วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

169: ตำนานรักข้ามภพ


เพลงนี้เป็นเพลงที่กุ้งกิติคุณร้องไว้ และเป็นเพลงที่พญานาคที่ภูกระดึง มาร้องให้ อ.วารุณีฟังเพื่อแต่งไว้ประกอบนิยายตำนานรักข้ามภพ

รักข้ามภพ :กุ้ง กิตติคุณ เชียรสงค์ น้องนางเจ้าเอ๋ย ใยเจ้าจากข้า คิดถึงปานว่า..หัวใจสลาย เจ้าจากไปนาน..แสนนานเท่าไหร ชั่วทุกลมหายใจ รักข้า..ยังคอย กลิ่นกายเจ้าหอม ตรึงใจข้า น้ำตานองหน้าอาวรณ์โหยหา เจ้าจากไปนานแสนนานไม่กลับมา ตราบชั่วดินฟ้า รักข้ายังคอย *คอย.. คอย.. เฝ้าคอย.. เทพไท้เทวา เมตตาข้าเถิด วิงวอนประตูภพเปิด รักข้า..เถิดหนา จะข้ามภพ..ย้อนวันเวลา เพื่อติดตามหาแก้วตา..รักข้า คืนเรือน * รักข้ามภพ รักข้ามภพ รักข้ามภพ เอยฯ

จากเวบ วารุณี สวัสดิภักดิ์ | Facebook เรื่องพญานาคอ่านได้จากhttp://board.palungjit.org/f2/%E0%B8...87-354634.html เรื่องย่อตำนานรักข้ามภพอ่านได้จาก http://board.palungjit.org/f2/%E0%B9...9E-356418.html สังซื้อได้ที่สำนักพิมพ์ช่อแก้ว ติดต่อ0863247404คุณเสาวนีย์ สวัสดิภักดิ์  ที่มา: http://board.palungjit.org/f2/เชื่อมั้ยเพลงนี้พญานาคที่ภูกระดึงร้องให้ฟัง-356360.html

พญานาค เทพเจ้าที่ใกล้ชิดมนุษย์และพระพุทธศาสนามากที่สุด ท่านต่างช่วยกันเสียสละปกป้องคุ้มครองพระศาสนาให้ดำรงมั่นให้ครบ 5,000 ปี ตามพุทธประสงค์ มนุษย์ที่เกิดมาจำนวนมากในยุคนี้ บางท่านก็เคยเป็นเป็นนาคี นาคา ต่างประสงค์สืบต่อพระศาสนาเฉกเช่นกัน เชื่อเหลือเกินว่า ญาติๆที่อยู่ในเมืองนาค ก็คงคิดถึงและเป็นห่วงมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น แต่มนุษย์เราท่านอาจไม่เคยรับรู้ว่าในโลกทิพย์เมืองนาคนั้น ท่านต่างคอยเฝ้าดูแลรักษาเราอยู่ คอยโมทนาในบุญเราอยู่ บทเพลงนี้ นับได้ว่าเป็นตัวแทนการสื่อสารจากโลกหนึ่งสู่อีกโลกหนึ่ง ให้รับรู้ สัมผัสได้ เป็นรูปธรรม ซาบซึ้งใจมากยิ่งนัก ปล: อันว่าความรักความผูกพันจากบทเพลงนั้น อาจจะเป็นการสื่อสารจากบิดามารดามาสู่บุตรหรือบุตรีก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นในทำนองความรักทั่วไป ขอเจริญในธรรม / IT Man (30.08.55)

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

168: พระแม่ธรณี


พระแม่ธรณี

เล่าโดย ไตรรงค์ ปิมปา คนชอบน้ำ
พระแม่ธรณี หรือ แม่พระธรณี หรือ พระศรีวสุนธรา เป็นเทพีแห่งพื้นแผ่นดิน ปรากฏในตำนานทั้งศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพุทธศาสนา
ในคติของศาสนาฮินดูให้ความเคารพนับถือว่าแผ่นดินเป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกเปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดหล่อเลี้ยงโลกและแผ่นดิน จึงได้รับยกย่องว่าเป็นเทพจากธรรมชาติองค์หนึ่งเป็นเพศหญิง เรียกนามว่า "ธรณิธริตริ" แปลว่า "ผู้ค้ำจุนพระธรณี" แม้จะมิค่อยมีรูปเคารพอย่างแพร่หลายเช่นเทพองค์อื่นแต่ก็มีผู้ให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมิใช่น้อย เพราะถือกันว่าพระธรณีสถิตย์อยู่ตามที่ต่างๆ ทุกหนทุกแห่ง จะทำการบูชาด้วย ข้าว ผลไม้ และนมด้วยการวางไว้บนก้อนหิน หรือประพรมลงบนพื้นดิน บางแห่งใช้เหล้าเป็นการสังเวยก็มี นอกจากนี้ชาวฮินดูยังมีการขอขมาลาโทษเมื่อจะวางเท้าลงบนพื้นดินก่อนจะลุกขึ้นในตอนเช้า วัวหรือควายที่มีลูกก่อนที่จะให้ลูกกินนมครั้งแรก เจ้าของจะปล่อยน้ำนมของแม่วัวลงบนพื้นดินเสียก่อนทุกครั้งไป ถ้าเป็นพวกชาวนาก็จะขอให้พระธรณีช่วยคุ้มครองผืนนาและวัวควาย แม้ในพระเวทก็มีการขอร้องต่อพระธรณ๊ให้ช่วยพิทักษ์คุ้มครองวิญญาณของคนตาย และต่อมาได้นับถือว่าเป็นเทพแห่งไร่นาด้วย ในแคว้นปัญจาบเชื่อกันว่าพระธรณีจะนอนหลับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ของทุกๆ เดือนชาวไร่ชาวนาจะหยุดไม่ทำงานในระยะนี้
เทพแห่งแผ่นดินหรือพระธรณี ไม่ค่อยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาปรากฏมากมายดังเช่นเทพองค์อื่น หรือมีก็สับสน เช่น บางแห่งว่าพระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์องค์หนึ่งคือพระอังคาร บางแห่งว่าพระอังคารเป็นโอรสของพระศิวะกับพระธรณี หรือในคติพราหมณ์พบเพียงว่าเป็นชายาของพระธุรวะหรือดาวเหนือ
ในพุทธศาสนา พระแม่ธรณีปรากฏกายเพื่อบีบน้ำจากมวยผมให้ท่วมพญามารที่รังควาญสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนวันตรัสรู้ ดั่งรายละเอียดตามพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสว่า
"แต่ในชาติอาตมะเป็นพระยาเวสสันดรชาติเดียวนั้น ก็ได้บำเพ็ญทานบารมีถึงบริจาคนางมัทรีเป็นอวสาน พื้นพสุธาก็กัมปนาการถึง 7 ครั้ง แลกาลบัดนี้ อาตมะนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์อาสน์ หมู่มารอริราชมาแวดล้อมยุทธการเป็นไฉนแผ่นพสุธาธารจึงดุษณีภาพอยู่ฉะนี้ แลพระยามารอ้างบริษัทแห่งตนให้เป็นกฏสักขีขานคำมุสา แลพื้นปฐพีอันปราศจากเจตนาได้สดับคำอาตมะในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่งข้า แล้วเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะอันงามดุจงวงไอยรารุ่งเรืองด้วยพระนขามีพรรณอันแดงดุจแก้วประพาฬออกจากห้องแห่งจีวร ครุวนาดุจวิชุลดาในอัมพรอันออกจากระหว่างห้องแห่งรัตวลาหก ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้นมหินทรา จึงออกพระวาจาประกาศแก่นางพระธรณีว่า ดูก่อนวนิดาดลนารี ตั้งแต่อาตมะบำเพ็ญพระสมภารบารมีมาตราบเท่าถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรราช ได้เสียสละบุตรทานบริจาคแลสัตตสดกมหาทานสมณะพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระทำเป็นสักขีพยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธารนารีนี้แลรู้เห็นเป็นพยานอันใหญ่ยิ่ง เป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยานอาตมาในกาลบัดนี้
ในขณะนั้น นางพสุนธรีวนิดาก็มิอาจดำรงกายาอยู่ได้ ด้วยโพธิสมภารานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระมหาสัตว์ ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพียืนประดิษฐานเฉพาะพระพุทธังกุรราช เหมือนดุจร้องประกาศกราบทูลพระกรุณาว่าข้าแต่พระมหาบุรุษราช ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา
แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรีเป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร พระผู้เป็นเจ้ารักขิตาจารย์จึงกล่าวสารพระคาถาอรรถาธิบายความก็เหมือนนัยกล่าวแล้วแต่หลัง
ครั้งนั้น หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาดมิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร อันว่าระเบียบแห่งฉัตรธวัชจามรทั้งหลาย ก็ทักทบท่าวทำลายล้มลงเกลื่อนกลาดและพระยามาราธิราชได้ทัศนาการเห็นมหัศจรรย์ ดังนั้น ก็บันดาลจิตพิศวงครั่นคร้ามขามพระเดชพระคุณเป็นอันมาก พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาสรรเสริญคุณานุภาพโพธิสัตว์อรรถาธิบายความก็ซ้ำหนหลัง

ครั้งนั้นมหาปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือศัพท์นฤนาทหวาดไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยง ๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน ถ่านเพลิงตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่างหมู่มารทั้งหลายต่าง ๆ ตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ปราศจากที่พึ่งที่พำนักซ่อนเร้นให้พ้นภัยหฤทัย ท้อระทดสลดสังเวชจึงออกพระโอษฐ์สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหาบุรุษราชว่า ดังอาตมาจินตนาการอันว่าผลทานศีลสรรพบารมีแห่งพระสิทธัตถกุมารนี้ ปรากฏอาจให้บังเกิดมหิทธฤทธิ์สำเร็จกิจมโนรถปรารถนาทุกประการ มีพระกมลเบิกบานแผ่ไปด้วยประสาทโสมนัส จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธประนมหัตถ์ทั้ง 2,000 อัญชลีกรนมัสการ ก็กล่าวสารพระคาถาว่า นโม เต ปุริสาชญญ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ปุริสาชาไนยชาติเป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายวันทนาการชุลีพร้อมด้วยทวารทั้ง 3 คือกายวจีมโนประณามประณตในบทบงกชยุคลบาท บุคคลผู้ใดในมนุษย์โลกธาตุกับทั้งเทวโลก ที่จะปูนเปรียบประเสริฐเสมอพระองค์คงเทียมเทียบนั้นมิได้มี พระองค์ได้ตรัสเป็นพระศรีสรรเพชญ์เสร็จแจ้งจตุราริยสัจจ์ศาสดาจารย์มีพระเดชครอบงำชำนะหมู่มาร เป็นปิ่นปราชญ์ฉลาดในอนุสัยแห่งสรรพสัตวโลกจะข้ามขนนิกรเวไนย์ให้พ้นจตุรโอฆกันดารบรรลุฝั่งฟากอมฤตมหานฤพานอันเกษมสุขปราศจากสังสารทุกข์ในครั้งนี้ แลพระยาวัสวดีมารโถมนาการพระคุณพระมหาบุรุษราชด้วยจิตประสาทเลื่อมใส ผลกุศลนั้นจะตกแต่งให้ได้ตรัสแก่พระปัจเจกโพธิญาณในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อพระยามารกล่าวสัมภาวนากถาสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ แล้วก็นิวัตตนาการสู่สกลฐานเทวพิภพ"



(คลิก เพื่อชมภาพใหญ่)
รูปในจินตนาการ ในคืนวันตรัสรู้ พระแม่ธรณีบีบน้ำมวยผมท่วมหมู่มารตามที่ปรากฏ โดยมากมักจะเป็นรูปเทวดาผู้หญิง มีรูปร่างอวบใหญ่ ล่ำสันอย่างได้สัดส่วน หรือในบางแห่งจะมีรูปร่างอ้อนแอ้น มีความงามประดุจเทพธิดา นั่งในท่าคุกเข่า แต่ยกเข่าขวาขึ้นสูงกว่าเข่าซ้าย บางแห่งสร้างให้อยู่ในท่ายืน แต่ที่เหมือนกันก็คือมวยผมปล่อยยาว มือขวายกข้ามศีรษะไปจับไว้ที่โคนมวยผม ส่วนมือซ้ายจับมวยผมแสดงท่ากำลังบิดให้สายน้ำไหลออกมาจากมวยผมนั้น ส่วนเครื่องทรงไม่มีแบบแผนที่แน่นอนตายตัว ตามแต่จินตนาการของผู้สร้าง บางแห่งสวมพัตราภรณ์เฉพาะช่วงล่าง แต่บางแห่งทั้งนุ่งผ้าจีบและห่มสไบอย่างสวยงาม ประดับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์มีกรอบหน้าและจอนหู เป็นต้น
ตามตำนานนี้ เชื่อว่า เป็นที่มาของพระพุทธรูป ปางสะดุ้งมาร (แปลว่า มาร สะดุ้งตกใจกับพระมหาบารมี ดังภาพแรกในแถวบนนี้) เป็นปางที่พระพุทธรูป ชี้นิ้วทั้ง 5 ลงพื้น เพื่อขอให้พระแม่ธรณีเป็นพยานแห่งพระบารมีที่ทรงสร้างไว้ก่อนนี้
และกลายเป็นประเพณีการกรวดน้ำ เพื่อฝากพระแม่ธรณี ทรงเป็นพยานการทำบุญ เพราะไม่ว่าจะไปแห่งใดในโลก พระแม่ธรณีก็จะทรงรู้เห็นช่วยเหลือและเป็นพยานแห่งบุญติดตามทุกท่านได้ตลอด แม่ว่าประเพณีนี้ จะสืบเนื่องมาเนิ่นนานจากศาสนาต่างๆ เช่นศาสนาพราหมณ์ แต่ไทย และศาสนาพุทธ ก็รับต่อเนื่องมาเป็นตำนานแห่งน้ำ และนับว่า น้ำ เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของประเพณีการทำบุญสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน
ขอบคุณภาพ
ขอบคุณข้อมูล
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีhttp://th.wikipedia.org/

167: พระแม่คงคา

 

พระแม่คงคา เทพผู้รักษาสายน้ำ
เล่าโดย ไตรรงค์ ปิมปา คนชอบน้ำ

พระแม่คงคา มีประวัติดั้งนี้พระองค์เป็นพระธิดาของท้าวหิมวัตและพระนางเมนกามีน้องสาวนามว่าพระอุมาภควตีซึ่งทรงเป็นพระชายาของพระศิวะ ตามคติความเชื่อของอินเดีย ว่ากันว่าพระองค์ทรงปลาใหญ่หรือจรเข้เป็นพาหนะ พระองค์เป็นเทวีผู้ให้กำเนิดสายน้ำ คงคาตามความเชื่อของชาวอินเดีย และนอกจากนั้นชาวฮินดูยังเชื่อว่าสายน้ำ คงคานั้นสามรถชำระล้างบาปของตนได้ พระนางคงคานั้นไม่ได้มีปางอันใดเนื่องจากว่าไม่มีการแบ่งภาคลงมาเกิดแต่มีการร่วมกับองค์พระศิวะในปาง คงเคศวรนั้นเอง นอกจากนั้นก็จะคงพบในรูปเคารพของพระศิวะโดยพระองค์จะปรากฏในเทวลักษณะที่เป็นน้ำไหลจากมวยผมของพระศิวะ
พระแม่คงคาเป็นผู้ดูแลรักษาสายน้ำคงคา ซึ่งถือเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากสวรรค์ ซึ่งในอินเดียนั้นมีแม่น้ำหลายสายเช่น
  • แม่น้ำสรัสวตี (เชื่อว่าไหลมาจากพรหมโลก)
  • แม่น้ำซันโตชี(พระแม่ซันโตชีธิดาของพระพิฆเนศเป็นผู้ดูแล)
  • แม่น้ำคงคา(พระแม่คงคาเป็นผู้ดูแล)
  • แม่น้ำยมุนาหรือยมนา(เชื่อว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของพระวิษณุเทพ)
น้ำจากคงคานั้นถือว่าเป็นน้ำที่สามารถชำระบาปของมนุษย์ทั้งหลายได้ ซึ่งแม่น้ำที่ใช้ชำระบาปของมนุษย์ได้จะมีอยู่สองสายคือ
  • แม่น้ำคงคาตลอดสาย
  • แม่น้ำยมนา  
บริเวณต้นน้ำที่เขายาดาคีรีของ ท่านฤาษียาดาชี ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ลักษมีนาราซิมฮา แม่น้ำคงคานี้เมื่อจะประกอบพิธีต่างๆ จะต้องนำน้ำจากพระคงคานี้ไปร่วมในพิธีด้วย
โดยปกติแล้วบรรดาฤาษีในอินเดียจะมีหม้อน้ำติดตัวอยู่เสมอ ซึ่งจะบรรจุน้ำจากแม่น้ำคงคา บริเวณที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือ "ตริเวนี" หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า "จุฬาตรีคูณ" ซึ่งมีแม่น้ำคงคาและยมนาใหลมาบรรจบกัน และเชื่อว่ามีแม่น้ำสรัสวตีไหลมาจากใต้ดินมาบรรจบกันที่นี่ด้วย ชาวฮินดูนิยมที่จะตักน้ำจากแม่น้ำคงคาไปใช้ในการสรงน้ำเทวรูปและอาบกิน
ตามตำนานว่าแม่คงคานั้นไหลเวียนอยู่ที่นิ้วเท้าของพระวิษณุ เหตุที่พระคงคาต้องใหลลงมาที่โลกมนุษย์นั้น ก็เพราะว่าท้าวสักราชได้ทำพิธีอัญเชิญพระแม่คงคา ให้ลงมาส่โลกมนุษย์สืบต่อมาหลายชั่วคนจึงสำเร็จในสมัยของท้าวภคีรถ แต่ด้วยความแรงของพระแม่คงคา ซึ่งอาจจะทำให้โลกล่มสลายไปได้ พระศิวะเจ้าจึงได้รองรับแม่คงคาด้วยมวยพระเกศก่อน แล้วจึงปล่อยลงมาสู่โลกมนุษย์
อีกตำนานว่า เดิมทีโลกมนุษย์นั้นบังเกิดความแห้งแล้งอย่างหนัก ซึ่งเกิดจากการที่พระแม่คงคา ไม่ยอมปล่อยน้ำลงมาสู่โลกมนุษย์แล้วเสด็จหนีไป จึงทำให้มนุษย์และสัตว์ล้มตายมากมาย บรรดาเทวะเห็นดังนั้นจึงไปกราบทูลเชิญพระศิวะเจ้าให้ทรงจัดการเรื่องนี้ พระองค์จึงทรงออกตามหาพระแม่คงคากลับมา แล้วให้พระแม่คืนสายน้ำให้มนุษย์ แต่พระแม่ไม่ยอมพระองค์จึงทรงใช้พระเกศรัดพระแม่คงคาจนพระนางยอมปล่อยสายน้ำออกมา
บางตำนานก็ว่าพระศิวะเจ้าทรงได้พระแม่เป็นภรรยาลับๆ ด้วยความกลัวพระแม่อุมารู้แล้วจะทรงพิโรธ จึงซ่อนพระแม่ไว้ในมวยพระเกศ ให้พระแม่ปล่อยน้ำออกมาจากพระเกศของพระองค์เพื่อล้างบาปที่พระองค์ได้ทรงทำด้วย
เทวะลักษณะของพระแม่นั้น โดยทั่วไปจะวาดมีสี่กร และทรงจระเข้เป็นพาหนะ มีตรีศูลย์เป็นอาวุธ มีหม้อกลาฮัม และหม้อน้ำ บางครั้งก็จะวาดมีสองกร และทรงอาวุธตรีศูลย์ แต่ส่วนมากที่จะได้เห็นกันก็คือ จะแสดงองค์เป็นสตรีที่ยื่นหน้าออกมาจากมวยพระเกศของพระศิวะเจ้า และมีสายน้ำพ่นออกมาจากปา
การบูชาแม่คงคา โดยทั่วไปในอินเดียการบุชาแม่คงคาจะกระทำการเหมือนเทพองค์อื่นๆคือ จะบูชาด้วยการอารตี และสวดมนต์พระเวทย์ ซึ่งเครื่องบูชาในถาดอารตีจะประกอบด้วย
    ดอกไม้สีส้มหรือสีเหลืองและดอกบัว
  • ผลไม้ที่มีรสหวานเท่านั้น 5 ชนิด
  • น้ำนม
  • ตะเกียงน้ำมัน
  • กำยาน
  • ขนมหวาน
และจะทำการบูชาแม่คงคาที่ริมแม่น้ำคงคา(ในอินเดีย) แต่ถ้าเป็นในต่างเมืองเช่นเมืองไทย อาจจะทำการบูชาต่อหน้ารูปแม่คงคา หรือที่แม่น้ำใหญ่ และลอยเครื่องบูชาบางส่วนไปกับสายน้ำ เว้นไว้แต่ตะเกียงกับกำยาน เครื่องบูชาที่เหลือก็จะนำมาเก็บไว้รับทานเพื่อเป็นมงคลหรือแจกจ่ายเพื่อทำทานต่อไป
แต่ถ้าเป็นการบูชาของไทยนั้นเครื่องบูชาจะประกอบด้วย
  • ผ้าแพร 3 สี
  • ข้าวตอก
  • น้ำนม
  • ดอกไม้สีเหลืองหรือส้ม
  • พวงมาลัยดอกดาวเรือง
  • ขนมหวาน 7 ชนิด
  • ผลไม้รสหวาน 5 ชนิด
  • รูปปั้นพระแม่คงคา
เจ้าคงคา ตามตำนานประเทศจีน
เจ้าคงคาคนจีนเรียกว่าเจ้าคงคาว่า ฮ้อแปะ ฮ้อ แปลว่า แม่น้ำ แปะ คือ อาเปะหรือคุณลุง แสดงว่า เจ้าแม่น้ำหรือเจ้าคงคาเป็นบุรุษไม่ใฃ่พระแม่คงคาอย่างชาวไทย ตำนานของเจ้าคงคาหรือ ฮ้อแปะถูกผูกไว้กับแม่น้ำฮวงโห โยงเรื่องถึงเทพเจ้าผู้เปิดภูเขา ซึ่งสมัยเป็นมนุษย์ท่านคือ กษัตริย์อู๊ จีนกลาง เรียกท่านว่า ต้าหวี่ แต้จิ๋วเรียกว่า หยู,อู๊,อู้หรือ ไตัอู้ หรือ แฮอู้ มีเรื่องราวเล่าว่า ขณะไต้อู้ได้กำลังวิเคราะห์สถานการนำท่วมใหญ่ ที่แม่น้ำฮวงโห้ว พลันนั้นมีชายร่างปลากล่าวแก่ไต้อู้ว่า ท่านคือ ฮ้อแปะ อยากจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม ได้ใช้แผนที่แม่น้ำที่เรียกว่า ฮ้อโต้ว มาช่วยในการหาสาเหตุที่น้ำท่วม แล้วก็ดำน้ำลงไป ฮ้อแปะเป็นเจ้าคงคาที่บางแห่งมีชื่อเรียกว่า ปิ่งอี๊ เปียอี๊ ได้เกิดอุบัติเหตุจมน้ำตายขณะที่ข้ามแม่น้ำฮวงโห้ว แต่ด้วยความที่เป็นสามัญชน เปี๊ยอี๊เป็นคนใจดีก็ได้เป็นเทวดา เง็กเซียนฮ่องเต้ได้บัญชาให้เป็นเจ้าคงคาที่ดูแลแม่น้ำ เพื่อเป็นที่ลำลือถึงความศักดิ์ของเจ้าคงคาได้มีเรื่องเล่าในราชวงศ์ถังว่า ขุนพลโป่วจื้องี้ได้ถูกส่งให้ไปดูแลพื้นที่ในลุ่มฮวงโห้ว วันหนึ่งแม่เกิดน้ำท่วม ขุนพลโป่วจื้องี้ได้ขอพรให้เจ้าคงคาคอยช่วยให้น้ำหายท่วมจะยกลูกสาวของตนให้เจ้าคงคาแต่งงานด้วย ในไม่ช้าน้ำในแม่น้ำก็หายท่วม และลูกสาวของท่าน ขุนพลโป่วจื้องี้ ก็ได้หลับโดยไม่ตื่น ท่านได้จัดงานศพกับลูกและตั้งหุ่นบูชา
ในตำนานของจีนได้มีการผนวกพญานาคและพญามังกรของจีน ยกย่องให้เป็นเจ้าแห่งคงคา และเปลี่ยนเล่งอ๋วงมีอำนาจควบคุมแหล่งน้ำทั้งหมด
พระแม่คงคา ในความเชื่อของอินเดีย (ผู้นับถือศาสนาฮินดู) จะเน้นไปด้านการไถ่บาป เครื่องชำระบาป ของแม่น้ำคงคา และยมนา โดยการใช้น้ำอาบ ล้าง และร่วมในพิธีต่างๆ เพื่อบูชาพระแม่ หรือเป็นสื่อกับเทพเจ้าองค์อื่นๆ ในในประเทศจีนจะเป็นเทพเจ้าผู้ให้ความช่วยเหลือจากปัญหาเรื่องน้ำมาก ความเชื่อในประเทศไทยในการบูชาพระแม่คงคา กลับเน้นไปในทางที่การขอขมาพระแม่คงคาในประเพณี ลอยกระทง เนื่องจากการสำนึกในพระคุณแห่งน้ำ และพระแม่คงคา ก็เป็นดังผู้แทนของน้ำ การบูชาพระแม่คงคา นับเป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์น้ำ ด้วยอีกทางหนึ่ง จนทำให้ประเพณีลอกกระทง โด่งดังไปทั่วโลก

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

165: นิมิตฝัน ถึงองค์พ่อแม่ครูอาจารย์มาสอนธรรม

เมื่อสัปดาห์ก่อน จำวัน/เวลาไม่ได้
ก็ฝันถึงองค์พ่อแม่ครูอาจารย์กับญาติโยมจำนวนมากมาย ได้ธุดงธ์จากไหนมาไม่ทราบได้ ได้ลงไปอาบน้ำในคลองที่ขุดขึ้นมาใหม่ บริเวณทุ่งนา น่าจะภาคอิสาน เพราะเป็นดินทรายร่วนซุย คลองหรือบ่อก็อาจเรียกได้ เพราะไม่ค่อยใหญ่มากนัก ด้านบนขวาเป็นองค์พ่อแม่ครูอาจารย์สรงน้ำอยู่เพียงรูปเดียว ส่วนคลองด้านล่างซ้ายนั้นเป็นของญาติโยมลงอาบพร้อมๆกัน ตอนแรกน้ำในคลองก็ใสสะอาดมีความสูงประมาณหน้าอก (จากนั้นผมอาบเสร็จขึ้นมาบนฝั่งหรือยังจำไม่ได้) สังเกตุเห็นว่าน้ำนั้นลดลงน่าจะถึงเอว และมีความขุ่นมากขึ้น


...จบ...

เมื่อคืน (22.08.55) ประมาณตี 2 กว่าๆ
ผมได้ฝันอีกว่า ได้อยู่กับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ (คิดว่าน่าจะเป็นวัด) ขณะเดียวกันก็มีเด็กๆมาเล่นภายในบริเวณดังกล่าว เนื่องจากผมชอบเล่นกับเด็ก ก็กำลังจักเข้าไปเล่นทักทายเด็กผู้ชายคนหนึ่ง คุณแม่หน้าตาดีของเด็กผู้ชายคนนั้นก็ออกอาการไม่พอใจที่ไปเล่นกับลูกเขา ผมก็อึดอัด จึงเข้าไปก้มกราบองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ว่า "จะขออนุญาตกลับแล้ว ข่ะน่อย" ขณะที่กราบนั้นสังเกตุเห็นมีพัดไม้ไผ่เก่าๆรองตรงบริเวณฝ่ามือที่กราบพอดิบพอดี

องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านก็พูดออกมาเป็นภาษาอิสานว่า "กว่าอาตมาสิสอนให้ญาติโยมฮู้จักธรรมมาได้ขนาดนี้ บ่แม่นของง่ายดี้ สิไปได้จั่งใด๋" จากนั้นองค์ท่านก็ส่งสายตาให้ผมเดินตามไป องค์ท่านก็หยิบเสื้อของเด็กน้อยสีครีมส่งให้ผม นัยว่าเป็นปริศนาธรรมและพูดคุยกันนิดนึง (จำไม่ได้แล้ว)

จากนั้นก็ขึ้นมาที่เรือน น่าจะเป็นกุฏิ สร้างด้วยไม้ หลังใหญ่ทรงไทยโบราณ ขณะนั้นคุณแม่ชมกำลังตระเตรียมภัตตาหารเตรียมถวาย แล้วก็จักมีการขนจานชามภาชนะใส่อาหารออกมาอีกฟาก ผมสังเกตุเห็นว่าบางชามก็ว่างเปล่า บางชามก็เต็มไปด้วยอาหาร ผมจึงถือวิสาสะ แยกจานชามที่มีอาหารนั้นออกมาต่างหาก...จากนั้นก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา .... พอดีกับหลวงพ่อทูลเทศน์ถึงตอนสำคัญ(ผมเปิดธรรมะ MP3 ผ่าน notebook ทิ้งไว้) ผมจึงนั่งภาวนาสักครู่ก็นอนต่อ เวลาขณะนั้นตี 3:20

เรื่องที่เกี่ยวข้องนิมิตของข้าพเจ้า:
01: หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)
10: ฌานนิมิตถึงพระอริยะเจ้า
15: แสงธรรมพระธุดงค์ นิมิตแห่งแสง
16: แสงธรรมพระธุดงค์ ตามหานิมิต 
17: แสงธรรมพระธุดงค์ พบแสงนิมิต

58: นิมิตฝันว่า ได้ดื่มน้ำทิพย์
144: นิมิตฝัน เกี่ยวกับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช
155: มงคลนิมิต 2 ประการ
160: นิมิตฝันว่า ได้ฟังธรรมจาก...
165: นิมิตฝัน ถึงองค์พ่อแม่ครูอาจารย์มาสอนธรรม
193: นิมิตฝัน เกี่ยวกับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์
275: นิมิตฝันว่า ได้ถวายอุปัฏฐากหลวงปู่ชา สุภทฺโท
นิมิตฝันว่า ได้พบพญานาคสีน้ำเงินจำศีลอยู่ในถ้ำ
นิมิตฝันว่า ได้พบงูสีขาวเผือก
นิมิตฝันว่า ได้เดินธุดงค์ติดตามองค์ครูบาอาจารย์ไปทางเหนือ
นิมิตฝันว่า ได้ถวายภัตตาหารร่วมกับญาติธรรมจำนวนมาก
นิมิตฝันว่า ได้ครอบครองเจ้าแห่งเหล็กไหล
นิมิตฝันว่า ทำบุญกับพระภิกษุสายหลวงพ่อวัดท่าซุง
นิมิตฝันว่า ได้ติดตามองค์ครูบาอาจารย์บิณฑบาตทางภาคอิสาน
นิมิตฝันว่า ได้เข้ากราบหลวงปู่หา (หลวงปู่ไดโนเสาร์)
นิมิตฝัน วันออกพรรษา
นิมิตฝันว่า ได้ร่วมขุดหาพระพิมพ์กับองค์ครูบาอาจารย์,หลวงปู่...
นิมิตฝันว่า ได้ติดตามองค์ครูบาอาจารย์ธุดงค์จากบาดาลสู่แดนลับแล (บังบด)

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

164: นมัสการพระพุทธรูปหินอ่อน 1 ใน 3 ของโลก

ประวัติพระพุทธรูปหินอ่อน
พระพุทธรูปหินอ่อน วัดดอนแก้ว จ.ตาก
พระพุทธรูปหินอ่อน วัดดอนแก้ว จ.ตาก
"พระพุทธรูปหินอ่อน" วัดดอนแก้ว อ.แม่ระมาด จ.ตาก เป็นพระพุทธรูปหินอ่อน ปางมารวิชัย แกะสลักด้วยหินอ่อน ขนาดหน้าตักกว้าง 1.30 เมตร สูงจากพระแท่นฐานถึงรัศมี 1.60 เมตร ศิลปะแบบพม่า

พระพุทธรูปหินอ่อน วัดดอนแก้วเป็นพระพุทธรูปปฏิมาแบบประธานในอุโบสถ วัดดอนแก้ว กล่าวได้ว่าเป็นพระประธานองค์เดียวในประเทศไทยที่ทำด้วยหินอ่อนที่มีขนาดใหญ่

องค์ที่สามคือพระพุทธรูปหินอ่อน ประดิษฐานที่วัดดอนแก้ว อ.แม่ระมาด จ.ตาก ซึ่งได้อัญเชิญมาจากประเทศพม่าเมื่อเดือนเมษายน พุทธศักราช 2465 นับเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนชาวจังหวัดตาก และชาวจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงชาวพม่าให้ความเลื่อมใสศรัทธา ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถวัดดอนแก้ว

เล่าขานกันว่า ครูบาขาวปี ศิษย์เอกของครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย หลังจากประสบชะตากรรมจากทางการ บังคับให้สึกและจองจำในเรือนจำ ถึง 6 เดือน เมื่อพ้นโทษออกมา ครูบาศรีวิชัย จึงอุปสมบทท่านเป็นภิกษุอีก หลังจากครูบาขาวปีได้กลับมาสู่รมกาสาวพัสตร์ ท่านอยู่จำพรรษากับครูบาศรีวิชัยได้ 1 พรรษา

ครั้งหนึ่ง ท่านได้มุ่งสู่แม่สอดเดินทางรอนแรมไปตามป่าเขาลำเนาไพรถึง 4 คืน 4 วัน ตนถึงแม่ระมาดและเริ่มงานสร้างถาวรวัตถุอีกมากมาย จากอายุ 36 ถึง 42 ปี

ช่วงเวลาดังกล่าวตามประวัติครูบาเจ้าขาวปี ที่ได้จาริกบุญอยู่ที่ อ.แม่ระมาด จ.ตาก ท่านได้สร้างถาวรวัตถุมากมาย ชาวบ้านในพื้นที่ มีทั้งคนไทย ชาวกะเหรี่ยงและชาวพม่า ต่างให้ความนับถือท่านเป็นอย่างมาก

ในปี พ.ศ.2465 ครูบาขาวปี พร้อมด้วยขุนระมาดไมตรี และชาวแม่ระมาดได้ร่วมกันอัญเชิญ "พระพุทธรูปหินอ่อน" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปแกะสลักจากหินอ่อนทั้งแท่ง เป็นประติมากรรมของช่างฝีมือชาวพม่า

พุทธศาสนิกชนชาวแม่ระมาด ได้อัญเชิญมาจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า ในราคา 88 รูปี ทั้งทางเรือและทางเกวียน ประดิษฐานในวิหารวัดดอนแก้ว อ.แม่ระมาด จ.ตาก ใช้ระยะเวลานานกว่า 12 วัน

ที่ อ.แม่ระมาด เกิดเรื่องน่าเศร้าใจขึ้น ท่านครูบาขาวปี ถูกบังคับให้สึกและครองผ้าขาวเป็นครั้งที่ 2 อีก กล่าวคือ ในการสร้างโบสถ์ เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนนั้น ปรากฏว่าขาดปัจจัยอยู่อีกประมาณ 700 บาท เป็นค่าทองคำเปลว 400 บาท กับค่านายช่างอีก 300 บาท ท่านก็ปรึกษาเรี่ยไรเอาจากชาวบ้านจนครบ ด้วยความเต็มใจของชาวบ้าน แล้วช่วยกันสร้างต่อ จนแล้วเสร็จทันฉลอง

แต่เรื่องการเรี่ยไรนี้ ทราบถึงอำเภอ จึงเรียกกำนันไปสอบสวนว่า อภิชัยภิกษุ หรือครูบาขาวปี เรี่ยไรจริงหรือไม่ กำนันก็รับว่าจริง แต่ด้วยความเต็มใจของชาวบ้าน เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น งานสร้างโบสถ์ก็หยุดชะงัก

ทางอำเภอก็ว่าเต็มใจหรือไม่ก็ผิดเพราะเป็นพระ จะทำการเรี่ยไรไม่ได้ ผิดระเบียบคณะสงฆ์ แล้วรายงานเรื่องนี้ไปยังเจ้าคณะจังหวัด และตัดสินว่าให้สึกเสีย ท่านจึงจำยอมสึก และกลับมาครองผ้าขาวอีกครั้ง

ไม่นานนักท่านก็เดินทางออกจากเมืองแม่ระมาด เข้าสู่อำเภอลี้ จ.ลำพูน และเผชิญวิบากกรรม อีกมากมาย และได้อุปสมบทเป็นหนที่ 3 แต่ก็ถูกมารผจญต้องลาสิกขาครองผ้าขาว เป็นครั้งที่ 3 และได้สร้างวัดผาหนาม อ.ลี้ จ.ลำพูน ด้วยเมตตาของท่านครูบาขาวปี ได้ทำนุบำรุงพระศาสนา สร้างวัด สร้างโรงเรียน ทั้งสุโขทัย ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ ตาก จนกระทั่งท่านครูบาขาวปี จากไปอย่างสงบ ในวันที่ 3 มีนาคม 2520 สิริอายุ 88 ปี

พระพุทธรูปหินอ่อนวัดดอนแก้ว อ.แม่ระมาด จ.ตาก ไม่เพียงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ แต่การได้มาซึ่งพระพุทธรูปหินอ่อนองค์นี้ ต้องใช้ศรัทธาแห่งพุทธศาสนิกชนอัญเชิญมาจากเมืองย่างกุ้งประเทศพม่า จนมาประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถแห่งนี้มาจนปัจจุบัน

ซึ่งลูกศิษย์ผู้เลื่อมใสศรัทธาครูบาขาวปี แห่งวัดพระพุทธบาทเขาหนาม อ.ลี้ จ.ลำพูน ได้ติดตามรอยบุญแห่งครูบาเจ้าขาวปี เพราะอุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนจากเมืองพม่า กลับกลายเป็นชนวนเหตุให้ท่านครูบาขาวปีต้องถูกมลทิน แกล้งบังคับสึกและครองผ้าขาวเป็นหนที่ 2

แต่กระนั้น ผลบุญแห่งการสร้างถาวรวัตถุ ถวายเป็นพุทธบูชาของครูบาขาวปีและชาวแม่ระมาด ได้ประจักษ์เป็นสักขีพยานแห่งการสืบทอดพระพุทธศาสนา ล่วงมากว่า 90 ปี ตราบจนถึงปัจจุบัน


คอลัมน์ เดินสายไหว้พระพุทธ :วิทยา ปัญญาศรี ที่มา... ฉบับที่ 6708 ข่าวสดรายวัน

 วันนี้(จันทร์ที่ 20.08.55)เป็นวันหยุด
IT Man จึงขอโอกาสนี้ไปสักการะหลวงพ่อหินอ่อนกัน
หลวงพ่อหินอ่อน เป็นศิลปะพม่า
มีเพียง 1 ใน 3 ของโลก 
ไปพอดีกับทางวัดทำวัตรเย็น (16:30-17:15) 
ครูบาขาวปี
ผมสนใจพระพุทธรูปหินอ่อนแกะสลักจากหยกขาว
ศิลปะพม่าองค์นี้ (1,800-) 
เทียบกับองค์อื่นๆ (2,000) 
 ก็ยังชอบองค์นี้...
จึงขอนิมนต์กลับบ้าน โดยขอสรงด้วยน้ำมนต์ก่อน 
 บูชาด้วยดอกไม้หอมสีขาว
ขอถวายพระนามว่าหลวงพ่อขาว...

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

163: รวบรวมคำทำนายเรื่องภัยพิบัติจากเวปต่างๆ

คำทำนายโลกและประเทศไทย

ข้อความนี้คือ หนังสือพุทธทำนาย ข้อความจาก ปู่ฤาษีมณีรัตน์ (สัมเด็ดรุ่ง)

เราเห็นว่าหนังสือนี้มีประโยชน์ต่อทุกคน ต่อพุทธศาสนิกชน เราอยากให้ทุกคนได้อ่าน เพื่อเป็น
บุญกุศลต่อตนเองและครอบครัว โลกมนุษย์นี้ช่างเหลือเวลาสั้นนัก ขอให้ทุกคนกระทำความดีเถิด
ความดีเท่านั้นที่จะยังคงอยู่บนโลกใบนี้ และเป็นบุญกุศลต่อเนื่องไปในภายภาคหน้า
ขอให้ทุกคนจงเจริญในพุทธศาสนา บำเพ็ญศีลภาวนา กระทำแต่ความดีตราบจนนิพพานด้วยเถิด
-----------------------------------------------------------
หนังสือพุทธทำนาย ข้อความจากปู่ฤษีมณีรัตน์ (สัมเด็ดรุ่ง)
-----------------------------------------------------------
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)

คาถาปล่อยสัตว์สะเดาะเคราะห์
(จุดธูป ๑๖ ดอก กลางแจ้ง)
คัจเฉวะโข ตะวัง ตะระมา นะรูโป มาตัง อะมิตตา ปุนะ
อัคคะเหสุง ทุกโข หิ ลุทโท ทิ ปุมา สะมาคะโม อัทสะ สะนัง
โภชะปุตตานังคัจฉา สุขายะ นิรันตะรัง(๓ จบ)

จงตั้งจิตอธิษฐานว่าทุกข์ โศก โรค ภัย เสนียดจัญไร บาปเคราะห์
ฝากพระแม่ทั้ง ๔ แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระเพลิง แม่พระพาย
กลับกลายคืน ธาตุ ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
กลับกลายเป็นอากาศธาตุไปในทันที

ค้นพบ “หนังสืออินตก - เทพทำนาย” โดยย่อ
หนังสือใบลานสีได้ถูกตกทอดมาในวัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดอัตตะบือ (ประเทศลาว) ข้าพเจ้าได้รับรู้จากพระอาจารย์ผู้ทรงศีลองค์หนึ่งเผ ยแพร่ให้ เลยเกิดความศรัทธาเสียสละทรัพย์พิมพ์แจกจ่ายมายังพี่ น้องชาวพุทธทั้งหลาย เพื่อเป็นกุศลและพิจารณาญาณด้วยตนเองถึงเหตุการณ์มหั นตภัยของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งจะบังเกิดขึ้นตามพุทธทำนายไว้ดังนี้

โลช้งชม โทโพโล อินโตกรุณา
พระอินทร์ พรหม ยมราชได้สั่งไว้ว่า ถ้าบุคคลใดได้รู้แล้วจงรีบบอกให้คนอื่นฟัง หรือพิมพ์แจกตามกำลังศรัทธา จะเกิดมหากุศลช่วยให้ท่านได้หลุดพ้นจากมหันตภัยพิบัต ิทั้งปวง ถ้าบุคคลจะลงมาเกิดพร้อมทั้งหนังสือใบลานฉบับนี้ ถ้าใครไม่มีไว้ในบ้านเรือนจะมีภูติผีปีศาจเข้ามาทำลา ยอย่างแน่แท้
ในปีจอจนถึงปีกุน เมื่อเดือนหงายจะมีงูพิษอยู่บนศีรษะฉกกัดให้ถึงตาย และผู้คนทั้ง หลายจะเกิดความเดือดร้อนหลายประการ

ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนศึกสงครามบ่แล้ว
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนน้ำและไฟ
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนบ่มีไผสิเบิงไผ
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนยึดข้าวปลาอาหาร
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนผัว-บ่เห็นหน้ากัน
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนมีคนตายตามทุ่งนา
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนบ่มีผู้เฒ่า
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนไปต่างประเทศบ่สะดวก
ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนนอนบ่หลับ

ในปีจอนี้ เมืองจันทร์จะมีฤษีองค์ทองคำ สิกขาเพศออกมาเป็นพ่อค้า ในปีจอ ขึ้น 8 ค่ำห้ามบ่ให้ตักน้ำอาบน้ำกินตามห้วยหนองคลองบึงหลังพ ระอาทิตย์ตกดิน (ก่อนค่ำ) พระยายมราชจะนำยาพิษพ่นใส่ในโลกมนุษย์

ในปีจอ เมืองกรุงเทพฯจะแตกพันทลายตอนเวลาไก่ขัน พระแก้วมรกต หัวเชียงเมี้ยง ข้าวเม็ดใหญ่จะกลับสู่เวียงจันทน์ นี้คือพระคาถาของพระอินทร์ พรหม ยมราช ได้เขียนไว้ในใบลาน จงเก็บรักษาไว้ให้ดี เพื่อช่วยหลุดพ้นในยามเกิดมหันตภัย พระคาถาเขียนไว้ว่า

ปะโต เมตัง ประระชิมินัง สุคะโต จุติ จิตตะ เมตตะ นิพพานัง สุคะโต จุติ
พระคาถาบทนี้เขียนลงในใบลาน แผ่นทอง หรือแผ่นผ้าก็ดี ติดไว้ที่ประตูบ้านหรือในรถ หรือโพกศีรษะ ยามเกิดเหตุการณ์จะช่วยให้หลุดพ้นจากภัยอันตราย
ในกาลเวลานี้ เทพเจ้าเหล่าเทวดาผู้รักษาคุ้มครองโลกได้กราบทูลต่อพระอินทร์ว่ามนุษย์โลกทำกุศลเพียง 3 ส่วน และทำบาปกรรมถึง 7 ส่วน เมื่อเป็นเช่นนี้พระอินทร์จะสั่งลงโทษมนุษย์ผู้ใจบาป ถึง 9 ข้อ นับตั้งแต่ปีจอถึงปีกุนดังนี้

1. จะเกิดพายุลมแรง แผ่นดินไหว
2. จะเกิดอัคคีภัย
3. จะเกิดอุทกภัย
4. จะเกิดฟ้าผ่า
5. จะเกิดร้อนเกินไป หนาวเกินไป
6. จะเกิดสารพิษต่างๆ
7. จะเกิดกาฬโรคต่างๆ
8. จะเกิดข้าวยากหมากแพง
9. จะเกิดฆาตพยาบาทเบียดเบียนกันเอง

มหันตภัย 9 อย่างนี้จะหลุดพ้นได้โดยเฉพาะผู้มีบุญ คนที่ปฎิบัติตามคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น รู้แล้วจงบอกต่อกันไปให้รีบทำความดีกันมากๆ ถ้าเลยปีจอ ปีกุนไปแล้ว ทุกคนพร้อมทั้งลูกหลานจะได้รับความสุขกาย สบายใจ ให้เคร่งครัดในศีล 5

นอกจากหนังสืออินตก ที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีพระผู้ทรงศีลอีกองค์หนึ่งได้พบเห็นคำสอนที่จารึ กไว้ในแผ่นศิลา ที่เพิ่งค้นพบในภูเขาแห่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้เดิน ธุดงวิปัสสนากรรม ฐานผ่านไป พระผู้ทรงศีลกล่าวว่า พี่น้องทั้งหลาย ถ้าไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ดวงจิต เพราะถึงเวลาแล้วที่สวรรค์จะไม่มีความลับ ถ้าท่านเชื่อก็เป็นกุศล รู้เพียงเท่านี้ข้าพเจ้าจึงบอกเล่าสู่ท่านฟังตามคำกล ่าวของพระผู้ทรงศีลรูปนี้ ว่าในแผ่นศิลาได้เขียนไว้เฉพาะมหากัสสะปะว่า ในปีระกา ปีจอ ปีกุน เดือน 7-8 จะเกิดเหตุการณ์ร้ายตามถนนหนทาง ในเดือน 9-10 คนใจบาปจะถูกผลาญให้หมดไป มีบ้านแต่ไม่มีคนอยู่ มีข้าวแต่ไม่มีคนกิน มีทางแต่ไม่มีคนเดิน

สุดท้ายพระผู้ทรงศีลได้กล่าวย้ำถึงความศักดิ์สิทธิ์ข องหนังสืออินตกเพิ่มเติมว่า ถ้าท่านผู้เคารพบูชา หรือบนว่าจะบอกแก่ผู้อื่น หรือพิมพ์แจกจ่ายให้สาธุชนทั้งหลายได้รับรู้แล้ว ท่านปรารถนาสิ่งใดจะได้สมใจนึก ปราศจากภัยพิบัติทั้งปวงตลอดไป ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

พระพุทธเจ้าทำนาย
ออกจากศิลาจารึกในมหาวิหารเจตมาหเชตวัน ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย โดยคณะทูตไทยที่ไปอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุเมื่อปี พ.ศ.2485 ตามคำแปลภาษาไทยว่าไว้ดังนี้

สาธุ อะระหังตา สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาสรรพสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว แต่ลำบากทั่วหน้า ทุกชาติ ทุกศาสนาตามธรรมชาติ เมื่ออาตมาเข้านิพพานไปแล้วครบห้าพันปีเป็นที่สุด โลกจะหมุนไปใกล้ถึงจำนวนที่ตถาคตทำนายไว้ สองพันห้าร้อยปีมนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติเสีย ครั้งหนึ่งในระยะ 30 ปี สิ่งที่สาธุชนไม่เคยเจอจะได้เจอ ไม่เคยพบจะได้พบ ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับกลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งนัก

ใกล้กับ พ.ศ.2550 ยิ่งทวีกันใหญ่ขึ้นทุกทิวาราตรี มนุษย์นอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันกันจนถึงเลือดนองเต็มพื้น ดิน พื้นน้ำจะลุกลามเผามนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายเหมือนยักษ์ กระหายเลือด แผ่นดินจะเป็นเปลวไฟ จะตายไปอย่างละครึ่งหนึ่งจึงจะเลิกล้ม ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังด้วยกัน ตามวิสัยยักษ์ร้ายนอกศาสนาซึ่งถือกำเนิดจากป่าอำมหิต

ส่วนพุทธศาสนิกชนผู้ทำแต่บุญ เดินตามทางพระตถาคตสามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดๆได้บูชาพระโพธิสัตว์ผ้ากาสาวพัสตร์ ก็จะได้รับภัยพิบัติเบาบาง แต่หนีภัยธรรมชาติไม่พ้น ลูกไฟจะตกจากฟ้า เหล็กจะผุดจากน้ำ สงครามจะเกิดทั่วทิศ พญานาคจะพ่นพิษเป็นเพลิง ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวสารจะขาดแคลน ทุกแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง สีเหลืองจะชนะ พระยังอยู่คู่เมืองต่อไป สีขาวจะแพ้ภัยในที่สุด ครุฑจะบินกลับฐาน คนจะกลับบำรุง พระพุทธเจ้าว่าดังนี้

ชา ตะ มะ สะ ละ วา
พระพุทธชินลิตนี้ท่านให้เขียนใส่กระดาษหรือผ้าขาวติด ไว้หน้าบ้าน หรือหัวนอน ดังนี้จะมีอายุยืนยาว จะทันผู้มีบุญชื่อพระยาธรรมิกราชา เมื่อแรกสถิตอยู่เขตอยุธยา บัดนี้ท่านเสด็จอยู่ลานช้าง (ภาคอีสานในปัจจุบัน) พระยาธรรมิกราชาเข้ามาปีกุน เดือน 11 เป็นเที่ยงแท้นักหนาท่านเสด็จมาในปีระกาแรม 5 ค่ำ มหากษัตริย์มาทางทิศตะวันตก สมณะชีพราหมณ์ตามมาพอประมาณได้ 76,400 รูปทั่วอาณาจักร สมเด็จพระบรมนักปราชญ์ได้ประกาศคาถาว่าดังนี้

นะสัจจัง ทะคะยัง นะสำคำบัง
คอยดูในปีมะโรงคนจะเดินโก่งโค่ง คลาน ผู้ใดอยากพบผู้มีบุญชื่อพระยาธรรมิกราชาให้ภาวนา หมั่นรักษาศีล สดับฟังพระธรรมเทศนา คอยดูปีมะเส็งตลิ่งจะพัง มหาสมุทรจะชอกช้ำ อย่าเที่ยวไปกลางแจ้ง ท่านเข้ามาปีกุนเดือน 8 เป็นเที่ยงแท้ ผู้ใดไม่เชื่อจะได้รับอันตราย คอยดูในปีจอ คนจะพ้นภัย

สะโรนะกา โททายะโม พุทธะตะยะ
ภาวนาทุกค่ำเช้า ผู้นั้นจะอายุยืนนาน จะได้เห็นพระธรรมิกราช (พระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตไตรย์) ในปีกุนท่านจะเข้ามาอีก ถ้าไม่เห็นหนังสือบ้านใดผู้นั้นจะได้รับอันตราย รู้แล้วให้บอกต่อกันด้วย
คำเตือน โลกมนุษย์กำลังเข้าสู่กลียุค จะทำให้เกิดภัยธรรมชาติจากน้ำ ดิน ไฟ ลม จะเกิดมาหาสงครามโลกครั้งที่สามตามมา มนุษย์จะตายไปกว่าครึ่ง

สำหรับประเทศไทยจะเริ่มเกิดตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 คาดว่าจะได้รับภัยทางน้ำและไฟ โดยเฉพาะจังหวัดที่ติดชายทะเลและกรุงเทพฯ แผ่นดินจะยุบตัว คลื่นน้ำจะพัดเข้าถล่มความสูง 200 เมตร มนุษย์จะล้มตายมากกว่าครึ่ง น้ำจะเข้าช่องแคบสระบุรี และตอนล่างของโคราชบางส่วน ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ สุดท้ายประเทศไทยจะเหลือประชากรประมาณสามสิบเปอร์เซ็นต์

ส่วนประเทศอื่นทั่วโลกจะเหลือเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น บุคคลที่รอดชีวิตส่วนมากก็จะสูญเสียสติสัมปชัญญะ ไม่ปลอดภัยเหมือนเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนา เพราะไม่เข้าใจการบำเพ็ญภาวนา ฉะนั้นอย่าได้หลงใหลในทรัพย์สินเงินทองให้มากนัก เพราะเมื่อเข้ายุคศิวิไล เงินทองจะไม่มีค่าเลย เพราะมนุษย์นั้นวัดกันที่ความดี ศีลธรรม บุญกุศลเท่านั้น ปีมะโรง พ.ศ.2555 ปีมะเส็ง พ.ศ.2556 ปีระกา พ.ศ.2560 และพ.ศ.2561 ปีกุน พ.ศ.2562 คำทำนายสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

รัชกาลที่ ๑ ทายว่า มหาฬ (ทำลายเพื่อน พี่น้อง)
รัชกาลที่ ๒ ทายว่า ณาณยักษ์ (ชำนาญเวทมนต์)
รัชกาลที่ ๓ ทายว่า รักมิตร (มีการค้าขายกับต่างชาติมากมาย)
รัชกาลที่ ๔ ทายว่า สนิททำ (ออกบวช)
รัชกาลที่ ๕ ทายว่า จำแขนขาด (คือต้องยอมเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงและเขมร เพื่อป้องกันอธิปไตย)
รัชกาลที่ ๖ ทายว่า ราชโจร (เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดกลุ่มโจรมากมาย มีการตั้งกองเสือป่าครั้งแรกของไทย )
รัชกาลที่ ๗ ทายว่า ชนร้อนทุกข์ (เกิดการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย)
รัชกาลที่ ๘ ทายว่า ยุคทมิฬ (พระเจ้าแผ่นดินถูกลอบปลงพระชนม์)
รัชกาลที่ ๙ ทายว่า ถิ่นกาขาว (...)
รัชกาลที่ ๑๐ ทายว่า ชาวศิวิไล (จะมีเหลือเฉพาะผู้มีบุญเท่านั้นที่รอด เป็นยุคของพระศรีอริยเมตไตรย์)

-----------------------------------------------------------
ปู่อินทร์ตาทิพย์ อายุ 107 ปี เตือนอีก 5 ปี ภัยพิบัติใหญ่มาแน่
-----------------------------------------------------------
 ฉบับเพิ่มเติม
เมื่องานพุทธพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลวัดถ้ำดาวเขาแก้ว มวกเหล็ก สระบุรี ร่วมทำพิธี เบิกเนตร พระประทานพร องค์ใหญ่ในถำแจ้ง ได้มีบรรดาเกจิอาจารย์พระสงฆ์ และบรรดาฤาษีจากทั่วประเทศมาชุมนุมกันที่วัดนี้แห่งนี้ เมื่อช่วงกลางๆปี 2551

ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเจอสนทนาถึงเรื่องราวต่างๆ กับ ผู้เฒ่าฆราวาส ผู้อภิญญา ตาทิพย์บารมีแก่กล้า แห่งเขาตำแย อ.ปักธงชัย เมืองโคราช อายุ 107 ปี แต่ยังแข็งแรงอยู่มากนามว่า "ปู่อินทร์ ตาทิพย์"

หลายๆคน อาจเคยได้ยินกิตติศัพย์ของปู่อินทร์ กันมาบ้างเรื่องญาณหยั่งรู้ว่ากว้างไกลชัดเจน รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ว่าแม่นยำขนาดใหน ท่านเคยได้บวชร่วมธุดงค์ปฎิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่สรวง สุรินทร์เมื่อครั้งหนุ่มๆ ท่านสร้างวัด ศาสนาวัตถุ มาแล้วนับเป็นร้อยๆแห่ง

บารมีท่านสูงไม่สูงไม่รู้ล่ะ แม้แต่ฤาษีหลายๆตน ยังต้องกราบลาท่านผู้นี้ก่อนเดินทางกลับ เล่นเอาข้าพเจ้างงไปเหมือนกัน เพราะปรกติไม่ค่อยเห็นฤาษีท่านจะไปไหว้ใครก่อนง่ายๆ อันนี้นอกเหนือขอบเขตที่ข้าพเจ้าจะหยั่งรู้ได้

ท่านปู่อินทร์ นุ่งห่มผ้าขาว เมื่อสัมผัสเราด้วยสายตาจะเห็นว่าท่านจะมีลักษณะ ของผู้มีบารมี น่าเคารพยำเกรง แต่ดูมีเมตตาสูง ท่านนั่งงี้ตัวตรงเปะ แล้วท่านจะไม่นั่งในที่ที่ไม่มีผ้าปูนั่ง หรือพรมปูนั่ง ถ้าไม่เตรียมไว้ให้ท่าน จะไม่ยอมนั่งเด็ดขาด ท่านจะยืนอยู่เฉยๆซะงั้น พระอาจารย์ถ้ำดาวเขาแก้ว ท่านรู้กัน ท่านต้องสั่งให้ลูกศิษย์จัดเตรียมผ้าปูรองนั่งไว้ให้ ปู่อินทร์ อีกที่ คือจะไม่ให้นั่งกับพื้นระดับเดียวกับฆราวาสทั่วไป ด้วยอาจเกรงว่าจะไม่เป็นมงคลกับผู้อื่นนั่นเอง ไม่ไช่ว่าท่านเย่อหยิ่งถือตัวแต่ประการใด

ถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกถึง พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ ฯจอมขมังเวทย์แห่งภาคใต้ ครับลักษณะคล้ายๆกันแต่ไม่มีหนวด ผิวพรรณผ่องใสแบบผู้มีบารมีธรรม
ปีนี้ 2552 ท่านก็108 ปี

ท่านได้เตือนว่าในอีก3 ปีภัยเศรษฐกิจโลกจะแย่มาก และซ้ำร้ายหนักในอีก 5 ปีที่ปู่เห็นคือภัยพิบัติจากธรรมชาติที่รุนแรงมาก โดยในประเทศไทย ภัยหนักที่ปู่เห็นชัดเจนคือ น้ำท่วมแถบโซนจังหวัดภาคกลางโดยเฉพาะกรุงเทพ และปริมณฑลโดยรอบ เป็นบริเวณกว้าง กินพื้นที่ ติดต่อกันหลายจังหวัด หลายวัน หนักมากกว่าทุกครั้งที่ประเทศไทย เคยประสบมา อุทกภัยที่เกิดขึ้นจากทั้งน้ำทะเลหนุน,น้ำป่าไหลหลากจากทางภาคเหนือมาสมทบ แม่น้ำเอ่อท่วม ฝนตกติดต่อกันหลายวัน แบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเมื่อไหร่ แล้วระดับน้ำท่วมจะสูงขึ้นมากเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว จนอยู่กันไม่ได้ หนีตายกันอลม่าน รถติดกันเป็นทางยาวทั่วทุกสาย ต้องหนีเพื่อเอาตัวรอดวุ่นวายไปหมด ที่ เดือดร้อนมากคือจังหวัดที่ติดชายทะเล ,รวมทั้งจังหวัดที่ติดแม่น้ำ สายใหญ่เช่น นนทบุรี ,สมุทรปราการ,สมุทรสงคราม,สมุทรสาคร,นครปฐม, ปทุมธานี ,อยุธยา, อ่างทอง และอื่นๆอีกมาก

ผู้คนส่วนใหญ่จะหนีมาที่ภาคอีสาน เพราะเป็นที่ราบสูงน้ำท่วมไม่ถึง
ท่านเตือนว่า ถ้าจะหนีอย่าหนีออกมาที่เส้นมิตรภาพ โคราช-สระบุรี เพราะ ผู้คนส่วนใหญ่จะหนีมาที่เส้นนี้เป็นหลัก ให้เลี่ยงไปทาง นครนายกหรือ สระแก้ว ปราจีน จะพอเอาตัวรอดได้

ท่านเตือนว่า!!! ก่อนที่ช่วงเวลานั้นมาถึงให้ ตระเตรียมเงินสด ทองคำของมีค่า ไว้ใช้ยามฉุกเฉิน และเก็บรักษาไว้ให้ดี เพราะยามนั้นเงินทองเป็นของหายาก คนก็เห็นแก่ตัวกันมาก โจรผู้ร้ายชุกชุมเพราะต่างเอาตัวรอดเช่นเดียวกัน

แค่ท่านๆทั้งหลาย ลองนึกดูเหอะ ถึงภาพน้ำท่วมปี 2551 ที่ท่วมทั่วประเทศกว่า 45 จังหวัดทั่วประเทศ (เกินครึ่งประเทศ) อยู่ไม่กี่วัน ยังเดือดร้อนวุ่นวาย เสียหาย มหาศาลกันหนักขนาดใหน แล้วนี่ถ้ามันหนักกว่าปีที่ 51 อีก และหลายวันกว่า จะเป็นงัยหนอ???

ท่านปู่อินทร์ท่านถาม พวกข้าพเจ้าไว้ให้คิดนิดหนึ่งว่ารู้มั๊ย "ว่าทำไมเค๊าถึงได้เรียกปู่ว่า ปู่อินทร์" ถามแล้วท่านก็ยิ้ม ส่วนพวกข้าพเจ้าและเพื่อน ต่างคน ต่างก็คิดกันไปต่างๆนาๆ ไม่มีใครพูดอะไรต่อ....... เอ ..ท่านเกี่ยวข้องอะไร กับพระอินทร์เขียวๆ หรือเปล่า..หว่า!!!

หลวงปู่ ป. อภิญญาสูง ผู้มองเห็น อนาคตโลก ท่านหนึ่ง แถบสระบุรี ท่านเคยทำนายว่าในภายหน้า แถบเขตจังหวัด ลพบุรี,สระบุรี,โคราช,ชัยภูมิ,เพชรบูรณ์ จะเป็นพื้นที่เขตศาสนาพุทธ ศาสนาหลักของโลก และเป็นพื้นที่ ที่มีญาณบารมีของพระอภิญญา หลวงปู่ครูบาอาจารย์ใหญ่ทั้งหลายในอดีต มาประชุม ชุมนุม ฝึกสอนแนะนำการประพฤติ ปฏิบัติธรรมสมาธิ กันเข้มข้นมากขึ้น

ยุคต่อไปเมื่อผ่านกลียุค มนุษย์จะมีความสามารถทางการสื่อสาร โทรจิตกันมากขึ้น ผิด /ถูกประการใด เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
-----------------------------------------------------------
คำเตือนจากปู่อินทร์ตาทิพย์เขาตำแยอายุ 109 ปี
-----------------------------------------------------------
ปู่บอกว่าภัยพิบัติจะเกิดตามหนังสือพุทธทำนายไว้ จะแรงบ้างหรือเบาบ้างขึ้นอยู่กับว่าครูบาอาจารย์ได้ช่วยไว้หรือไม่ แต่ปลายปี 2555 ต่อเนื่องปี 2556 เหตุการณ์จะรุนแรงมาก ด้วยเหตุ 3 อย่างหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ประการแรก บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ หาก..... ละสังขาร ประการสอง พายุจะถล่มเมืองไทย และที่อื่นๆ ประการสามน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในโลก หลายๆประเทศจะต้องเกิดเหมือนกัน จะรุนแรงไปเรื่อยๆ ผู้คนจะตายมากเป็นประวัติการณ์ ผู้คนจะเหลือแค่ 30% ของประชากรที่นั้นๆ

ปัจจุบันนี้ผู้คนไม่มีศีลธรรม ไม่ละอายแก่บาป เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่ใช่กรรมของใครๆ แต่นี่คือวัฎรจักรของโลก บ้านเมืองเจริญขึ้น แต่จิตใจมนุษย์เจริญลง ยิ่งการสมสู่มนุษย์ต่อกันเดียวนี้ไม่มีเลือกผัวเลือกเมียหรือลูกหลาน นี่แหละกลียุคตามคำทำนายขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธโคดม เหตุดังกล่าวจะเบาลงและสิ้นสุดปี 2560 ผู้คนที่รอดพ้นจากภัยพิภัยคือผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ในศีลธรรม กตัญญูต่อบิดามารดา ละอายแก่บาป จงเป็นผู้รู้ในกิเลส และผู้ตื่นจากกิเลส สุดท้ายก็ไกลจากกิเลส

ภัยพิบัติที่จะเกิด เมืองไทยจะมีการเตือนภัยล่วงหน้า จากในหลวงของเรา และท่านสมิทธ ธรรมสโรช (พูดแบบภาษาธรรม พระองค์ท่านในหลวงและคุณสมิทธมีสื่อจากผู้ดูแลมนุษย์ในโลกนี้ จะบอกกล่าวล่วงหน้าให้ผู้คนเตรียมตัวหนีจากภัยที่จะเกิด) ส่วนเส้นทางหลบหนีปู่บอกว่าผู้คนจะหนีมุ่งหน้าไปทางถนนมิตรภาพ และรถจะติดมากผู้คนต่างแย่งกันโกลาหลน่าดู และสุดท้ายหางแถวจะหนีไม่รอดนั้นเอง สระบุรีตั้งที่องค์พระนั่งสูง ตรงนั้นแผ่นดินจะยุบตัวลง เพราะข้างล่างเป็นบ่อน้ำใต้บาดาล ส่วนถนนที่พอจะรอดก็คือ กบินทร์-นครราชสีมา,นครนายก หรือเส้นทางอื่นๆที่ไม่ใช่มิตรภาพ แต่ส่วนมากผู้คนจะเลือกเส้นทางมิตรภาพมากเพราะไปได้ทั้งเหนือและอีสาน ขอเตือนไม่จำเป็นจะต้องไปอีสานอย่างเดียวนะครับ ภาคเหนือก็ไปได้

(ปู่บอกแล้วเตือนแล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่บุญของเขา แต่ผู้ที่ปฏิบัติธรรมส่วนมากจะรอด แม่บอกอย่างนี้) มนุษย์จากตัวใหญ่ลงมาถึงตัวเล็ก และกำลังเปลี่ยนแปลงจากเล็กไปหาใหญ่เรื่อยๆ สังเกตุจากลูกหลานจะเริ่มสูงใหญ่กว่าพ่อแม่แล้ว และค่อยเป็นค่อยเปลี่ยนไปตลอด

ปล.ลูกเมืองสกลฯ องค์ปู่อินทร์,ปู่ปิยะ และครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ คือพ่อ
-----------------------------------------------------------
ปู่อินทร์ตาทิพย์ อายุ 112 ปี แล้ว (วันเกิดท่านจะตรงวันออกพรรษาทุกปี)
-----------------------------------------------------------
ท่านเป็นฆารวาส นุ่งขาวห่มขาว ชอบอยู่ป่าอยู่เขา ท่านสร้างคุณงามความดีให้ชาติบ้านเมืองมากมาย แต่ไม่ขอบันทึกชื่อเสียงไว้เป็นหลักฐาน ท่านไม่ยึดติด สร้างให้ทำให้แล้วก็แล้ว เขาจะทำจะดูแลยังก็เรื่องของเขา เราเป็นผู้ให้ที่ดี ไม่อยากดัง ไม่ต้องการออกสื่อๆใด บุคคลห้าแผ่นดิน ปีที่ท่านเกิด 2443 ที่ซอยระนอง กรุงเทพฯ หลวงปู่แหวน หลวงปู่เดิม หลวงปู่ปานบางนมโค หลายๆหลวงปู่ที่ท่านเล่าให้ฟังว่าเคยอยู่ด้วยกัน โน้นกัมพูชา สะมะแอ ผู้มีอายุ 300 ปี ยังมีชีวิต พระสงฆ์ในบ้านเราที่มีชีวิต อายุมากกว่าปู่อินทร์ก็ หลวงปู่สุภา ท่านอายุมากกว่าปู่อินทร์สองปี หลวงปู่สุภาจำปู่อินทร์ได้ดี เพราะปู่อินทร์เคยรักษาโรคให้ท่านตอนท่านจำพรรษาอยู่สกลนคร อำเภอวาริชภูมิ ใครอยากร่วมงานรดน้ำอวยพร ขอพรท่านวันที่15 เมษายน 55 เชิญนะครับที่บ้านสแกงาม อ.ปักธงชัย (ถามเส้นทางคนปักดู) ไปทางเขื่อนลำพระเพลิง นานๆทีท่านจะลงมาจากภูเขา เพื่อให้ลูกหลานเดินทางไปมาสะดวก

ท่านอยู่ที่ "บ้านโชคชัย" อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมาครับ เวลาพบท่านมี 2 ช่วง
ช่วงเช้า 9 โมงถึง 12.00 ; ช่วงค่ำ 2 ทุ่มถึง 4 ทุ่ม
-----------------------------------------------------------
ปู่อินทร์ตาทิพย์ เขาตำแยอายุ 113 ปี (2555)
-----------------------------------------------------------
ปู่บอกว่าภัยพิบัติจะเกิดตามหนังสือพุทธทำนายไว้จะแรงบ้างหรือเบาบ้างขึ้นอยู่กับว่าครูบาอาจารย์ได้ช่วยไว้หรือไม่แต่ ปลายปี 2555 ต่อเนื่องปี 2556 เหตุการณ์จะรุนแรงมากด้วยเหตุ3อย่างหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ประการแรก บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ หาก…..ละสังขาร ประการสอง พายุจะถล่มเมืองไทย และที่อื่นๆประการสามน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในโลก หลายๆประเทศจะต้องเกิดเหมือนกันจะรุนแรงไปเรื่อยๆ ผู้คนจะตายมากเป็นประวัติการณ์ ผู้คนจะเหลือแค่ 30%ของประชากรที่นั้นๆ ปัจจุบันนี้ผู้คนไม่มีศีลธรรม ไม่ละอายแก่บาปเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่ใช่กรรมของใครๆ แต่นี่คือวัฎรจักรของโลกบ้านเมืองเจริญขึ้น แต่จิตใจมนุษย์เจริญลงนี่แหละกลียุคตามคำทำนายขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธโคดมเหตุดังกล่าวจะเบาลงและสิ้นสุดปี 2560 ผู้คนที่รอดพ้นจากภัยพิภัยคือผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ในศีลธรรม กตัญญูต่อบิดามารดาละอายแก่บาป จงเป็นผู้รู้ในกิเลส และผู้ตื่นจากกิเลสสุดท้ายก็ไกลจากกิเลส ภัยพิบัติที่จะเกิด เมืองไทยจะมีการเตือนภัยล่วงหน้าจากในหลวงของเรา และท่านสมิทธ ธรรมสโรช (พูดแบบภาษาธรรมพระองค์ท่านในหลวงและคุณสมิทธมีสื่อจากผู้ดูแลมนุษย์ในโลกนี้จะบอกกล่าวล่วงหน้าให้ผู้คนเตรียมตัวหนีจากภัยที่จะเกิด)ส่วนเส้นทางหลบหนีปู่บอกว่าผู้คนจะหนีมุ่งหน้าไปทางถนนมิตรภาพและรถจะติดมากผู้คนต่างแย่งกันกุลาหนน่าดู และสุดท้ายหางแถวจะหนีไม่รอดนั้นเองสระบุรีตั้งที่องค์พระนั่งสูง ตรงนั้นแผ่นดินจะยุบตัวลงเพราะข้างล่างใต้บาดาลเป็นน้ำวนกว้างมากๆ ส่วนถนนที่พอจะรอดก็คือกบินทร์-นครราชสีมา,นครนายก หรือเส้นทางอื่นๆที่ไม่ใช่มิตรภาพแต่ส่วนมากผู้คนส่วนมากจะเลือกเดินทางเส้นถนนมิตรภาพมากเพราะไปได้ทั้งเหนือและอีสานขอเตือนไม่จำเป็นจะต้องไปอีสานอย่างเดียวนะครับ ภาคเหนือก็ไปได้ส่วนน้ำท่วมนั้น ท่วมแน่นอนครับ ทุกภาคทุกพื้นที่แล้วแต่จะหนักหรือเบา ส่วนมากเมืองพญานาคทั้งหลายแห่ง จะรอดมากกว่าที่อื่นๆ แต่ก็ไม่เสมอไป หากละแวกของเมืองนั้นมีแต่คนไม่มีศีลธรรมก็ตายอยู่ดี (ปู่บอกแล้วเตือนแล้วจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่บุญของเขา แต่ผู้ที่ปฎิบัติธรรมส่วนมากจะรอดแม่บอกอย่างนี้)
-----------------------------------------------------------
พ.ศ.๒๕๕๕ .. ผืนน้ำกลืนกินผืนดิน
-----------------------------------------------------------
หลวงปู่สรวง (เทวดาเล่นดิน) พูดถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้ พอดีผมเพิ่งได้ซื้อหนังสือรวมเล่ม ประวัติของหลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล มาเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว บอกตามตรงเมื่อก่อนผมไม่เคยรู้จัก "หลวงปู่สรวง" แต่พอดีวันนี้ไปเดินซื้อหนังสือเล่น เจอหนังสือเล่มนี้น่าสนใจดีเลยซื้อมา

และที่วันนี้มาตั้งกระทู้นี้ก็เพราะว่า ผมก็อ่านหนังสือเล่มนี้ไปตามปกติ แต่ยังอ่านไม่จบ วันนี้อ่านไปเจอตอนหนึ่งที่คิดว่าตรงกับสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันมากๆ เป็นที่น่าแปลกใจ จึงนำข้อความจากหนังสือมาให้เพื่อนสมาชิกได้อ่านกันครับ เรื่องเล่าเกี่ยวกับภัยพิบัตินี้ เป็นคำบอกเล่าจากพระครูจันทธรรมานุโยค (ลมัย จันทโร) เจ้าอาวาสวัดโคกตาเขียว อ.สังขละ จ.สุรินทร์ ซึ่งท่านได้เมตตาเล่าให้ทางนิตยสารลานโพธิ์ถึงเรื่องต่างๆ แต่ผมขอยกเรื่องที่ท่านเคยได้ยิน "หลวงปู่สรวง" พูดถึงเรื่องภัยพิบัติมาดังนี้

ประมาณปี 2541 หลวงปู่สรวงท่านแวะมาที่วัดของหลวงพ่อลมัยในช่วงเข้าพรรษา และก่อนท่านจะจากไป ท่านพูดเป็นภาษาเขมรกับหลวงพ่อลมัยว่า
"พ.ศ. 2550 ถึง 2555 หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ คนไม่ดีไม่มีศีลธรรมจะล้มตายมาก ส่วนคนดีมีศีลธรรมจะอยู่รอดปลอดภัยได้"

ต่อไปนี้ พ.ศ. 2555 คนเก่งอยู่ในเมืองไทย อยู่ที่ไหนก็ตามแต่ มุมไหนก็แล้วแต่ พ่อ-แม่-ญาติพี่น้อง ไม่ต้องสู้ จะตายหมด น้ำทะเลตีข้างล่างได้ครึ่งโลกแล้ว ไม่ใช่ครึ่งประเทศนะ ครึ่งโลกแล้ว มาบอกให้หยุดนะ ไม่ต้องอยากชนะกัน ให้ออกไป อย่ามีเวร อย่ามีกรรม

ครั้งที่สองบอกอีก เป็นภาษาเขมรว่า ให้ออกก่อน "พวกที่ทำลายศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้ออกไปก่อน นางนาคเป่าน้ำ น้ำทะเลเต็มไปหมด" ให้มันไปแต่พวกนี้ ประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ กลับเข้ามาก็ตีท่วมภูเขา มีทั้งดินมีทั้งโคลน

"พวกทำไม่ดีตายหมด" แกว่า...เทวดาตัดสินเอง เจ้ากรรมนายเวรตัดสินเอง หลวงพ่อไม่กลัว (หลวงปู่สรวง) แล้วก็ไม่หนีด้วย หลวงพ่อนี่ในตัวสังขละ ท่านสร้างมาหลายวัดเหมือนกัน ไปอยู่ที่นั่น เขาเอาระเบิดเข้าไป สามปีมอบตัวกันหมด ที่ถนนดินแดงหลวงพ่อก็ไป"

ถาม - ที่หลวงปู่สรวงพูดหมายความว่ายังไง?

ตอบ - แปลว่า ไม่ต้องกลัว 2555 นางนาคเป่าน้ำ ท่วมทั้งน้ำทั้งดิน ตายวอดวาย คนที่ไม่ดีตายหมด คนดีไม่ตาย "คนดีมันเป็น ไม่ตายจะรอด"
ท่านบอกให้คอยดู แต่มาเป่า นี่มันปี 2547-2550 ไม่ใช่สึนามินะ นางนาคสิเป่า ปี 55 แถวเราน้ำไม่มี เขาว่านางนาคเอาขึ้นข้างบน สามวันสามคืนก็เป็นลูกเห็บ ลูกที่หนึ่ง ลูกที่สอง ถูกใครตายระเนระนาด อย่าให้ถึงขนาดนั้น "คนดีไม่ตาย"

แกว่างั้นนะ ถ้าคนมีศีลห้าไม่ถูก ก็เราไม่ได้กบฏพระเจ้าอยู่หัว คนที่กบฏ คนที่อยากชนะ ผืนแผ่นดินนี้ตายแน่ จะยึดแผ่นดินเป็นหลักแค่นั้นแหละ ปีนี้นาคไม่ขึ้นที่หนองคาย นาคไม่ขึ้น
หลวงปู่สรวง ท่านละสังขารเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2542 (ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง) สรีระสังขารของท่านตั้งอยู่ที่ศาลาออยเตียนสรูล วัดไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ

ประวัติสังเขปหลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล

ออยเตียนสรูล เป็นภาษาเขมร แปลว่า ให้ทานความสุข ซึ่งความหมายของคำนี้คือหลวงปู่สรวงท่านเป็นผู้ให้ ให้แก่ลูกหลาน ลูกศิษย์ ทุกคนที่ผ่านมาในชีวิตท่าน ท่านให้ได้ทุกอย่าง ทรัพย์สินเงินทองที่มีผู้ถวายท่าน ท่านไม่เคยเก็บเป็นสมบัติส่วนตัว ท่านจะให้แก่คนที่ท่านเห็นว่าเขาควรจะได้ โดยที่ไม่มีกำหนดแน่นอนว่าจะเป็นใคร

และที่สำคัญท่านให้ความสุขกับผู้มีความทุกข์ แล้วมาหาท่าน หรือแม้แต่ผู้ที่แค่นึกถึงชื่อท่าน ท่านก็เผื่อแผ่พลังเมตตานั้นมาช่วยให้เขาคนนั้นคลายทุกข์ได้ ถ้าไม่เนื่องด้วยความทุกข์นั้นเกิดจากกฎแห่งกรรมแล้วท่านก็จะช่วยเสมอ นี่แหละคือที่มาของฉายาท่าน (โพสต์โดยคุณ KK วันที่ 2009-05-23 21:19:55)

หลวงปู่เพ็ง พุทธธัมโม เป็นพระลูกชายของหลวงปู่บัว สิริปุณโณ ท่านก็เคยพูดไว้ เมื่อตอนที่อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเศรษฐีนายทุนกำลังหาเสียงเลือกตั้ง ตอนนั้นท่านมาพักที่บ้าน ท่านเรียกเข้ามาดูทีวี แล้วชี้ไปที่นายทุนคนนั้น ท่านบอกว่า

"มึงจำคำกูไว้นะ ไอ้คนนี้ เมื่อไหร่ที่ไอ้คนนี้ขึ้นมาครองเมือง เมื่อนั้นคนจะตายเป็นเบือยังกับใบไม้ร่วง และไม่ใช่เฉพาะเมืองไทย จะเป็นไปทั่วโลก เพราะว่าฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมันมาเจอกันพอดี๊พอดี"

ท่านว่าอย่างนั้น และเมื่อนายทุนรายนั้นขึ้นเป็นนายกฯ ครั้งแรก ก็ทราบว่า ที่อเมริกาก็ จอร์จ ดับเบิลยูบุช อังกฤษก็ โทนี แบลร์ ก็รู้สึกว่าบ้าอำนาจพอๆ กัน

ทีนี้หลวงปู่ท่านก็พูดอีกว่า "ไอ้คนนี้มันบ้าอำนาจ มันจะพยายามหาคนมาแทนพระสังฆราช จ้างก็ไม่มีทาง มันช่างไม่รู้เอาเสียเลย ว่าพระสังฆราชกว่าจะมาเป็นได้นั้นมาจากไหน หวังจะล้มพระเจ้าแผ่นดิน เมินเสียเถอะ กว่าจะมาได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เขาคัดเลือกมาเพื่อคู่กันกับพระสังฆราชแล้ว"
ตอนนั้นผู้เขียนก็กราบเรียนถามท่านถึงเรื่องนี้ ท่านเมตตาเล่าให้ฟังจนจบ ไม่ขอเล่าตรงนี้มันยาว และเกี่ยวข้องกับผู้คนมากมาย

ต่อจากนั้นท่านก็พูดอีกว่า "น้ำจะท่วมเมืองทั่วโลก เพราะเขาเริ่มคัดคน มันเป็นทีของพวกนาคแล้ว ทีใครทีมัน เมื่อก่อนหากมีเรื่องใครตาย ใครเป็น ใครเจ็บ จะมีลมพัดมาเรียกว่า ลมส่า (ภาษาอีสานเรียกว่าส่า ภาษาไทยหมายถึง ลมกระพือข่าว) คือเทวดาเขาส่งข่าว และถ้าดีเทวดาก็จะดูแลรักษา แต่ไม่ดีก็ไม่รักษา

แต่คนปัจจุบันนี้หาดียากมากและไม่ค่อยสนเทวดา มันว่ามันเก่งกว่าเทวดา เทวดาเลยไม่สนคนเหมือนกัน เรื่องของมึงเรื่องของกู ทีนี้คนก็เป็นเหมือน "คน" จริงๆ คนกันอยู่นั่นแหละ คนเท่าไหร่ก็ไม่ทั่ว มีแต่เรื่องราวให้ตีแตกแยกแยะกัน พวกมึงเร่งทำบุญภาวนาเข้า พวกมึงจึงจะรอด"

"ต้องทำยังไงบ้างหลวงปู่"

"มันจะยากอะไรก็ให้รักษาศีล ข้อไหนที่มันขาดก็เอาใหม่ เริ่มต้นเสียแต่เดี๋ยวนี้ ข้อไหนพร่องหย่อนยานไปก็ให้ดึงให้มันตึงเข้าไว้ ในที่สุดมันก็จะเข้าใจและรักษาได้สบายๆ แล้วก็ทำบุญไป อย่าไปขัดบุญใคร บุญเราก็เร่งทำของเราไป ภาวนาไปด้วย"

"ภาวนาอย่างไรบ้างปู่ อยากได้แบบลัดๆ"

"คนสมัยนี้ความดีมันไม่ค่อยอยากทำ แต่พออยากได้ มันก็อยากได้ลัดๆ เลย"

"ก็มันไม่มีเวลาแล้ว ขอได้ไหมปู่"

"มึงพอไหว เริ่มเข้าเดี๋ยวนี้ ชำระสิ่งชั่วจากใจเดี๋ยวนี้เลยนะ รู้ไหมว่าจะมีน้ำท่วมใหญ่ เขาคัดคน เขาบอกว่าโลกจะแตกนั้น มันไม่ใช่แตกดังโป๊ะเหมือนลูกโป่งนะ มันค่อยๆ แตกทีละน้อยๆ คือเลือกคนนั่นแหละ"

"คนที่ทำบุญจะรอดไหมปู่"

"รอด คนมีศีลมีธรรมเท่านั้นจึงจะรอด พยายามกันเข้า มันจะแย่ไปเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่คนนั้นขึ้นครองเมือง การสู้รบตบมือมากมาย และมันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ให้ดูไว้นะ ข้าวจะยากหมากจะแพง...จนถึงปี 2555 วิกฤติสุด"

ตอนนั้นผู้เขียนไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งมีช่วงหนึ่งอาหารการกินขึ้นราคาแพงหมด ท่านพยากรณ์เอาไว้ก่อนท่านมรณภาพ 2 ปี หลังจากนั้นก็เป็นตามที่ท่านพูดทุกอย่าง และตอนนั้นท่านพูดถึงการบาดเจ็บของหลวงพ่อคูณด้วย และก็เป็นจริงว่าหลวงปู่จะถูกรถชน (รถชนกัน หลวงพ่อคูณอยู่ในรถตู้) ก็รถชนกันจริงๆ ซึ่งถือว่าท่านมีญาณอนาคตบอกลูกหลาน

อีกครั้งหนึ่ง เคยไปกราบหลวงปู่สังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม ท่านบอกกับผู้เขียนว่า น้ำจะท่วมใหญ่ให้รีบทำบุญ

"เมื่อน้ำท่วมจะมีกองถั่วอยู่ 4 กอง กองที่ 1 จะไหลไปกับน้ำอย่างรวดเร็ว หายไปเลย กองที่ 2 จะไหลไปกับน้ำ บางเมล็ดก็จะสามารถเกาะเกี่ยวอยู่ได้รอดจากน้ำ แต่ก็ร่อแร่เต็มที กองที่ 3 จะกระทบเพียงเล็กน้อย เพราะสงสารกองที่ 2 เลยต้องอาสา กองที่ 4 ไม่กระทบกระเทือนใดๆ เลย"

"หลวงปู่กำลังหมายถึงว่ากองถั่วนั้นคือคนใช่ไหม"

"ใช่ "

"กองที่ 1 ไปทั้งคนทั้งบ้าน ทั้งรถ ทุกอย่างจมหายไปเลย"

"กองที่ 2 ไปบ้าง ก็รอดบ้างหรือคะ"

"ใช่ กองที่ 3 คือคนที่ปฏิบัติธรรม มีศีลธรรม กระทบเพียงเพื่อส่งสาร ขอความช่วยเหลือเขา ส่งข้าวส่งน้ำเท่านั้น"

"ถ้าอย่างนั้นกองที่ 4 ก็คือพระอริยเจ้าหรือเจ้าคะ"

"ถูกต้อง ไม่กระทบเลย แม้แต่ใจก็ไม่กระทบ"

ท่านว่าอย่างนั้น และเมื่อก่อนจะเกิดสึนามิ ท่านก็ยังบอกด้วยว่าเมื่อมารวมตัวเลย ในการเคยสร้างความชั่วเอาไว้ ก็จะเกิดขึ้นด้วยการรับกรรมร่วมกันอีกต่อไป

ท่านบอกต่อไปว่า ให้ท่องคาถา "วิรูปักเข" เอาไว้มากๆ มันเป็นทีของพวกสัตว์มีเขี้ยวทั้งหลาย งู ตะขาบ แมงป่อง ฯลฯ ท่านว่าอย่างนั้น มีพระอีกหลายรูปที่ท่านพูดเอาไว้ ส่วนใหญ่เป็นพระอริยะทั้งสิ้น จึงเชื่อ เพราะเห็นมากับตาแล้วมากมาย


Link เพิ่มเติม: