเป็นไปได้สูง)มีหลายๆคนร่วมแรงร่วมใจก้าวไปด้วยกันอบอุ่นดีครับ ให้คำแนะนำคำปรึกษาและเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน...ช้าหรือเร็วก็ทางเดียวกันนั่นแหละหากตั้งใจจริงก้าวเดินอย่างสม่ำเสมอเป็นหน้าที่ที่ต้องทำต้องปฎิบัติเชื่อว่าเส้นชัยสั้นลงอย่างแน่นอนครับผม...

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

การพัฒนา Boonvithee.Blogspot.Com

จากความพากเพียรไม่ค่อยได้พักผ่อนหรือปฏิบัติธรรมต่อเนื่องมาสองสามวัน ในค่ำคืนนี้...ขอเรียนให้เพื่อนนักรบธรรมทราบว่า การพัฒนาและนำเข้าข้อมูลที่สำคัญๆจากบอร์ดหลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิต สู่ บุญวิถีแห่งข้าพเจ้า.....ศรีสมบัติอรุณ.....SriSombatArunของผมสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว โดยเริ่มจากช่วงเข้าพรรษา คงเหลือแต่การปรับแต่ง font / path / interface นิดๆหน่อย

โดยได้จำแนกแยกย่อยมาสู่...blog ข้างล่างดังนี้

เรียงร้อยถ้อยธรร...
พระพุทธปฐวีธาตุ
บุญวิถีแห่งข้าพเ...
พ. สุรเตโช
สถานปฏิบัติธรรมภ...
พระเครื่องเรื่อง...

เรียนทุกท่านเข้าเยี่ยมเยียนและติชมผ่านมาทางบอร์ดหลวงปู่แหวนได้ครับ

ขอบคุณครับ

IT Man
22/09/'54 20:45

Boonvithee.Blogspot.Com

27: จุดเริ่มต้น...ประสบการณ์ธรรมของข้าพเจ้า

กำหนดการเข้าเยี่ยมกราบคารวะพ่อแม่ครูอาจารย์ของผม
(ไม่สงวนลิขสิทธิ์)

ภาคเช้า 05:00 ทำวัตรเช้า (ปัจจุบันเลื่อนเป็น 04:30)
ภาคค่ำ 19:00 ทำวัตรเย็น (ปัจจุบันเลื่อนเป็น 20:00)
ภาคดึก 22:00 เดินจงกรม


จันทร์เจ้า เช้านี้...งามบ่?
26-08-2011, 07:02 AM

ดร.นนต์: 26-08-2011, 10:25 AM  #4143
เมื่อคืนหลังจากคุณสาวกธรรม1 (อาบัง) มาพบผมและกลับไปแล้ว สักพักคุณโกศลได้พาญาติธรรมคหบดีผู้มีบุญลูกศิษย์พระอรหันต์หลวงพ่อกัญหาและหลวงพ่อจรัล ซึ่งเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่งมาพบผม เพราะเธอเกิดปีติตั้งแต่ได้เห็นภาพผม เมื่อมาเจอกันแล้ว เธอปีติร้องไห้ระล่ำระลักแล้วกล่าวคำออกมาว่า เคยติดตามพ่อแม่ครูอาจารย์มาหลายภพแล้ว อาการดั่งนั้น เป็นคล้ายกันกับตอนที่ผมปีติเมื่อวันเหตุการณ์ปาฏิหารย์ที่ภูดานไหและการเข้าไปกราบเท้าพ่อแม่ครูอาจารย์อย่างที่เรารับรู้กันแล้ว อาการปีติและการขอกราบไหว้ของเธอ ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์กลั้นความปีติยินดีไม่ได้เช่นกัน

การที่ผมยกเอาเหตุการณ์ดังกล่าวมาบอกเล่าในที่สาธารณะเช่นนี้ ด้วยเหตุอันควรที่จะขอกล่าวว่า นี่มันใกล้จะถึงเวลาปี ...... มันขมวดเข้ามาแล้วหนอ พ่อแม่ครูอาจารย์ตามหาลูกศิษย์ ลูกศิษย์ตามหาพ่อแม่ครูอาจารย์ เพื่อนธรรมตามหาสหายธรรม....

จึงขอให้เหล่านักรบธรรม จงเร่งความเพียร จงเป็นคนที่ไร้สภาวะและเงื่อนไข ไร้กาลเวลา ไร้สถานที่ สะดวกเมื่อไหร่ ทำอะไรอยู่ ก็ขอให้มีสะติระลึกรู้และโน้มสู่การวิปัสสนาได้ตลอดเวลา สะสมวันละเล็กละน้อย เพื่อการทรงฌาน ทรงญาณ และเพื่อความไม่ประมาท เมื่อครบวงรอบของมัน สภาวะของจิตและกระแสของธรรมจะพัฒนาของมันไปเองเป็นอัตโนมัติ ผู้เข้าถึงกระแสธรรมและกระแสเย็นแล้ว จะมิมีวันไหลย้อนกลับไปสู่กระแสร้อนได้อีกเลย ถึงเองรู้เอง ขอจงพิจารณา มหาพิจารณา

ผู้ต้องการความช่วยเหลือในกาลข้างหน้ามีมากมายนัก เหล่านักรบธรรมจงเข้าสู่กระแสธรรมและกระแสเย็นแห่งพุทธะโดยเร็วกันทุกคนนะครับ

IT Man: 26-08-2011, 03:20 PM #4149
โมทนาสาธุและยินดีด้วยนะครับ ที่ได้พบเจอเพื่อนธรรมที่สำคัญมากๆอีกท่าน

วันนี้เป็นวันครบขวบที่ 2 คือวันที่ 14 ของผมแล้วหลังจากที่ไปพบพ่อแม่ครูอาจารย์ล่าสุด (12/8/54)


เช้ามืดของวันนี้ราวตี 5 ครึ่ง ผมได้เข้าใจเองเป็นปัจจัตตังแล้ว กับคำพูดหลายๆครั้งที่ท่านนนต์ได้กล่าวไว้ ตั้งแต่ตอนไปพบพ่อแม่ครูอาจารย์วาระที่ 1 (เข้าพรรษา)

ตอนนี้หายสงสัยและรู้สึกละอายในดวงจิต เมื่อนึกถึงคราไปพบพ่อครูอาจารย์ในวาระแรกอย่างสุดซึ้งจริงๆ

วันนี้ตื่นตี 4 ขึ้นมาอัตโนมัติ...ต่อเนื่องมาสองวันแล้ว (ทั้งๆที่ตั้งใจจะตื่นตี 5) หลังจากทำวัตรเช้าเสร็จ ได้เข้าสมาธิสงบเร็วมากๆเพียง 2-3 นาที จิตได้ระลึกถึงพ่อแม่ครูอาจารย์และขอขึ้นไปกราบสมเด็จพระสัมมาฯไล่เลียงมาตั้งแต่องค์ปฐมจนองค์ปัจจุบัน หลวงปู่...หลวงพ่อ พระอริยะสงฆ์...พระโพธิสัตว์ พระมหากษัตริย์ บิดามารดา ฯลฯ ทำไมเราอยากไปกราบท่านเยอะขนาดนี้...ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็เลยน้อมจิตพุ่งตรงไปยังภูดานไห...เพื่อนั่งต่อหน้าพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช อธิษฐานในใจว่า...

"พ่อแม่ครูอาจารย์เอ๊ย...มื่อนี่ลูกอยากขึ้นไปกราบสมเด็จองค์ปฐม สมเด็จพระองค์ปัจจุบันและพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ หลวงปู่ หลวงพ่อ พระอรหันต์ในแดนพระนิพพาน พระมหากษัตริย์ บิดามารดา ครูอุปัชฌา-อาจารย์ นึกใบหน้ากะบ่ไหวและบ่ฮู่ว่าไปฮอดไปถึงเพิ่นบ่...ลูกกะเกิดบ่ทันเพิ่นนำ ดังนั้น ลูกขอกราบพ่อแม่ครูอาจารย์แทนท่านทั้งหลายที่กล่าวมาแล่วทั้งหมด สิได้บ่?"

พออธิษฐานจบ...แล้วได้ยินในมโนคติว่า "ได้" เท่านั้นแหละครับ กายผมสั่นสะเทิ้มประหนึ่งว่าปฐวีจะไหว สั่นสะเทือนตามก็มิปาน ลมในกายนั้นก็พยายามจะออกมาทางหู ผิวหนังบนศรีษะมันตึงไปทั้งหมดเลย เป็นแบบนี้ประมาณ 2-3 นาที กายผมก็สงบมากๆ นั่งสมาธิต่อไปได้เรื่อยๆ พร้อมกับมาทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ โอ้หนอ...พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านทำไมถึงได้รัก ได้โปรด ได้เอ็นดูศิษย์ผู้เขลามาก มาไม่รู้กี่ภพกี่ชาตินับไม่ถ้วนเลยทีเดียวจริงๆหนอ...

นักรบธรรม IT Man


somlatri: 26-08-2011, 04:44 PM
ผมเองเวลากรรมฐานก็ระลึกถึงพ่อแม่ครูอาจารย์แห่งภูดานไหเสมอครับ นึกไม่ถึงว่าเราจะใช้วิธีเข้านมัสการแบบเดียวกันเลย สาธุ สาธุ สาธุ

ดร.นนต์: 26-08-2011, 06:03 PM
ผู้เข้าถึงแล้ว รู้เอง เห็นเอง ขออนุโมทนา

สมาชิกธรรม: 26-08-2011, 10:52 PM
โมทนาสาธุครับ.....ยินดีกับความก้าวหน้าอีกระดับหนึ่งครับ...สุดยอดไปเลย

26: ความเห็นที่แตกต่าง

อัศวเมธ: 16-08-2011, 03:03 AM #3865
ผมต้องขออภัยต่อนักรบธรรมผู้ใฝ่ในธรรมทั้งหลาย ไว้ในเบื้องต้นก่อน ผมใคร่ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีสติให้มาก ๆ แล้วจงกลับสู่ความเป็นปกติธรรมดา ๆ อย่าได้ไหลหลงในมายาจิตที่ปรุงแต่งขึ้นออกไปจากแนวทางพระธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- การแสดงพลังอำนาจทางจิต เป็นของธรรมดาของผู้ที่ปฎิบัติทางจิตอย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิจสินธ์ แค่จิตที่เป็นสมาธิในขั้น อุปจารสมาธิ อัปปานาสมาธิ ก็สามารถแสดงพลังอำนาจทางจิตที่เหนือธรรมชาติได้แล้ว หากท่านมีจิตที่ตั้งมั่น อนึ่งลำดับขั้นทางจิตตั้งแต่ ขนิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปานาสมาธิ ปฐมฌาน .... จนถึงอรหัตมรรค อรหัตผล ศึกษาได้จากบทสวดในยอดพระกัณฑ์ไตรปิฏก สภาพจิตแห่งองค์สมาธิ องค์ฌาน เป็นอย่างไรศึกษาโดยละเอียดได้จากคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งองค์พระพุทธโฆษาจารย์ ได้รจนาไว้ในราวพุทธศตวรรษที่ 9 หลังพุทธปรินิพพานประมาณ 956 ปี ซึ่งได้อธิบายไว้อย่างละเอียดทั้งทางด้านสมถะกรรมฐาน คือฐานแห่งการงาน ทั้ง 4 บรรพ คือกาย เวทนา จิต ธรรม และ วิปัสนากรรมฐาน คือการใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ ไตร่ตรองตามความเป็นจริงแห่งธรรมชาติ ที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนันตา
- วัน เวลา ณ ปัจจุบันในทางพระพุทธศาสนา เราอยู่ในช่วงภัทรกัปป์ คือ กัปป์ที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ 5 พระองค์ คือ นะ โม พุทธ ธา ยะ (นะ : พระกกุสนโท , โม : พระโกนาคม , พุทธ : พระกัสปะ , ธา : พระสมณโคดม , ยะ : พระศรีอริยะเมตไตรย) เมื่อสิ้นศาสนาแห่งองค์พระสมณโคดม (พระพทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) องค์พระอชิตะเถระ ก็จะเสด็จมาตรัสรู้เป็นองค์พระศรีอริยะเมตไตรย สัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อสิ้นยุคพระศรีอริยะเมตไตรย และ สิ้นภัทรกัปป์นี้ โลกจะค่อย ๆ เสื่อมลง ๆ และ จะค่อย ๆ วิวัฒนาการเจริญขึ้น ๆ โลกก็จะเข้าสู่มัณฑกัปป์ คือกัปป์ที่มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาตรัสรู้ ๒ พระองค์ ซึ่งก็คือ พระรามโพธิสัตว์ ๑ และ พระเจ้าปเสนทิโกศล โพธิสัตว์ ๑ เป็นแรกปฐมกัปป์ ขอท่านนักรบธรรมทั้งหลายศึกษาได้จากคัมภีร์อนาคตยวงค์ (องค์มหาพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อีก 10 พระองค์ในภายภาคหน้าต่อจาก องค์พระสมณโคดม สัมมาสัมพทธเจ้า) หรือ Search หาจาก Google ก็ได้ครับ


IT Man: 16-08-2011, 09:05 AM #3866
อาการหลง: คือไม่รู้ว่าตัวเองหลง

อาการไม่หลง : คืออาการที่มีสติรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่


อาการปลื้มปีติ : แสดงออกได้หลากหลายรูปแบบตามจริตนิสสัย เป็นธรรมดาของสามัญชน เมื่อคลายปีติก็จักเข้าสภาวะสามัญลักษณะเอง

อภินิหารเล็กๆน้อยๆ : เกิดจากเทพเทวา ก็พอเป็นกำลังใจให้เข้าหาปฏิบัติ ทั้งนี้ก็เป็นการแสดงให้ดูเฉพาะเหล่าศิษย์ผู้สนิท เฉกเช่นพระอริยะเจ้าท่านมีดีถึงขั้นพระอรหันต์ จะบอกว่าไม่มีคงไม่ได้ ตราบใดที่ปฏิบัติตามครรลองของมรรคมีองค์ 8 ก็จักต้องมีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก เพื่อเป็นกำลังใจให้ลูกศิษย์ลูกหาตั้งใจปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้น

อดีตชาติที่เคยยิ่งใหญ่ปานใดก็ไร้ค่า หากยังหลงอยู่ : ไม่มีประโยชน์อันใดกับอาการอิ่มในรสอาหารของเมื่อวันวาน อดีตชาติเป็นอุทาหรณ์ในภพปัจจุบันว่า แม้ท่านจะยิ่งใหญ่ มีพระคุณต่อพระศาสนามากมายเพียงใด ก็ยังไม่ถึงทางแห่งความพ้นทุกข์ ชาตินี้จึงต้องตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้มากๆ

การบำเพ็ญเพียรแห่งพระโพธิสัตว์ : ก็เห็นเป็นเช่นนี้มาทุกๆกัปพุทธันดร ก่อนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์กับเหล่าสาวก ต่างก็ต้องเสด็จลงมาบำเพ็ญเพียรเวียนเกิดเพื่อสะสมพระบารมีจนกว่าจะเต็ม บางพระองค์เต็มแล้วเต็มอีก ก็เสด็จลงมาช่วยกันโปรดในยุคกึ่งพุทธกาลนี้ ทำไมถึงจะกล่าวถึงไม่ได้เล่า?


ครูชาติ: 16-08-2011, 10:28 AM #3868
ยินดีต้อนรับคุณอัศวเมธ ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำให้ความรู้แก่พวกเรา ...และให้สติพวกเรานักรบธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราเห็นและประสบมาที่นำเสนอตรงนี้ขอบอกก่อนไม่มีอคติ ไม่มีการปรุงแต่ง แต่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติทั้งสิ้น หากสิ่งนั้นเป็นความจริง ความจริงย่อมมีอยู่ และรอการพิสูจน์ดัง พุทธสุภาษิตที่ว่า "สจฺจํเว อมต วาจา" การมองการเห็นอะไรต่างๆ ต้องปราศจากอคติ มีสติไม่หลง ส่วนผู้ที่มาพบเห็นก็คงต้องพิจารณาเองตามสภาวะจิตของเขาเองบังคับไม่ได้...โลกมนุษย์นี้เป็นโลกสมมติ โดยมีโลกธรรม เป็นที่พึง คนที่เอาโลกธรรมเป็นที่พึ่งย่อมมองไปในทางโลกธรรม...โดยมองแบบโลกเขามองกัน...คือมองแบบโลภ โกรธ และหลง ส่วนพวกเรานักรบธรรมนั้น มีที่พึ่งเช่นกันคือ มีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง การมองของพวกเราจะมองเพื่อละ ..โลภ โกรธ และหลง...ดังนั้น การรู้การเห็นจึงบอกว่าเป็นปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น บอกใครไม่ได้ อย่างเรานั่งตากแดดเราก็จะบอกว่าร้อนแต่ความรู้สึกที่ร้อนไม่สามารถบอกใครได้ว่าร้อนอย่างไร ในความร้อนนั้นมีความเย็นด้วย แล้วความเย็นในร้อนเป็นอย่างไร บอกใครไม่ได้...ครับ....ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นปัจจัตตังครับ...ขอบคุณที่มาเยี่ยมและคำแนะนำที่ดีๆ ....ขอให้ท่านอัศวเมธจงเจริญในธรรม หากมีโอกาสเจอกัน และสนใจปฏิบัติธรรมอยากเชิญร่วมมาปฏิบัติธรรมที่ภูดานไหด้วยกัน...เราเจอคนดี ก็อยากชวนมาร่วมด้วย...การมารู้จักกันด้วยบุญ ถือว่าเป็นการสร้างบารมีร่วมกัน...ข้อความที่ผมตอบท่านไปหากมีอะไรที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ กระผมก็ขออภัยด้วย...และเป็นความรู้สึกของผมคนเดียวที่จะเล่าให้ฟังไม่เกี่ยวกับนักรบธรรมคนอื่นนะครับ...

somlatri: 16-08-2011, 04:22 PM #3876
ท่าน IT Man กล่าวดีแล้วหนอ
ครั้งพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงยมกปาฏิหารย์ พระอัครสาวกหลายองค์ก็แสดงฤทธิ์และปาฏิหารย์ โมทนาสาธุ


ดร.นนต์: 17-08-2011, 10:12 AM #3883
พระพุทธเจ้าทรงแสดงอภินิหารย์มากมาย ตั้งแต่ทรงประสูติแล้ว ใครๆก็รู้ทั้งนั้น มิใช่เรื่องแปลกใดๆเลย ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงแสดงในกาลอันควรกับบุคคลอันควรทั้งนั้น

ผู้ที่สำเร็จปริญาเอก เป็นล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ใบ
และผู้ที่สำเร็จเปรียญธรรมเก้าประโยค เป็นล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ภพ

ก็มิได้มีความหมายใดๆ เท่ากับการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ แม้จะเป็นเพียงการเริ่มต้นที่น้อยนิด แต่ยังดีกว่าผู้ที่ท่องจำพระไตรปิฎกได้ทุกตัวอักษร และท่องได้มาเป็นเวลาหลายๆๆๆๆๆๆๆๆ...ภพชาติแล้วก็ตาม จะไปรู้ดีเท่ากับนักปฏิบัติและผู้พ้นแล้วกระนั้นหรือ

การที่เส้นพระเกศาของพ่อแม่ครูอาจารย์ กลายเป็นพระธาตุ ในขณะที่มีชีวิตอยู่นั้น หมายความว่าอย่างไร จะอธิบายเป็นอย่างอื่นได้อย่างนั้นหรือ มิใช่ของจริงกระนั้นหรือ ขอผู้ที่ยังสงสัย จงพิจารณาใคร่ครวญให้รอบคอบก่อนที่กระทำสิ่งที่มิอันควร(โดยอาจไม่มีเจตนา)ลงไป

กระแสธรรมนั้น ของจริง ของแท้ ของพระพุทธเจ้า ของพระนิยตโพธิสัตว์เจ้า และอรหันต์เจ้า ก็ย่อมแท้วันยันค่ำ มิแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้

พ่อแม่ครูอาจารย์ ท่านสอนและอบรมแต่ธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมที่ท่านบรรลุด้วยวิถีการปฏิบัติ ท่านเน้นการใช้ปัญญามากกว่าสิ่งอื่นใด สิ่งวัตถุมงคลทั้งหลายท่านก็ทราบว่า เหล่านักรบธรรมมีความชื่นชอบเพราะเป็นจริตเดิมที่ได้มีส่วนสร้างพระ สร้างถาวรวัตถุทางพุทธศาสนา มาหลายภพหลายชาติแล้ว ท่านก็ได้อบรมสั่งสอนไม่ให้ยึดติดในวัตถุเหล่านั้น ในส่วนของอิทธิปาฏิหารย์และการรู้อดีตอนาคตนั้น ถือเป็นเรื่องธรรมดามากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของนักปฏิบัติ โดยเฉพาะพระผู้พ้นแล้ว ผู้อยู่เหนือโลกแล้ว มิใช่อยู่ๆจะแสดงให้ใครๆดูก็ได้ ถ้าผู้นั้นมิใช่สาวกหรือผู้มีบุญวาสนาผูกพันกันมาตั้งแต่อดีต

พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านสอนธรรมตามวาระจิต สอนวิธีการลดการละตามวาระจิต ไม่ต้องถามไม่ต้องบอกท่านก็รู้ ซึ่งนักรบธรรมทั้งหลายล้วนเจอมากับตัวเองทั้งนั้น ในโลกปัจจุบันนี้ จะมีพระอริยเจ้าสักกี่องค์ที่รู้และสอนธรรมตามวาระจิต (มิใช่สอนตามคำภีร์ที่ท่องจำมา) และเหตุแห่งการที่ท่านสอนธรรมไปพร้อมกับการนั่งสมาธิท่ามกลางแสงแดดบนลานหินยอดเขานั้น อันเนื่องจากนักรบธรรมท่านหนึ่งมีความห่วงใยพ่อแม่ครูอาจารย์ กลัวว่าท่านจะร้อนจึงนำร่มไปกางให้ท่าน ท่านจึงใช้กลอุบายนี้สอนพวกเราทันที คือการไม่ยึดมั่นถือมั่นในสภาวะของโลก ท่านสอนเรื่อง สิ่งที่ถูกรู้ ...ผู้รู้....เพื่อจะได้ไม่ทุกข์กับความร้อนที่กำลังเข้ามาปะทะตัวเรา แต่เป็นการให้ปฏิบัติเพียงไม่นานประมาณสิบนาทีเท่านั้น เพราะท่านรู้กำลังของเหล่านักรบธรรมเป็นอย่างดี ผมเองเมื่อปฏิบัติตามท่าน ก็คือ พิจารณาความร้อนที่กำลังแผดเผาผิวกายเราอยู่นั้นเราก็รู้ ผู้ถูกรู้ก็คือ กายที่ปะทะกับความร้อน ผู้รู้ก็คือ จิตที่รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น ผู้ละวางก็คือ การไม่ยึดมั่นถือมั่นเอามาเป็นความทุกข์ เพราะเราเข้าใจได้ว่า ความร้อนและกายมันก็เป็นไปตามสภาวะของโลก มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นของธรรมดา เมื่อกำลังจิตของเราพิจารณาไปดั่งนั้น ความร้อน ความเย็น ก็มิได้มีความหมายใดๆให้เราเกิดทุกข์ได้ เมื่อพิจารณามาถึงตรงนี้ จิตของเราก็รวมเป็นหนึ่ง ไม่รู้สึกอะไรเลย นอกจากความเย็นซาบซ่านไปทั้งตัว เมื่อเป็นดั่งนี้ แล้วจะให้เราอธิบายได้อย่างไร จะบอกว่าพวกเรากำลังหลงฤทธิ์หลงปาฏิหารย์อย่างนั้นหรือ ความจริง จากการปฏิบัติจริง จากพ่อแม่ครูอาจารย์จริง แม้เป็นเพียงเสี้ยวส่วนหนึ่ง พวกเราก็อดไม่ได้ที่จะนำมาบอกกล่าวเพื่อนธรรม ตามภูมิแห่งพวกเราที่มีน้อยนิด ก็อาจมีประโยชน์และส่งสารไปยังผู้ที่กำลังแสวงหาธรรมอยู่บ้างก็ได้

พ่อแม่ครูอาจารย์บอกว่า การพูดความจริง ของจริง ก็สมควร แต่อย่าได้ปรุงแต่งหรือเพิ่มเติมหรือผิดเพี้ยนไปเป็นอันขาด ความจริงก็คือความจริง พระพุทธเจ้าให้พูดแต่ความจริง ดังนั้น ความจริงจึงไม่กลัวผู้ที่ไม่จริง

การรู้ในสิ่งที่เห็นที่มีที่เป็น ของเหล่านักรบธรรมในขณะอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์นั้น มันไม่สามารถอธิบายให้ผู้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ได้ซาบซึ้งหรือเข้าใจได้ทั้งหมด มันเป็นปัตจัตตัง และเป็นปัตจัตตังของผู้มีปัญญา ผู้ผ่านการปฏิบัติมาแล้วทั้งสิ้น ความงมงาย ความหลงเชื่อ ความหลงผิด จึงเป็นสิทธิ์ของผู้ไม่ได้เกี่ยวข้องจะคิดว่าเป็นเช่นนั้น

ความมั่นคง หนักแน่น เอาจริง ปฏิบัติจริง เมื่อเจอของจริงแล้ว จึงเป็นสิ่งที่เหล่านักรบธรรมสมควรจะต้องปฏิบัติ เพื่อให้สมกับความเป็นลูกของพระพุทธเจ้ากันทุกคน

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์


ครูชาติ: 17-08-2011, 10:43 AM #3884
ขออนุโมทนาสาธุ... ในคุณธรรมของท่าน ดร.นนต์ ที่แสดงออกมา...ขนาดมาศึกษากับพ่อแม่ครูอาจารย์เพียง 2 ครั้ง ยังได้อะไรไปมากขนาดนั้น อยากให้มาปฏิบัติ จริงๆ แล้วเอาปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์จริงๆ สัก 7 วันจังเลย ท่านอาจจะเป็นบุคคลแรกในกลุ่มที่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงได้เป็นแน่.....ขออนุโมทนาสาธุในสิ่งที่ท่านได้แสดงออกมาอีกครั้ง ....ธรรมะจากการปฏิบัติมิอาจผิดเพี้ยน แต่ธรรมะที่มีอยู่ในตำราอาจจะมีการผิดเพี้ยนได้ เพราะหากผู้เขียนตำรานั้นไม่เคยปฏิบัติ หรือไม่ใช่พระอริยสงฆ์ การเขียนอาจมีการแทรกความคิด ความเห็นของผู้เขียนลงไปบ้าง หรือบางครั้งคุณธรรมที่เป็นส่วนลึกๆ ไม่อาจจะเขียนออกมาในตำราได้ ...ฉะนั้นธรรมะในหนังสือ จึงเป็นธรรมะระดับกลางๆ ที่เขียนเพื่อให้ผู้อ่านได้ความรู้...พอเป็นแนวทางไปสู่การปฏิบัติ...หากต้องการธรรมะขั้นละเอียดต้องปฏิบัติเอง....อย่างที่หลวงตามหาบัวท่านกล่าวว่า "เรื่องราวเกี่ยวกับพระอรหันต์ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่รู้คนอื่นไม่อาจรู้ได้ ...." คนที่ปฏิบัติธรรมก็ย่อมเห็นธรรมะตามสภาวะจิต สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน...สิ่งที่พวกเรานักรบธรรมแสดงออกไปก็เพื่อเป็นการสื่อสารระหว่างกัน และเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมขั้นสูงต่อไป...
ขอให้ทุกท่านจงมีความเจริญในธรรม....

25: จากความฝันสู่...พระธาตุหลวงปู่ม่นเสด็จ


เช้าวันนี้ผมมีความฝันที่เป็นจริงมาเล่าสู่เพื่อนธรรมทุกท่าน (อีกแล้ว)

เมื่อคืนผมฝันว่า...ได้พบคุณพ่อผมที่ท่านได้เสียมานานแล้ว แต่จำความไม่ได้นะว่ามีเหตุการณ์อะไรบ้าง แต่ที่จำได้คือ....(ฝันต่อ)

ผมฝันว่า...ได้เดินทางเข้าป่ากับพ่อแม่ครูอาจารย์ คุณแม่ชม และผม แล้วพบโยมผู้หญิงท่านหนึ่ง นิมนต์พ่อแม่ครูอาจารย์ให้มาขึ้นบ้านใหม่ของเธอ (ในกลางป่า) แต่ผมดูสภาพบ้านแล้วนี่เก่ามาก สภาพเหมือนกุฏิน้อยที่ผมไปปฏิบัติธรรม แต่ใหญ่กว่านิดนึง สีออกทึบๆ เรียงกันเป็นแนวหลายหลัง

พวกเราทั้งสามรวมเจ้าของบ้าน ซึ่งนั่งข้างผม ไม่พูดไม่จา และผมไม่เห็นหน้าด้วยนะ ได้มาล้อมวงกันกินข้าวหน้าบ้าน มีจำพวกผัก น้ำพริกหรืออาหารป่า...ขณะนั้นผมเตรียมจะนำกล่องข้าวเหนียวขนาดเล็กถวายพระอาจารย์ แต่คุณแม่ชมได้หยิบทานก่อนเสียแล้ว แม่ชมเลยชี้ให้ถวายกระติบข้าวขนาดใหญ่ ซึ่งตอนนั้นเปิดฝาไว้ มีข้าวเหนียวอยู่ไม่มากนัก

ผมปิดฝาแล้วยกถวายท่าน พอท่านเปิดกระติบข้าว ท่านก็หยิบจานใส่ลาบหมูออกมา เต็มจานเลยครับ ผมตกใจร้องทักท่านว่า พระอาจารย์เอาลาบมาจากไหนครับ...ระคนดีใจ และสงสัยว่าทำไมต้องทานข้าวร่วมวงกะท่านด้วยหว่า...อีกอย่างตอนถวายในกล่องข้าวมีแต่ข้าวเหนียว ซึ่งความรู้สึกตอนแรกผมเฉยๆนึกว่าลาบเนื้อ เพราะผมไม่กินเนื้อวัว แต่พอมาทวนความฝันแล้วลาบนี่มันมีมันหมูด้วยนี่ 5555 จากนั้นนาฬิกามาปลุกให้ทำวัตรเช้าเสียนี่ เหอๆๆๆ

พอทำวัตรเช้าเสร็จยังไม่นั่งสมาธิ...สงสัยในฝัน เอ หรือว่าพ่ออยากให้เราเอาล็อกเกตที่ทำไว้ตั้งแต่ท่านมีชีวิต (ราวๆสิบปี)+เขี้ยวของท่าน มาห้อยคอวาระไปภูดานไหหนอ...ผมก็เลยหาตลับเงินที่ซื้อไว้นานไม่เคยใช้ มาใส่ซึ่งช่างพอดิบพอดีกันจังเลย แล้วผสมใส่นู่นนี่ตามจริตเดิม


ทีนี้นึกถึงสีผึ้ง หลวงปู่ม่น(ท่านทำให้เฉพาะศิษย์ใกล้ชิด) วัดเนินตามาก ชลบุรี ที่ศิษย์ (พนง.ใน office) ก้นกุฏิท่านตอนบวชเป็นเณรอุปัจฐากได้มา เลยแบ่งให้ผมนานหลายเดือน ผมก็ใส่ฝาเครื่องเบญจรงค์ไว้ที่ office ปิดกล่องไว้จนลืม

เช้านี้ที่ทำงานผมเลยแกะตลับล็อกเกตออกมาเพื่อเอาสีผึ้งป้ายด้านหลังรูปพ่อกะแม่ พอป้ายเท่านั้นแหละครับ ผมเห็นเม็ดกรวด ทรายหลากสีอยู่ใด้สีผึ้งครับ ตกใจสงสัยจะเป็นพระธาตุหลวงปู่ม่นเสด็จมาโปรดครับท่านทั้งหลาย

หลวงปู่ม่น...เท่าที่ผมถามน้องที่ให้สีผึ้งมาเรื่องจริยาวัตรของท่านงดงามเหมือนพ่อแม่ครูอาจารย์ของเรา คือปฏิบัติธุดงควัตร 13 ประการเช่นกัน ไม่รับเงินทองเช่นกัน ไม่มีงานรื่นเริงในวัด กลางคืนคนใกล้ชิดจะรู้สึกเหมือนมีเทพ มีเทวดามาสนทนาธรรมกะท่านเนืองๆ...เป็นต้นครับ

หลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก ชลบุรี

พระครูสุจิณธรรมวิมล หรือ หลวงปู่ม่น ธัมมจิณโณ อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อ ดังวัดเนินตามาก ต.โคกเพลาะ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี นามเดิม นายม่น นามสกุล วิญญาณ เกิดเมื่อวันเสาร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีจอ ตรงกับวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2453 โยมบิดาชื่อ มา โยมมารดาชื่อ แดง มีพี่น้องรวมกัน 3 คน คือ 1.นางเทียม เอมเปีย 2.หลวงปู่ม่น 3.นางย้อย โบราณ

ในวัยเยาว์ โยมบิดามารดา นำไปฝากเรียนกับพระที่วัดใกล้บ้าน ศึกษาอักขระสมัย เนื่องจากท่านเป็นผู้มีจิตใจอ่อน โยน โอบอ้อมอารี สนใจใฝ่เรียน มีความพยายามและอดทนเป็นเยี่ยม ทำให้พระอาจารย์ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้อย่างเต็มกำลัง จนมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ด้านอักษร การแพทย์แผนโบราณ และการช่าง
เนื่องจากท่านเป็นบุตรชายคนเดียว จึงถือเป็นหลักของครอบครัว ขยันขันแข็ง ประกอบสัมมาอาชีพช่วยเหลือโยมบิดามารดาทำให้ครอบครัวมีฐานะมั่นคงในเวลาต่อมา มีที่นาทำกินเป็นของตนเองจำนวนพอสมควรจนกระทั่งอายุได้ 29 ปี ท่านจึงได้ขอบรรพชาอุปสมบท ในวันเสาร์ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 5 ตรงกับวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2481 ณ พัทธสีมาวัดโคกเพลาะ ต.โคกเพลาะ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี

มี พระครูสังวรศีลาจารย์ วัดหลวงพรหมาวาส ต.วัดหลวง อ.พนัสนิคม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพิพัฒน์ธรรมคุณ วัดโบสถ์ ต.วัดโบสถ์ อ.พนัสนิคม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระครูอาจารสุนทร วัดโคกเพลาะ ต.โคกเพลาะ อ.พนัส นิคม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า "ธัมมจิณโณ" เมื่อได้อุปสมบทแล้ว ได้พำนักที่วัดโคกเพลาะระยะหนึ่ง จึงได้ย้ายไปจำพรรษา ที่วัดเนินตามาก เริ่มศึกษาเล่าเรียนคันธุระและวิปัสสนาธุระอย่างจริงจัง เคร่งครัด ประกอบคุณงามความดีตามความเหมาะสมของเพศสมณะ ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในธรรมวินัยตั้งแต่เริ่มอุปสมบท ศึกษาปริยัติธรรม เข้าสอบนักธรรมชั้นตรี ชั้นโท ตามลำดับ มีความสามารถในการจำและสวดพระปาฏิโมกข์ได้ จนมาทำการค้นคว้าด้วยตนเอง ฝึกการปฏิบัติจิตและกัมมัฏฐาน

เพื่อหลุดพ้นอย่างจริงจังเมื่ออุปสมบทได้ 5 พรรษา จึงได้ออกธุดงค์เพื่อหาประสบการณ์ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น พระพุทธบาท สระบุรี วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นต้น

ท่านเล่าว่า ไปศึกษาวิชาธรรมกายกับ หลวงพ่อสด วัดปาก น้ำ (สมัยที่หลวงพ่อสดยังมีชีวิตอยู่) แต่เมื่อปฏิบัติได้ 7 วัน ท่านบอกว่าไม่ถูกกับจริต เลยขอลาไปที่อื่นต่อมาภายหลังท่านได้ฝากตนเป็นศิษย์ พระสมุห์บุญยิ่ง วิริโย ที่วัดเขาบางพระ อ.ศรีราชา รับคำแนะนำสั่งสอนในการปฏิบัติอันเป็นไปด้วยธาตุและจริตเป็นหนึ่งเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาด้านเวชกรรมจากพระสมุห์บุญยิ่งเพิ่มเติมจนมีความเชี่ยวชาญ ต่อมา พระสมุห์บุญยิ่ง ได้ชักชวนหลวงปู่ม่น ออกธุดงค์หาสถานที่ปฏิบัติวิเวก เป็นสัปปายะ จนได้พบถ้ำจักรพงศ์ บนเกาะสีชัง ทั้งอาจารย์และศิษย์จึงได้พำนักอยู่ ณ ที่นี้ จนหลวงปู่ม่นเกิดความก้าวหน้าทางจิตเป็นอย่างมาก

ปี 2490 พระอธิการกี่ เจ้าอาวาสวัดเนินตามาก ได้ลาสิกขา ทางคณะสงฆ์ และอุบาสก อุบาสิกาได้มาอาราธนานิมนต์หลวงปู่ม่น กลับไปเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด สั่งสอนภิกษุ สามเณร และ อุบาสก อุบาสิกาสืบต่อไป เมื่อหลวงปู่ม่นเป็นเจ้าอาวาส ได้ปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ทำนุบำรุงวัดเนินตามากให้เจริญรุ่งเรือง สร้างถาวรวัตถุ เช่น อุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิ วิหาร ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังช่วยพัฒนาท้องถิ่น ทำถนน ไฟฟ้า สร้างโรงเรียน ตั้งกองทุนมูลนิธิต่างๆ ให้การศึกษาแก่พระภิกษุ สามเณร สอนนักธรรม พระนวกะ ส่งเข้าสอบนักธรรมสนามหลวงทุกปี หลวงปู่ม่นเป็นที่เคารพศรัทธาของบรรดาศิษย์ เสียสละ สร้างคุณงามความดี ให้แก่พระพุทธศาสนาและท้องถิ่น เป็นที่ยอมรับของสาธุชนทั่วไป ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดหลวงปู่ม่นมากที่สุด คือ พลเอกเชษฐา ฐานะจาโร ส่วนเหรียญที่มีประสบการณ์มากที่สุด คือ "รุ่นเจริญพร" ซึ่งเป็นรุ่นที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่บูชาติดตัวมากที่สุด

ปี 2529 คณะสงฆ์ได้พิจารณาขอพระครูชั้นโทที่ พระครูสุจิณธรรมวิมล ปี 2523 หลวงปู่ม่นได้อาพาธด้วยโรคอัมพฤกษ์ เข้า รับการรักษาที่โรงพยาบาลพนัสนิคม เกือบหายเป็นปกติ จึงกลับมาพักฟื้นที่วัด จนกระทั่งปี 2537 ท่านอาพาธหนักอีกครั้ง เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมิติเวช กรุงเทพฯ เป็นเวลาถึง 8 เดือน จึงสามารถกลับมาอยู่วัด

หลังจากนั้น ท่านก็อาพาธเป็นๆ หายๆ เข้าออกโรงพยาบาลสมิติเวช กระทั่งมรณภาพด้วยอาการสงบ ณ โรงพยาบาลสมิติเวช เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 ต.ค.2541 เวลา 18.00 น. สิริอายุได้ 88 ปี 5 เดือน 24 วัน พรรษา 60



เรื่องเล่าของน้องที่เคยเป็นศิษย์ท่าน

หลวงปู่ม่น ท่านเป็นพระเกจิดัง อีกท่านหนึ่งของชลบุรี สมัยก่อนตอนท่านยังอยู่ดังมากเรื่องแก้คุณไสย ไล่ผี ถ้าไปรักษาที่ไหนไม่หาย มาหาท่านแล้วหายทุกราย ขนาดหลวงพ่อเอียตอนท่านอายุมากแล้ว มีคนมาให้ท่านไล่ผีที่สิงในร่างคน ท่านยังแนะนำให้ไปหาหลวงปู่ม่นเลย หลวงปู่ม่นท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูงมาก ขนาดชาวบ้านมาตามจับหมาที่ไปกัดเป็ดชาวบ้านและหนีมาอยู่ข้างกุฏิท่าน จะเอาไปยิงทิ้ง พอมาขออนุญาตท่านเพื่อไปจับหมา พร้อมกับเล่าเรื่องให้ท่านฟัง ท่านบอกว่า เดี๋ยว... แล้วท่านก็เอาข้าวให้หมากิน พอชาวบ้านเอาหมาออกไปพ้นเขตวัด แล้วเอาปืนมายิงหมา ปรากฏว่ายิงยังไง ก็ยิงไม่ออก กระสุนด้านทุกนัด เลยต้องกลับมาขอขมาท่าน แล้วก็เลยเลิก ไม่ยิงหมาแล้ว ให้อภัยมัน... สำหรับวัตถุมงคลที่ท่านอธิษฐานจิต มีประสบการณ์ทุกรุ่น ไม่เว้นแม้แต่ภาพถ่ายของท่าน เคยมีคนเอาภาพถ่ายของท่านไปผูกคอไก่ แล้วลองยิงห่างแค่ 2 ฟุต ยังยิงไม่โดนเลย ยิงยังไงก็ไม่โดนครับ มีอยู่รายหนึ่งโดยควายขวิดจนกระเด็น แต่ก็ไม่เป็นไร หรือบางคนโดนหมากัดก็ไม่เข้าบางคนขณะออกไปทำไร่ ทำนา ก็ไปเหยียบ งูเห่าเข้า แทนที่จะฉก กลับกลายเป็นเลื่อยหนีหายไปเองอย่างน่าอัศจรรย์

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

24: ขอพระบารมีเบื้องบนช่วยบรรเทาอุทกภัย

อย่าพึ่งเชื่อ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
IT Man/09.08.56

LINK : 4944

ทรงกลด: ขออภัยถ้าล่วงเกินครับ ขอเชิญท่านทั้งหลายร่วมกำหนดจิต สวดมนต์ภาวนา เพื่อบรรเทาภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในหลายๆที่ในขณะนี้ครับ ขอบคุณครับ

ดร.นนต์: ขออนุโมทนากับท่านทรงกลดครับ
ทุกคนสามารถทำได้ตลอดเวลา ใช้มโนมยิทธิ (จะจริงไม่จริงก็ช่าง) โดยขออาราธนาพระบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันต์เจ้า และครูอาจารย์สืบต่อกันมา ทุกๆพระองค์ แล้วให้นึกถึงแสงแห่งฉัพพรรรณรังสีแผ่ไปทุกแห่งที่มีพระธาตุเจดีย์ในประเทศไทย แล้วขยายเป็นวงกว้างจนสุดประมาณ พระบรมสารีริกธาตุแต่ละแห่งท่านจะแผ่เป็นรัศมีเป็นวงรอบออกไป แล้วโน้มจิตขอยกพื้นดินแห่งพระพุทธศาสนาทุกแห่งให้สูงขึ้น ให้ปลอดภัยจากน้ำท่วม แผ่นดินไหว และจากบุคคลใจบาป ขอให้เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ และภพภูมิทั้งสาม ในขณะที่ท่านแผ่ออกไปนั้น ให้สังเกตที่ตัวท่านว่า มักจะปรากฏมีพลังคลื่นบางอย่างตอบกลับมาเร็วมาก การกระทำเช่นนี้ นับว่าเป็นกุศลใหญ่มาก หากทำพร้อมกันหลายๆคน หลายๆจุด ก็จะเสมือนการพระพือปีกพร้อมกัน เหมือนการยกแหที่แผ่ออกมา หากช่วยกันหลายๆคน จับเป็นวงรอบ และจับตรงกลาง แหนั้นก็จะถูกยกขึ้นเท่าๆกัน ไม่ยุบ ไม่หย่อน การกระทำดีร่วมกัน มันก็เป็นดั่งนี้แล

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์

ขอเชิญแวะเข้าไปชมบล็อก Good Amulets for Good Man ผมกำลังนำภาพพระสวยๆมาโชว์ เป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษครับ http://doctoramulet.blogspot.com/

ขอพระบารมีเบื้องบนช่วยบรรเทาอุทกภัย

สวัสดีตอนเช้าวันพุธที่ 21 กันยายน 2554 ครับ
เมื่อวาน...1 ทุ่มเศษ ท่าน ดร.ณัฐชัย โทรมาสอบถามเรื่องสถานที่ที่อัญเชิญพระบรมฯไปถวายนั้น เจอภัยพิบัติน้ำท่วมหรือไม่? ผมจึงตอบไปว่า...ส่วนใหญ่ไม่เจอ เพราะอยู่บนเขา ส่วนที่ลุ่มก็ไม่น่าจะมี แต่ผมรับปากว่าจะสืบให้ครับ

ต่อมาคุยกันเรื่องพรที่ได้รับมาจากเบื้องบนมานั้น สามารถช่วยสงเคราะห์ผู้กำลังประสบภัยและภัยต่างๆได้ไม่เกินกรรม (ผมเองก็นึกว่าจะใช้อธิษฐานเพิ่มพลังพระได้อย่างเดียวเท่านั้น หุหุ) ท่าน ดร. ได้บอกต่อว่าท่านได้ช่วยไปแล้วและเห็นผล แล้วท่านก็ย้อนถามผมว่า ผมหน่ะกำลังทำอะไรอยู่...ทำผมสะอึกนิดนึง...เลยพูดตามตรงว่า กำลังทำวัตรเย็นอยู่ หุหุ ท่าน ดร.ก็เลยเลยบอกว่าโทรมาขัดจังหวะ ผมเลยบอกไปว่า...ไม่ป็นไรครับ เพราะรู้ว่าเป็นสายสำคัญ

ผมก็ทำวัตรต่อ เสร็จแล้วก็ครุ่นคิดว่าเราจะช่วยเหลือได้อย่างไรกันหนอ (ยังสงสัยในพร ฤทธิ์ต่างๆที่สอง ดร.ว่าผมมีอยู่จริง)

เช้านี้ หลังทำวัตรเช้าเสร็จประมาณตี 5:20 ได้พักผ่อนอริยาบทนิดนึง ก็เริ่มจะปฏิบัติสมาธิต่อ...โดยการนำพระพุทธปฐวีธาตุองค์พระเมตตาเกสาธรรม มาประทับฝ่ามือ แล้วสวด "มุนินทะ วะทะนัมภุชะ..."

จากนั้นอธิษฐานว่า "ข้าพระพุทธเจ้าขอนั่งสมาธิเพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ถึงซึ่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ในแดนพระนิพพาน ตลอดทั้งคุณบิดา-มารดา ผู้มีพระคุณ เทพ อินทร์ พรหม นาค ครุฑ ทั้งหลายสืบต่อกันมาทุกๆกัปพุทธันดร ขอท่านทั้งหลายจงได้มาประสาทพรให้การกระทำนี้ให้รู้แจ้ง มีปัญญาญานให้ถึงฝั่งพระนิพพานด้วยเถิด บุญกุศลนี้หากพึงมี ข้าพระพุทธเจ้าขออุทิศให้สรรพสัตว์ทั่วทุกแดนโลกธาตุ ตั้งแต่สัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน มนุษย์ สุดรอบขอบจักรวาล สวรรค์ถึงชั้นพรหม ขอให้จงมีส่วนในบุญกุศลนี้ด้วยเทอญ" (อธิษฐานทุกครั้งที่อยากได้สมาธิแนบแน่น)

พอได้สมาธิดีแล้วผมก็เริ่มอธิษฐานขอพระเมตตาสงเคราะห์พระพุทธานุภาพ แผ่ปรกช่วยเหลือประเทศไทย ที่กำลังเกิดอุทกภัยอยู่ในขณะนี้ แต่ไม่ให้เกินกรรมของประเทศ สถานที่ และผู้กำลังประสบภัย...โดยการอัญเชิญพระอานุภาพแห่งเจดีย์วัดระฆัง เชื่อมโยงไปยังวัดพระแก้ว พระนอนวัดโพธิ์ เชื่อมไปยังพระธาตุพนม พ่อแม่ครูอาจารย์ที่ภูดานไห ย้อนมาหาบ้าน ดร.นนต์ที่กำลังเข้าสมาธิอยู่ และคลุมทั่วกทม. (มี ดร.ณัฐชัย) ย้อนมาหาตัวผมเองที่บ้าน แล้วกำลังจะมุ่งสู่พระธาตุที่เชียงใหม่...ทว่าดวงจิตของผมกลับพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า (แต่กายหยาบอยู่ที่นี่) โดยอัตโนมัติ ประมาณว่า...เสียเวลาอารัมภบทนานไป

ณ ตอนนี้มีความรู้สึกว่าตัวเองผ่านฌานสองไปเร็วมากๆ (อาการปีติน้ำตาซึมๆ) แล้วเข้าสู่ฌานสาม อารมณ์นิ่งเป็นหนึ่ง (ประมาณว่าชุ่มๆอยู่กะฌานสองด้วย) ที่นี้...คลื่นมาก่อน แต่เป็นลักษณะผ่านสายตาจากซ้ายไปทางขวา เหมือนน้ำไหลไปเรื่อยๆ ตามมาด้วยแสงทองเหลืองๆเรืองรองแตกต่างจากที่เคยเห็น เพราะมีความรู้สึกว่าอบอุ่น นุ่มนวล ไม่จ้า หรือทำร้ายใคร แล้วขยายเป็นหลากหลายสี คลุมไปทั่วอาณาเขตประเทศไทย เลยไปประเทศเขมร พม่า ลาว ไม่จำกัดเฉพาะไทย (นี่แหละหนอพลังแห่งพระพุทธานุภาพ)

ที่นี้ผมจึงได้แผ่เมตตาอธิษฐานจิตกำกับต่อว่า "ภัยพิบัติที่กำลังเกิดอยู่นี้ขอให้ทุเลาเบาบางไปโดยเร็ว และได้ส่งคลื่นพลังงานพระพุทธานุภาพนี้ไปยังทุกๆสรรพสัตว์ ที่กำลังตื่นอยู่ก็ดี หลับอยู่ก็ดี จะรับได้หรือรับไม่ได้ก็ดี ตลอดทั้งคนที่คิดไม่ดีกับประเทศก็ดี ให้เขาใจอ่อนเป็นกุศลหันมารักประเทศไทย ไม่ทำร้ายประเทศไทย"

จากนั้นจึงย้อนพลังพระพุทธานุภาพกลับมาหาดวงจิตของตัวเองที่ตอนนี้โปร่งแสงเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพลังที่กล่าวมา ส่งต่อมายังกายหยาบให้หายจากโรคภัยต่างๆ แล้วแผ่เมตตากำกับอีกรอบ เป็นเสร็จพิธี จึงได้ค่อยๆถอนสมาธิออก

ยังไม่จบครับ ผมจึงน้อมดวงจิตค้นหาว่าท่านผู้ใดมาช่วยทำในเช้านี้ (ฌานสมาธิยังออกไม่หมด) ปรากฏว่า...พบพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เหมือน copy กันมาครับ (ผมไม่เคยรู้เคยเห็นหรอกนะครับ แต่จิตเขาบอกว่าใช่) ท่านทรงดำเนินต่อแถวเป็นลำดับยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตาจากด้านขวามาซ้าย (คิดว่าเป็นล้านๆพระองค์ได้) ผมจึงยกมือวันทาขึ้นเหนือศรีษะค้างไว้ราวๆ 1 นาที จึงได้ก้มลงกราบพร้อมๆกับน้ำตามันไหลนองหน้าเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนว่าแต่ละพระองค์ที่เดินผ่านจะทรงเอามือมาแตะที่หัวผมครับ

พอออกสมาธิจนสุดแล้วดูเวลาตี 5:59 นาทีพอดิบพอดีครับ...เอวัง!

ปล:
- ทุกๆ 5 นาทีจะมีอาการเหมือนพระพุทธปฐวีธาตุองค์พระเมตตาฯ ท่านขยายตัวเข้าออกเอง เป็นอัศจรรย์แท้...
- เช้านี้...พิจาณากาย สังขารได้แจ่มแจ้งดี
คือเข้าสู่ mode การพิจารณากาย สังขาร ของเสียที่ขับออกจากร่างกายอันไม่จีรังนี้
ตั้งแต่เข้าห้องน้ำถึงระหว่างทำวัตร (น้ำตา/ขี้ตาไหลซึมออก)

เช้านี้จึงมีคุณค่าและพลังงานในกายมากๆเลยครับ


chantasakuldecha:โมทนา สาธุ สาธุ ขอให้ประเทศชาติ ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง ด้วยเทอญ

ดร.นนต์: ขออนุโมทนา ลูกพระพุทธเจ้าก็เป็นดั่งนี้แล
ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ย่อมโน้มจิตขึ้นไปขอพระบารมีจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ได้ ขอในสิ่งที่เป็นกุศล ท่านย่อมสงเคราะห์อย่างไม่ต้องสงสัย แม้เราจะไม่เห็นภาพไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยญาณต่างๆก็ตาม (จริงไม่จริงก็ช่าง) ขอให้เราได้กระทำด้วยจิตอันบริสุทธิ์ก็พอ ทำไป ปฏิบัติไป เมื่อถึงเวลาก็จะรู้เอง สิ่งเหนือโลกเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ปฏิบัติ และผู้ที่อยู่เหนือโลกย่อมสงเคราะห์ผู้ที่ยังอยู่ในโลกสมมุติ พระพุทธองค์ย่อมสงเคราะห์ลูกๆของพระองค์ ผู้พ้นแล้วย่อมกลับมาช่วยผู้ที่ตามหลัง นี่คือวิสัยของเหล่าพุทธวงศ์ จาก...ศรีอาริยะ.....Sriariya:ดร.นนต์

สมาชิกธรรม: โมทนาสาธุครับ.....ท่านสมบัติได้ทำในสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้ว

สาวกธรรม1: ดีใจกับพี่ชายด้วยครับ ก้าวหน้าทุกวันเลย ผมยังย่ำอยู่กับที่อยู่เลย คงต้องใช้เวลานานอยู่

IT Man: ครับผม ผมเองก็ไม่รู้จะให้เครดิตอะไรดี เพราะต่างสอดคล้องกันหมดในช่วงเวลาเดียวกันนี้ นอกจากพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เป็นเสาหลักของพวกเราแล้วนั้น...
สิ่งที่มองไม่เห็น...พระพรที่ได้รับเพื่อเป้าหมายใหญ่ สมาธิความตั้งใจมั่น
สิ่งที่มองเห็น...สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ พระพุทธปฐวีธาตุ พระกริ่งองค์ต้นญาน

และที่ขาดไม่ได้คือสายใยผูกพัน การเกื้อหนุนกันภายในกลุ่มนักรบธรรมด้วยกันเอง สิ่งนี้สำคัญยิ่งในการก้าวเดินไปสู่สนามรบธรรมและร่วมรบด้วยกัน ไม่ทอดทิ้งกัน มันเป็นเสียยิ่งกว่ากำลังใจใดๆครับ อาบังนาคน้อย... 

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

23: การสืบต่อเนื่องแห่งพระพุทธศาสนา

ในเรื่องการสืบต่อเนื่องแห่งพระพุทธศาสนา แต่ละกัปพุทธันดรในภัทรกัปนี้ พ่อแม่ครูอาจารย์ได้เมตตาบอกให้ศิษย์คนสนิท ราวๆวันพฤหัสที่ 21 (หลังจากได้พิจารณาพระพิมพ์ TOP1-5 ที่พวกเราถวายในวันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมา) โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญคือ

- หลวงปู่เทพโลกอุดรองค์ที่ 5 (ลป.ขรัวหน้าปาน) มาพบท่านพร้อมกับหลวงปู่...ข้างต้น (เป็นเหมือนการบอกว่าหลวงปู่...ที่มาด้วยกันนั้น จะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 ในภัทรกัปนี้ และเสด็จมาโปรดครบทั้ง 5 พระองค์นะ ประมาณนี้)
- วันต่อมา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จมาโปรดทั้ง 4 พระองค์เลย
- พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านได้เมตตาบอกต่อว่า พระพุทธเจ้าในภัทรกัปนี้ ท่านมีพระพุทธานุภาพที่สืบต่อเนื่องกัน ไม่ได้ทรงทิ้งกัน ทรงช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันมาโดยตลอด
- สำหรับพระองค์ที่ 5 คือพระศรีอริยะเมตตรัยนั้น จะมีพระพุทธานุภาพมากที่สุด ก็คงเป็นเพราะเหตุที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมามากกว่าพระองค์อื่นๆ คือประมาณ 16 อสงไขกำไลแสนมหากัป...+...นั่นเอง
- จึงสอดคล้องกับข้อมูลที่ได้รับมาแต่ก่อนว่าทำไมพระพิมพ์ TOP....พลังจึงสูงกว่า TOP อื่นๆมาก

... ใครจะเชื่อ ไม่เชื่อ หรืออยากวางเฉย...งานนี้ตามใจละกัน สำหรับผมเต็มร้อย และขอเป็นแต่เพียงผู้บอกต่อ ให้นักรบธรรมปีติยินดีด้วยกัน ...



เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผมได้พบกับคุณแม่ท่านหนึ่งวัยเกษียณ ท่านเป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และมีความเกี่ยวเนื่องกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำในอดีตชาติ ท่านปฏิบัติธรรมจนสำเร็จวิชชามโนมยิทธิ หลังจากได้พบกันครั้งแรกในวันบวชเพื่อนธรรม ท่านมีจิตอยากให้ผมไปที่บ้านของท่าน(อยู่โคราช) ... ในการสนทนาธรรมท่านได้เล่าเรื่องเหนือโลกให้ผมและภรรยาฟังหลายเรื่อง และมีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากนำมาเล่าต่อสู่กันฟังก็คือ
เมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา ท่านได้มีจิตศรัทธาพาญาติธรรมไปร่วมสร้างพระพุทธรูปองค์ปฐมที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอห้วยแถลง นครราชสีมา ในขณะที่กำลังจะเดินทางปรากฏว่า ท่านมองเห็นเหรียญห้าบาทตกอยู่บนพื้นดินหนึ่งเหรียญ ในจิตบอกว่าใครหนอฝากเงินไปทำบุญหล่อพระในครั้งนี้ ท่านจึงได้หยิบเหรียญนั้นไปร่วมทำบุญในครั้งนี้ด้วย หลังจากกลับมาแล้ว ท่านได้นั่งสมาธิปรากฏว่า หลวงปู่ทวดได้เสด็จมาหาท่านและบอกว่า ท่านเป็นผู้ฝากเงินไปทำบุญด้วย คุณแม่สงสัยจึงถามท่านว่า หลวงปู่มีบุญบารมีมากล้นแล้วหลวงปู่ยังอยากได้อีกหรือ ท่านตอบว่า ข้าอยากได้เพราะบุญของการสร้างพระพุทธรูปองค์ปฐมในครั้งนี้ได้กุศลมาก พระพุทธรูปองค์นี้จะช่วยคุ้มครองคนห้วยแถลงได้มากในอนาคต (เป็นนัยยะบางประการ โชคดีบ้านพ่อแม่ผมก็อยู่ห้วยแถลงด้วย) นอกจากนั้นยังมีหลวงปู่โต หลวงปู่ฤาษีลิงดำ และอีกหลายๆองค์ก็เสด็จมาอนุโมทนาด้วย...

จากเรื่องนี้ทำให้เห็นว่า... การสร้างบุญกุศลอันเป็นศาสนวัตถุไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูป โบสถ์ วิหาร ศาลาปฏิบัติธรรม และอื่นๆ ล้วนได้มหากุศลมากมายนัก แม้แต่หลวงปู่ทวดพระบรมมหาโพธิสัตว์เจ้า ผู้กำลังจะเสด็จลงมาตรัสรู้ในอนาคตข้างหน้า ท่านยังทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง (อนึ่ง หากใครบังเอิญเห็นเงินตกหล่นอยู่ หากท่านจะหยิบเอาเพื่อไม่ให้เกิดผิดศีลข้ออทินนา จงนำเงินนั้นไปทำบุญเสียนะครับ อาจมีใครบางคนกำลังฝากเงินไปร่วมทำบุญด้วยก็ได้ อย่าได้หยิบเอาไปเฉยๆเป็นอันขาด เพราะหากจิตของคนที่ทำเงินหล่นยังอาลัยอาวรณ์อยู่เราจะผิดศีลข้อลักทรัพย์ทันที)

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ทำให้ผมรับทราบข้อมูลนี้ แต่เป็นเรื่องอันน่าปีติยินดีที่ต้องนำมาบอกกล่าวพวกเราถึงอานิสงส์ในการสร้างถาวรวัตถุในทางพุทธศาสนา ที่พวกเรากำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ขอให้ทำด้วยจิตศรัทธาและตามกำลังที่มี เงินน้อยก็ได้พลานิสงส์เท่ากัน ผู้มีกำลังมากก็เกื้อกูลพระศาสนาได้มาก ผู้ไม่มีกำลังทรัพย์ก็ช่วยเหลือในด้านอื่นๆ หรือแม้กระทั่งการกล่าวคำอนุโมทนา ก็ล้วนเกิดเป็นกุศลทั้งสิ้น...

เรื่องของหลวงปู่ทวด เป็นเรื่องเหนือโลกที่น้อยคนนักจะรู้ว่าท่านคือใคร และเป็นเรื่องอัศจรรย์หลังจากที่พวกเราได้ไปกราบนมัสการพ่อแม่ครูอาจารย์ในวันอาสาฬบูชาและเข้าพรรษาที่ผ่านมา หลวงปู่ก็ได้เสด็จมาหาพ่อแม่ครูอาจารย์ รวมทั้งหลวงพ่อโอภาสี(องค์แทนคณะหลวงปู่เทพโลกอุดรองค์ที่ห้าก็เสด็จมาในคืนเดียวกัน) หลังจากนั้นในคืนต่อมาพระพุทธองค์ทั้งสี่ในภัทรกัปก็ได้เสด็จมาเช่นกัน...ซึ่งทั้งหมดมีนัยสำคัญบางประการที่รับรู้กันในวงแคบๆ... ทำให้พวกเรารับรู้และรู้สึกปีติจนหาที่สุดมิได้... จึงขออนุโมทนาสาธุกับจิตอันเป็นกุศลของทุกท่านครับ

ปล.พอผมจะกลับบ้าน ทั้งผมทั้งคุณแม่...มีจิตที่อยากเข้าโอบกอดกันจนอดกลั้นไม่ไหว จึงต้องเข้าไปโอบกอดกันอย่างอัตโนมัติประหนึ่งเป็นแม่ลูกกันมาหลายภพ ท่านจะตัดเข้าสู่แดนนิพพานเช่นกัน จึงขออนุโมทนาสาธุการด้วยครับ

ดร.นนต์

พลังแห่งพระพุทธานุภาพ ท่านเป็นสายใยสืบต่อเนื่องไม่ขาดจากกัน ตั้งแต่กัปพุทธันดรแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่...1 จนถึงภัทรกัป
1. องค์กกุสันโธพุทธเจ้า >> 2. องค์โกนาคมโนพุทธเจ้า >>> 3. องค์กัสสโปพุทธเจ้า >>>> 4. องค์โคตโมพุทธเจ้า>>>>> 5. องค์พระศรีอริยเมตรัยโยพุทธเจ้า

แม้พระพุทธองค์ทั้งสี่จะทรงเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานนานมาแล้วแต่พลังพระพุทธานุภาพยังไม่หล่นหายไปไหน ยังอยู่รอบกายเรา
ทรงประจุอยู่ตามพระพิมพ์ที่แต่ละพระองค์ท่าน ทรงแผ่พระพุทธานุภาพลงมา
...ดูเหมือนจะไม่เสื่อมคลายตลอดกัปพุทธันดร
IT Man

22: ชื่อนั้น...สำคัญฉะนี้

ชื่อนั้น...สำคัญฉะนี้

ในเรื่องการตั้งชื่อ เปลี่ยนชื่อนั้น สำคัญนะ...เพราะชื่อนั้น อยู่ติดตัวเราไปจนตาย

บางคนคิดว่า ไปเปิดตามตำราตั้งชื่อว่า ตรงกับวันเกิด แยกเป็นหญิง-ชาย ชอบความหมาย ไม่มีกาละกิณี ก็ตั้งได้เลย แค่นี้...หากคิดว่าพอ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ผมขอประมวลตามความรู้ที่ได้ศึกษามา(เอง)ให้รับทราบตามขั้นตอนคร่าวๆดังนี้

ขั้นที่ 1.
- เลือกชื่อตาม วันเกิด หญิง-ชาย ไม่มีกาละกิณี
- ผู้ชายให้เอาเดชนำหน้า
- ผู้หญิงให้เอาศรีนำหน้า
- เลือกเอาความหมายที่ชอบ (ส่วนใหญ่จบแค่นี้)
- คำนวณกำลังของชื่อให้ได้กำลังที่ดีที่สุด

ขั้นที่ 2.
- นำชื่อจากขั้นที่ 1. มาคำนวณกำลังร่วมกับนามสกุล (ซึ่งต้องรู้กำลังนามสกุลก่อน)
- ให้ได้กำลังที่ดีที่สุด
- หากผลที่ออกมา ได้กำลังไม่ดี ให้ย้อนกับไปที่ขั้นตอนที่ 1 ใหม่ จนกว่าจะได้กำลังที่ต้องการ

ปล: สำหรับท่านที่บิดา-มารดา-ครูอาจารย์ ได้ตั้งชื่อให้แล้ว ณ เบื้องต้น จะด้วยรู้เท่าไม่ถึงการก็ตามแต่ ก็นับเป็นมงคลระดับเบิ้องต้นต่อตัวเราแล้ว หากไม่ถึงขั้นอุกกฤษโปรดอย่าไปเปลี่ยน

สรุปตามตำราผม(คิดขึ้นเอง-ไม่สงวนลิขสิทธิ์)
- ต้องไม่มีกาละกิณี
- ต้องมีอักขรนำหน้าชื่อที่ดี
- ต้องมีความหมายที่ดี
- ต้องได้กำลังที่ดี เมื่อนำมารวมกับนามสกุล

จึงไม่แปลกที่หมอดูตั้งชื่อเก่งๆ ท่านจะเรียกค่าครูที่สูง


post เมื่อ: 27-07-2011, 02:29 PM

เป็น 'บุญ' ที่ผมมีกัลยาณมิตรที่ดีคอยตรวจสอบอยู่เสมอ
ในเรื่องนี้ผมพลาดไปบางประเด็น มุ่งเน้นแต่เป้าหมาย ไม่ได้นึกถึงผลกระทบ

อย่างไรก็ดี เหนือฟ้าย่อมมีฟ้า ผมจึงขออนุญาตลงข้อชี้แนะดังกล่าว เติมเต็มให้ข้อมูลการตั้งชื่อสมบูรณ์ขึ้น
โปรดพิจาณาไปพร้อมๆกัน ดังนี้

ปล: ชื่อผม สมบัติ (พ่อท่านให้ ศรี นำหน้านะครับ)

เรียน ท่าน IT MAN

จากการที่ท่านสรุปมาได้ขนาดนี้ น่าจะมาจากการที่ศึกษามาลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ธรรมดาจริงๆ ครับ

ขออนุญาตแบ่งปัน เล็กน้อย ครับ
1. บางท่านแนะว่า เราควรให้ความสำคัญกับชื่อเล่นด้วย เพราะสำหรับบางท่านจะถูกเรียกมากกว่าชื่อจริงครับ
2. บางท่านเคยใช้ตำราหลายศาสตร์ เช่น ทักษาฯ,เลขศาสตร์ เพื่อให้สมบูรณ์ทุกศาสตร์ นั้นทำได้ยากและ มีชื่อให้เลือกน้อยลงมาก ครับ
3. บางชื่อ ความหมายดี, กำลังเลขดี แต่ยาวมากๆและ บางทีก็ออกเสียงยาก ทำให้จำไม่ได้ ครับ
4. บางท่านที่ตั้งชื่อเก่งๆ และ เรียกค่าครูที่สูง ก็ไม่ได้รับประกันว่า ผู้ที่ได้รับการเปลี่ยนชื่อแล้วจะดี ครับ
5. บางท่านเคยตั้งชื่อให้ลูกชายเพื่อน สุดท้ายต้องเปลี่ยน อาจเป็นเพราะอักษร "เดช" และ กำลังเลขมากเกินกว่าพ่อ,แม่ จะควบคุมได้ ครับ

ขอบคุณครับ

21: พ่อแม่ครูอาจารย์น้อมถวายผ้าไตร

ทางฟากฝั่งพ่อแม่ครูอาจารย์ แห่งภูดานไห คุณแม่ชม ครูชาติ ได้เดินทางไปโพนพิสัย หนองคาย เพื่อถวายผ้าไตรจีวรแด่พระอุปัชฌาย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์...คงเดินทางกลับมาภายในวันนี้

ขอโมทนาสาธุทุกประการฯ

20: ช่องทางการทำบุญ

เรียนเพื่อนนักรบธรรมและญาติธรรมทุกๆท่าน,

ผมได้ตระหนักในความเมตตาของพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโชเสมอๆ ในดวงจิตส่งไปกราบแทบเท้าท่านทุกๆวันที่นึกขึ้นมาได้ครับ
เมื่อเห็นการเดินทางของท่านเนืองๆเช่นนี้ ซื้อของนู่นนี่บ่อยๆ ก็เจตนาเพื่อเหล่าศิษย์ทั้งนั้น องค์ท่านมีสิทธิ์ใช้ปัจจัยที่เรานำไปถวายเพื่อสร้างศาลาฯได้ แต่ท่านไม่ยุ่งนะครับ การเดินทาง หรือการจับจ่ายใช้สอยต่างๆ จะตกอยู่ที่คนใกล้ชิด เช่น คุณแม่ชม ครูร่วมชาติ เป็นต้น
ผมจึงขอยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นหล่อเลี้ยงท่านทั้งสามนี้เป็นกรณีพิเศษ สำหรับพ่อแม่ครูอาจารย์ ท่านไม่รับปัจจัยผ่านมือหรือใส่บาตร ตามกฎเหล็กของพระป่า คุณแม่ชมนั้นเล่าก็ระดับอริยะเจ้าแล้วแต่ท่านไม่มีอาชีพอะไรเลย
ดังนั้นผมจึงเห็นสมควรให้เราทุกท่าน โปรดสละปัจจัยบางส่วน น้อมถวาย และมอบให้กับท่านทั้งสามนี้ เป็นเงินกลางไว้ให้ใช้สอยร่วมกัน สุดแต่ท่านใดจักเรียกหาครับ
ตอนนี้ยังไม่มีบัญชีดังกล่าว ผมจึงขอโอนไปยัง บช.กลางก่อน (โอนแล้ว) โดยการแยกเป็นตัวเลขตัวเงินลงท้ายด้วยเลข 1 ทุกกรณี จักแยกเป็นเงินใช้สอยส่วนตัว เวลาเบิกต้องเอาผลรวมยอดของเลข 1 มาแปะด้วยทุกครั้ง  

      อนึ่งหากต้องการร่วมทำบุญสร้างวัดภูดานไหตามปกติก็ให้ทำบุญเท่าไหร่ก็ได้ แต่โปรดเลี่ยงเลข 1 ตามท้าย

ชื่อบัญชี นางบุญชม ยางธิสาร นางกัลยรัตน์ ชัยนา และนายร่วมชาติ ชัยนา
เลขที่ 4160371736
ธนาคารกรุงไทย สาขากุฉินารายณ์
ประเภทบัญชี ออมทรัพย์

ติดต่อ:
ครูร่วมชาติ: 0895694002 (ruamchart@hotmail.com)
คุณแม่ชม: 0801765282

ขอบพระคุณและโมทนาสาธุล่วงหน้าทุกประการ
IT Man/Date: Fri, 2 Sep 2011 10:53:37

อ้างถึง:
พรุ่งนี้ผมจะได้พาพ่อแม่ครูอาจารย์ไปหากล่องมาใส่พระพุทธปฐวีธาตุ และไปหาหินที่แม่น้ำโขง ที่เรียกว่าอัญมณีแม่น้ำโขงจังหวัดมุกดาหาร โดยจะเดินทางไปหายังแหล่งอัญมณีที่อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร เมื่อวานนี้พ่อแม่ครูอาจารย์ได้เดินทางไปจังหวัดมุกดาหาร ท่านได้หินมาสองก้อน ก้อนแรกมีลักษณะคล้ายไข่ และก้อนที่สองมีลักษณะคล้ายอัฐฐิของพระสีวลี พอท่านนั่งภาวนาดูเห็นพญานาคนอนขดอยู่ข้างใน ไม่รู้ว่าท่านจะมอบให้นักรบธรรมคนใด ค่อยดูกัน... จะเห็นว่าพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นห่วงพวกเรานักรบธรรมมาก ซึ่งปกติจริตของท่านไม่ชอบสร้างวัตถุมงคล แต่เมื่อนักรบธรรมมีจริตทางด้านนี้ท่านจึงอนุโลม และเมตตาพวกเรา....ทำให้ผมมีความรู้สึกว่าความเมตตาของท่านนอกจากสั่งสอนพวกเรา และเหล่าเทวดาทั้งหลายแล้ว ท่านยังเมตตาหาของมงคลมาให้พวก ..จึงอยากจะบอกให้พวกเราได้รบทราบและร่วมอนุโมทนาสาธุในความเมตตากรุณาของท่านในครั้งนี้ด้วย......

ขอให้เจริญในธรรม
ครูชาติ/Friday, September 02, 2011

****************************************
Link ที่เกี่ยวข้อง...
1. รายละเอียดการทำบุญ
2. แจ้งยอดทำบุญครั้งที่ 1
3. รายงานความคืบหน้าการสร้างกุฏิ ครั้งที่่ 1
4. แจ้งยอดทำบุญคร้งที่ 2
5. พระนามจริงตามนิมิต
6. คุณซึ้งบน1,2,3 = 12,800
7. คุณสาวกธรรม1 = 12,000
8. คุณ Powernext = 500
9. คุณ wiwek = 1,000
10. รายงานภาพความคืบหน้าการสร้างกุฏิ ครั้งที่ 2
11. คุณ praserts = 4,000
12. ดร.ณัฐชัย = 5,000
13. รายงานภาพความคืบหน้าการสร้างกุฏิ ครั้งที่ 3
14. รายงานภาพความคืบหน้าการสร้างกุฏิ-ห้องน้ำ-ทางเดินจงกรม-แผงโซล่าร์เซลล์ ครั้งที่ 4
15. แสวงบุญภูดานไห (ปิดงานสร้างกุฏิ,ทางเดินจงกรม) โดยกลุ่มสายธรรม


ประโยคทองท่าน พ.สรเตโช 
"ใครจะไปรู้หนอยายชม ว่าจะมีผู้สำเร็จพระอรหันต์บนกุฏิหลังนี้กี่องค์"
***************************************

19: ศรีอาริยะ.....Sriariya

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554
ศรีอาริยะ.....Sriariya
ดร.นนต์.....
ณ วันโกนแรม 7 ค่ำ เดือนสิบ วันที่ 19 เดือนกันยายน 2554 เวลา 21.39 น. เป็นเวลาแห่งการบันทึกวัตถุประสงค์ของพระเบื้องบน ที่ผมได้ขอพระเมตตาจากพระเบื้องบนเพื่อยืนยันความถูกต้องในการค้นหาชื่อเว็บบล็อกที่กำลังจะทำออกเผยแพร่ และท่านยังจำกัดการเผยแพร่เนื้อหาหลัก โดยจะมีเฉพาะเกี่ยวกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช เท่านั้น ส่วนหมวดอื่นๆ ทั้งพุทธศาสนา คำสอน พระเครื่อง และเรื่องอจินไตยทั้งหลาย คงจะสอดแทรกอยู่ในเนื้อหาหลักทั้งสองข้อนี้

ข้าพระพุทธเจ้า ได้รับพุทธานุญาตให้ใช้สรรพนามเพื่อแทนตัวเองในการเขียนบทความต่างๆ คือ ดร.นนต์..... ในการสื่อสารใดๆในบล็อก ศรีอาริยะ..... ภาษาอังกฤษใช้ Sriariya
อนึ่ง แม้แต่การใช้สีตัวอักษร และจุดข้างหลังห้าจุด..... ทั้งหมดยังถูกกำหนดตามนี้ครับ

คอยติดตามในบล็อก ศรีอาริยะ.....Sriariya ต่อไปนี้นะครับ
ศรีอาริยะ.....Sriariya

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nontayan

เรื่องเหล่านี้ต้องถามพ่อแม่ครูอาจารย์อีกครั้งครับว่า..... ทำไมถึงถูกกำหนดมาเช่นนี้

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สมาชิกธรรม


ขออนุโมทนาด้วยนะครับ...

ชื่อไพเราะและดูสง่าดีครับ


Blog ศรีอาริยะ.....Sriariya 
เป็นญาติธรรมกันกับ Blog ศรีสมบัติอรุณ.....SriSombatArun (บุญวิถีแห่งข้าพเจ้า)

เราจักยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อสืบทอดพระศาสนาร่วมกัน จวบจนถึงแล้วซึ่งพระนิพพาน

เมื่อคืนผมก็ตกแต่งเรื่อง font ให้ใหญ่ขึ้นตามคำแนะนำของท่านนนต์ กินเวลาไปกว่า 5 ทุ่ม มีอะไรออกไปแปะไว้ใน blog เยอะแยะ สลับกับการเก็บตกจากบอร์ดหลวงปู่แหวนฯไปเรื่อยๆครับ

โมทนาสาธุครับ / IT Man

...............................
ถอดรหัสชื่อเว็บบล็อก "ศรีอาริยะ.....Sriariya"
การถอดความหมายจากคำว่า "ศรีอาริยะ" จากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 สามารถถอดรหัสได้ดังนี้

ศรี เป็นคำนาม หมายถึง มิ่ง, สิริมงคล, ความรุ่งเรือง, ความสว่าง, สุกใส, ความงาม, ความเจริญ

อารี เป็นคำวิเศษณ์ หมายถึง เอื้อเฟื้อ, มีใจเผื่อแผ่

อริยะ เป็นคำนาม หมายถึง ในพระพุทธศาสนาเรียกบุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้นว่า พระอริยะ หรือพระอริยบุคคล

อริยะ เป็นคำวิเศษณ์ หมายถึง เป็นของพระอริยะ, เป็นชาติอริยะ; เจริญ, เด่น, ประเสริฐ

ส่วนคำว่า อารียะ ในพจนานุกรมไม่ได้บัญญัติไว้(ไม่มี) จึงพออนุโลมแปลความหมายตามคำว่าอริยะได้

ดังนั้น เมื่อนำมารวมกันเป็น "ศรีอาริยะ" จึงหมายถึง ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรือง สุกใส มากมายไปด้วยอริยบุคคล ที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน หรือเรียกกันง่ายๆว่า ยุคแห่งความศิวิไลซ์ นั่นเอง

ส่วนสีที่ใช้ สีแดงส้ม เป็นสีแห่งสุริยเทพ (ดวงอาทิตย์) ที่ให้พลังงานแก่ทุกสรรพสัตว์ที่อยู่บนโลกใบนี้ หากปราศจากซึ่งแสงพระอาทิตย์แล้ว ทุกสรรพสิ่งย่อมเหี่ยวเฉาและตายลงในที่สุด เพราะขาดแสงแดดสังเคราะห์เซลล์นั่นเอง สีแดงจึงเป็นสีแทนสมเด็จพระศรีอารียเมตไตรยที่จะเสด็จมาโปรดในยุคอารียะนั่น เอง

ส่วนสีส้มทอง หมายถึง รังสีของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และองค์ พ.สุรเตโชเจ้า

ส่วนจุดห้าจุด.....หมายถึง พุทธะองค์ที่ 5 เคลื่อนไปยังภาษาอังกฤษ Sriariya หมายถึง การเคลื่อนไปสู่ความเจริญของสากลจักรวาล
หมายเหตุ การเคลื่อนของจุดคือนับจากจุดแรกซ้ายมือ เคลื่อนไปทางขวาตามลักษณะที่เราเขียนข้อความอักษร

ปล. ผมถอดรหัสตามวาระจิตของผมเอง จากการถามพระเบื้องบน ณ วันที่ 20 กันยายน 2554 เวลา 21.37 น. ดังนั้น ความกระจ่างหรือความถูกต้อง คงต้องกราบเรียนถามพ่อแม่ครูอาจารย์อีกครั้ง..... อย่าพึ่งเชื่อผมนะครับอาจผิดพลาดได้ (เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพ่อแม่ครูอาจารย์และท่านอื่นๆ โปรดใช้วิจารณญาณ)

ดร.นนต์.....