วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

63: ปริศนาแห่ง...พระศรีอาริย์มาเป็นจ้าวโลก

ปริศนาแห่ง...พระศรีอาริย์มาเป็นจ้าวโลก
นกยางไม่ร้องขอกเพราะปลาไม่ออก

ในโลกปัจจุบันยุคแห่งโลกาวิวัฒน์ที่ความเจริญทางด้านวัตถุก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นที่น่าฉงน?ว่า ทำไมคนในโลกกลับมีความสุขน้อยลง และดูเหมือนว่าปัญหาในการดำรงชีวิตกลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญหาทางด้านศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ ดูจะเป็นสมการผกผันกับความเจริญทางด้านวัตถุอย่างน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้ หากเราฟังข่าวคราวไม่ว่าในประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง หลายๆสิ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ก็สามารถนำมาใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและรับ มือได้ทัน แต่ก็มีไม่น้อยที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไปไม่ถึง แต่หากจะบอกว่าสภาพการณ์หลายๆอย่างที่อุบัติขึ้นในสมัยปัจจุบัน..
นกยางตัวใดเมื่อไม่มีปลาจะจับกิน ก็ชอบแต่จะจับเหงาหงอยสงบเงียบอยู่ในพุ่มไม้ฉันใด การเกิดของพระศรีอาริย์ในสมัยยุคนี้ ก็ต้องมาหลบลี้หนีเร้นเช่นเดียวกับนกยางดุจเดียวกับถ้อยคำของพระอิศวรผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้เป็นปริศนาในตำนานแต่โบราณไว้ดังนี้...
• นกยางเฮย - ทำไมจึงร้องขอก? นกยางว่า “ปลามันไม่ออก”
• ปลาเฮย - ทำไมจึงไม่ออก? ปลาว่า “หญ้ามันรกมาก”
• หญ้าเฮย - ทำไมจึงรกมาก? หญ้าว่า “วัวมันไม่กิน”
• วัวเฮย - ทำไมจึงไม่กิน? วัวว่า “เจ้าของมันไม่ปล่อยข้า”
• เจ้าของเฮย - ทำไมจึงไม่ปล่อยวัว? เจ้าของว่า “ข้าเจ็บท้องมาก”
• ท้องเฮย - ทำไมจึงเจ็บมาก? ท้องว่า “ข้ากินข้าวไม่สุก”
• ข้าวเฮย - ทำไมจึงไม่สุก? ข้าวว่า “ไฟมันไม่ลุก”
• ไฟเฮย - ทำไมไม่ลุก? ไฟว่า “ฟืนมันเปียก”
• ฟืนเฮย - ทำไมจึงเปียก? ฟืนว่า “ฝนมันตกมาก”
• ฝนเฮย - ทำไมจึงตกมาก? ฝนว่า “กบเขียดมันร้องนัก”
• กบเขียดเฮย - ทำไมจึงร้องนัก? กบเขียดว่า “งูมันไล่กินพวกข้า”
• งูเฮย - ทำไมจึงไล่กินกบเขียด? งูว่า “กบเขียดมันเป็นอาหารของข้า”



คำปริศนานี้มีความหมายว่า..
-นกยางไม่ร้องขอกนั้น ได้แก่พระศรีอาริย์ไม่ปรากฏเป็นพระบรมจักรธรรมิกราชให้โลกเห็นทันใจ
-ปลาไม่ออกนั้น ได้แก่มวลมนุษย์ทั้งหลายที่ไม่ปรารถนาพบองค์พระศรีอาริย์ หรือผู้มีบุญอันประเสริฐ ที่จะมาเป็นที่พึ่งอันวิเศษ
-หญ้ารกมากนั้น ได้แก่มวลมนุษย์ทั้งหลายหนาแน่นไปด้วยบาป กระทำความชั่วทั้งกายและวาจาใจ ด้วยอำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ เข้าครอบงำสันดาน คือ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดลูกเมียท่าน กลาวเท็จ และฉ้อโกง ทั้งมึนเมาไปด้วยสุราเมรัย
-วัวไม่กินหญ้านั้น ได้แก่มวลมนุษย์ทั้งหลายไม่ละความชั่ว ประพฤติความดี ไม่มีศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ไม่มีหิริโอตตัปปะไม่เชื่อฟังคำสอนของพระเจ้า เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม และชั่วช้าเลวทราม ๑๐๘ ประการ
-เจ้าของวัวไม่ปล่อยวัวนั้น ได้แก่ประมุขและรัฐบุรุษทั่วโลกไม่อบรมชีวิตจิตใจของพลเมืองให้เป็นพลเมืองที่ดีตามหลักแห่งศีลธรรม ทั้งไม่ปลดปล่อยให้พลเมืองได้รับอิสรภาพและเสรีภาพแต่ก็ได้ใช้บ่วงแห่งกฎหมายมัดคอพลเมืองให้กระชับแน่นเข้ากับหลักแห่งลัทธิคลั่งชาติ
-เจ้าของวัวเจ็บท้องนั้น ได้แก่รัฐบาลทั่วโลกเต็มไปด้วยโลภโมโทสัน เต็มไปด้วยความกระทายในอันที่จะกอบโกยเอาทรัพย์สินเงินทองของประชาชนพลโลกแม้ว่าจะได้มากเท่ามากเพียงไรก็ยังไม่พอกับความกระหาย ซ้ำยังดิ้นร้นกระวนกระวายอยู่อีก
-กินข้าวไม่สุกนั้น ได้แก่รัฐบาลทั่วโลกพยายามบีบคั้นพลเมืองในทุกแง่ทุกด้าน ทั้งในด้านภาษีอากร ด้านกรรมกร ด้านปรับสินไหม และในด้านเศรษฐกิจอื่นๆ ทั่วไป ซึ่งแต่ละอย่างล้วนใช้อำนาจบาตรใหญ่ (เพราะได้มาด้วยการบีบคั้นมิใช่อะลุ่มอล่วย) เรียกว่า “กินข้าวไม่สุก”
-ไฟไม่ลุกนั้น ได้แก่รัฐบาลทั่วโลกใช้อำนาจเป็นธรรมไม่ใช่ใช้ธรรมเป็นอำนาจ บ้านเมืองจึงเสื่อมเศร้า และมืดมนอนธการเพราะเต็มไปด้วยโมหะ ไม่มีศีลธรรม ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีความอะลุ่มอล่วยต่อพลเมือง จึงไม่เป็นที่ชอบเนื้อชอบใจแก่ผู้น้อย อนึ่ง ปัญญา แปลว่า “แสงสว่าง” ไฟไม่ลุก จึงหมายความว่ารัฐบาลทั่วโลกหมดปัญญาที่จะปกครองบ้านเมืองโดยสันติวิธีได้เสียแล้ว
-ฟืนเปียกนั้น ได้แก่ผู้ปกครองประเทศชาติศาสนา เต็มไปด้วยกิเลสและลาภยศ ชุ่มโชกไปด้วยความสุขสมบูรณ์ และเปียกปอนไปด้วยสุรานารีพาชีฯลฯ “ฟืนเปียก” จึงหมายความว่าชีวิตของนักการเมืองและนักปกครอง เปียกชุ่มไปด้วยตัณหา ราคะ อาสวะกิเลส
-ฝนตกมากนั้น ได้แก่นักการเมืองและนักปกครองแห่งนานาชาติจำเป็นจะต้องใช้มติ และอำนาจส่วนรวมเพื่อบริหารการปกครองและการสัมพันธภาพระหว่างชาติต่อชาติ และระหว่างสังคมภายในชาติของตน ปัญหานี้จึงหนักไปในด้านเศรษฐกิจและการเงิน เพราะเมื่อความสัมพันธ์กับนานาชาติมีมากขึ้นเพียงใดเศรษฐกิจและการเงินก็ต้องมีงบประมาณเพิ่มขึ้นเพียงนั้น ตลอดจนอาวุธยุทธภัณฑ์ ซึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยของชาติ ก็แต่ล้วนเกี่ยวกับการเงินก้อนเบ้อเร่อ ขนาดปิดหีบไม่ลงทุกๆ ปี คราทีนี้ก็จำเป็นจะต้องดีดลูกคิดบนรางแก้วหรือทำนาบหลังราษฎรกันขึ้นอีกปัญหานี้จึงหมายถึงรัฐบาลทั่วโลกใช้เงินเป็นห่าฝน คือว่า “ฝนตกมาก” ดังกล่าวแล้ว
-กบเขียดร้องนั้น ได้แก่ประชาชนพลโลกทั่วไป พากัน เป็นเดือดเป็นแค้นถึงการหักหลังแห่งรัฐบาลของตน เมื่อจะก่อกำเนิดเป็นลัทธิประชาธิปไตย นักปฏิวัติอ้างว่า จะกำจัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่พลเมือง (กบเขียด) เพื่อให้พลเมืองอยู่ดีกินดี จะไม่ให้พลเมืองอดตายเหมือนระบอบเก่า จะเลิกทำนาบนหลังราษฎรจะบำรุงบ้านเมืองอย่างนั้นอย่างนี้ ประหนึ่งสร้างวิมานบนอากาศให้พลเมืองอยู่ ครั้นแล้วตัวและพรรคพวกก็ถลำเข้าไปนอนกอดหมอนเอ้เต้จันเย ในตึกในรามในอาคารใหญ่ๆ อย่างหรูหราปล่อยให้พลเมืองนอนกับดินกินกับหญ้า และท้องหิวอยู่ตามถนนตามเคย ส่วนภาษีอากรก็ต้องหาส่งให้แก่รัฐบาลจนตัวหกก้นขวิดเมื่อบ้านเมืองตกอยู่ในภาวะคับแค้นด้วยข้าวยากหมากแพง ก็ยิ่งทุรนทุรายและทุเรศทุรังหนักยิ่งขึ้น ผลสุดท้ายฝูงราษฎรก็กลับกลายเป็นกบเขียดร้องระเบ็งเซ็งแซ่ไปทั่วทุกหัวระแหง และต่างก็ชะเง้อคอเพื่อหานายใหม่กันทั่วไป
-งูไล่กินกบเขียดนั้น ได้แก่รัฐบาลของโลกทั่วไป มีหน้าที่แต่จะประชุมกันออกกฎหมายบนโต๊ะกลม เพื่อปกครองบ้านเมืองและบีบรัดพลเมืองในด้านต่างๆ ไม่มีเวลาจะทำมาหากินกับใครภาษีอากรจึงเป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐของรัฐบาลทั่วไป เมื่อเก็บรวบรวมมาใส่หีบไว้ในคลังได้มากเท่าใด ก็เป็นรายรับอันวิเศษเท่านั้นแล้วประชุมกันทำงบประมาณรายจ่ายในปีต่อไปบางปีก็งบมากเกินไปค่อนข้างจะเปิดหีบไม่ลง ซึ่งจะให้งบมันน้อยลงไปนะไม่ค่อยมารัฐบาลใดเขาทำกันดอก ตลอดพงศาวดารของโลก ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ยินเสียงกบเขียดมันร้องขรมถมทึกหนักยิ่งในทำนอง “งูเฮย-ทำไมจึงไล่กินกบเขียด?” งูจึงตอบว่า “เพราะกบเขียดมันเป็นอาหารของตูข้า?” ปริศนาปัญหาข้อนี้หมายถึง “ประชาราษฎรเป็นทาสของรัฐบาลทั่วโลก”

มูลเหตุประการดังกล่าวนี้เอง ซึ่งเป็นหมอกร้ายมาปิดบัง มิใช่ผู้มีบุญอันประเสริฐ (นกยางขาว) มาปรากฏเป็นที่พึ่งแก่โลกได้ ถ้าโลกนี้ยังไม่ถึงแก่ล่มจมแล้ว ฝูงมนุษย์ก็มัวเมาอยู่ในกิเลสกามและวัตถุกามจนเงยหน้าอ้าปากไม่ขึ้น และไม่ปรารถนาจะพบผู้วิเศษใดๆ อีก เมื่อไม่ถึงคราวจำเป็นแล้ว ผู้มีบุญที่กล่าวนี้ก็ไม่มีมาให้เราเห็น ย่อมเป็นกฎเกณฑ์ธรรมดาในทุกยุคทุกสมัย...