ปริศนาแห่ง...พระศรีอาริย์มาเป็นจ้าวโลก
นกยางไม่ร้องขอกเพราะปลาไม่ออก
ในโลกปัจจุบันยุคแห่งโลกาวิวัฒน์ที่ความเจริญทางด้านวัตถุก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เป็นที่น่าฉงน?ว่า ทำไมคนในโลกกลับมีความสุขน้อยลง
และดูเหมือนว่าปัญหาในการดำรงชีวิตกลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญหาทางด้านศีลธรรม
จริยธรรมอันเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ
ดูจะเป็นสมการผกผันกับความเจริญทางด้านวัตถุอย่างน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้
หากเราฟังข่าวคราวไม่ว่าในประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆทั่วโลก
ล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ
และภัยอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง
หลายๆสิ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ก็สามารถนำมาใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและรับ มือได้ทัน
แต่ก็มีไม่น้อยที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไปไม่ถึง
แต่หากจะบอกว่าสภาพการณ์หลายๆอย่างที่อุบัติขึ้นในสมัยปัจจุบัน..
นกยางตัวใดเมื่อไม่มีปลาจะจับกิน
ก็ชอบแต่จะจับเหงาหงอยสงบเงียบอยู่ในพุ่มไม้ฉันใด
การเกิดของพระศรีอาริย์ในสมัยยุคนี้
ก็ต้องมาหลบลี้หนีเร้นเช่นเดียวกับนกยางดุจเดียวกับถ้อยคำของพระอิศวรผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้เป็นปริศนาในตำนานแต่โบราณไว้ดังนี้...
• นกยางเฮย - ทำไมจึงร้องขอก? นกยางว่า “ปลามันไม่ออก”
• ปลาเฮย -
ทำไมจึงไม่ออก? ปลาว่า “หญ้ามันรกมาก”
• หญ้าเฮย - ทำไมจึงรกมาก? หญ้าว่า
“วัวมันไม่กิน”
• วัวเฮย - ทำไมจึงไม่กิน? วัวว่า “เจ้าของมันไม่ปล่อยข้า”
•
เจ้าของเฮย - ทำไมจึงไม่ปล่อยวัว? เจ้าของว่า “ข้าเจ็บท้องมาก”
• ท้องเฮย -
ทำไมจึงเจ็บมาก? ท้องว่า “ข้ากินข้าวไม่สุก”
• ข้าวเฮย - ทำไมจึงไม่สุก? ข้าวว่า
“ไฟมันไม่ลุก”
• ไฟเฮย - ทำไมไม่ลุก? ไฟว่า “ฟืนมันเปียก”
• ฟืนเฮย -
ทำไมจึงเปียก? ฟืนว่า “ฝนมันตกมาก”
• ฝนเฮย - ทำไมจึงตกมาก? ฝนว่า
“กบเขียดมันร้องนัก”
• กบเขียดเฮย - ทำไมจึงร้องนัก? กบเขียดว่า
“งูมันไล่กินพวกข้า”
• งูเฮย - ทำไมจึงไล่กินกบเขียด? งูว่า
“กบเขียดมันเป็นอาหารของข้า”
คำปริศนานี้มีความหมายว่า..
-นกยางไม่ร้องขอกนั้น
ได้แก่พระศรีอาริย์ไม่ปรากฏเป็นพระบรมจักรธรรมิกราชให้โลกเห็นทันใจ
-ปลาไม่ออกนั้น ได้แก่มวลมนุษย์ทั้งหลายที่ไม่ปรารถนาพบองค์พระศรีอาริย์
หรือผู้มีบุญอันประเสริฐ ที่จะมาเป็นที่พึ่งอันวิเศษ
-หญ้ารกมากนั้น ได้แก่มวลมนุษย์ทั้งหลายหนาแน่นไปด้วยบาป
กระทำความชั่วทั้งกายและวาจาใจ ด้วยอำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ เข้าครอบงำสันดาน คือ
ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดลูกเมียท่าน กลาวเท็จ และฉ้อโกง
ทั้งมึนเมาไปด้วยสุราเมรัย
-วัวไม่กินหญ้านั้น
ได้แก่มวลมนุษย์ทั้งหลายไม่ละความชั่ว ประพฤติความดี ไม่มีศีล ๕ กรรมบถ ๑๐
ไม่มีหิริโอตตัปปะไม่เชื่อฟังคำสอนของพระเจ้า เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
และชั่วช้าเลวทราม ๑๐๘ ประการ
-เจ้าของวัวไม่ปล่อยวัวนั้น
ได้แก่ประมุขและรัฐบุรุษทั่วโลกไม่อบรมชีวิตจิตใจของพลเมืองให้เป็นพลเมืองที่ดีตามหลักแห่งศีลธรรม
ทั้งไม่ปลดปล่อยให้พลเมืองได้รับอิสรภาพและเสรีภาพแต่ก็ได้ใช้บ่วงแห่งกฎหมายมัดคอพลเมืองให้กระชับแน่นเข้ากับหลักแห่งลัทธิคลั่งชาติ
-เจ้าของวัวเจ็บท้องนั้น ได้แก่รัฐบาลทั่วโลกเต็มไปด้วยโลภโมโทสัน
เต็มไปด้วยความกระทายในอันที่จะกอบโกยเอาทรัพย์สินเงินทองของประชาชนพลโลกแม้ว่าจะได้มากเท่ามากเพียงไรก็ยังไม่พอกับความกระหาย
ซ้ำยังดิ้นร้นกระวนกระวายอยู่อีก
-กินข้าวไม่สุกนั้น
ได้แก่รัฐบาลทั่วโลกพยายามบีบคั้นพลเมืองในทุกแง่ทุกด้าน ทั้งในด้านภาษีอากร
ด้านกรรมกร ด้านปรับสินไหม และในด้านเศรษฐกิจอื่นๆ ทั่วไป
ซึ่งแต่ละอย่างล้วนใช้อำนาจบาตรใหญ่ (เพราะได้มาด้วยการบีบคั้นมิใช่อะลุ่มอล่วย)
เรียกว่า “กินข้าวไม่สุก”
-ไฟไม่ลุกนั้น
ได้แก่รัฐบาลทั่วโลกใช้อำนาจเป็นธรรมไม่ใช่ใช้ธรรมเป็นอำนาจ
บ้านเมืองจึงเสื่อมเศร้า และมืดมนอนธการเพราะเต็มไปด้วยโมหะ ไม่มีศีลธรรม
ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีความอะลุ่มอล่วยต่อพลเมือง
จึงไม่เป็นที่ชอบเนื้อชอบใจแก่ผู้น้อย อนึ่ง ปัญญา แปลว่า “แสงสว่าง” ไฟไม่ลุก
จึงหมายความว่ารัฐบาลทั่วโลกหมดปัญญาที่จะปกครองบ้านเมืองโดยสันติวิธีได้เสียแล้ว
-ฟืนเปียกนั้น ได้แก่ผู้ปกครองประเทศชาติศาสนา เต็มไปด้วยกิเลสและลาภยศ
ชุ่มโชกไปด้วยความสุขสมบูรณ์ และเปียกปอนไปด้วยสุรานารีพาชีฯลฯ “ฟืนเปียก”
จึงหมายความว่าชีวิตของนักการเมืองและนักปกครอง เปียกชุ่มไปด้วยตัณหา ราคะ
อาสวะกิเลส
-ฝนตกมากนั้น
ได้แก่นักการเมืองและนักปกครองแห่งนานาชาติจำเป็นจะต้องใช้มติ
และอำนาจส่วนรวมเพื่อบริหารการปกครองและการสัมพันธภาพระหว่างชาติต่อชาติ
และระหว่างสังคมภายในชาติของตน ปัญหานี้จึงหนักไปในด้านเศรษฐกิจและการเงิน
เพราะเมื่อความสัมพันธ์กับนานาชาติมีมากขึ้นเพียงใดเศรษฐกิจและการเงินก็ต้องมีงบประมาณเพิ่มขึ้นเพียงนั้น
ตลอดจนอาวุธยุทธภัณฑ์ ซึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยของชาติ
ก็แต่ล้วนเกี่ยวกับการเงินก้อนเบ้อเร่อ ขนาดปิดหีบไม่ลงทุกๆ ปี
คราทีนี้ก็จำเป็นจะต้องดีดลูกคิดบนรางแก้วหรือทำนาบหลังราษฎรกันขึ้นอีกปัญหานี้จึงหมายถึงรัฐบาลทั่วโลกใช้เงินเป็นห่าฝน
คือว่า “ฝนตกมาก” ดังกล่าวแล้ว
-กบเขียดร้องนั้น
ได้แก่ประชาชนพลโลกทั่วไป พากัน เป็นเดือดเป็นแค้นถึงการหักหลังแห่งรัฐบาลของตน
เมื่อจะก่อกำเนิดเป็นลัทธิประชาธิปไตย นักปฏิวัติอ้างว่า
จะกำจัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่พลเมือง (กบเขียด) เพื่อให้พลเมืองอยู่ดีกินดี
จะไม่ให้พลเมืองอดตายเหมือนระบอบเก่า
จะเลิกทำนาบนหลังราษฎรจะบำรุงบ้านเมืองอย่างนั้นอย่างนี้
ประหนึ่งสร้างวิมานบนอากาศให้พลเมืองอยู่
ครั้นแล้วตัวและพรรคพวกก็ถลำเข้าไปนอนกอดหมอนเอ้เต้จันเย ในตึกในรามในอาคารใหญ่ๆ
อย่างหรูหราปล่อยให้พลเมืองนอนกับดินกินกับหญ้า และท้องหิวอยู่ตามถนนตามเคย
ส่วนภาษีอากรก็ต้องหาส่งให้แก่รัฐบาลจนตัวหกก้นขวิดเมื่อบ้านเมืองตกอยู่ในภาวะคับแค้นด้วยข้าวยากหมากแพง
ก็ยิ่งทุรนทุรายและทุเรศทุรังหนักยิ่งขึ้น
ผลสุดท้ายฝูงราษฎรก็กลับกลายเป็นกบเขียดร้องระเบ็งเซ็งแซ่ไปทั่วทุกหัวระแหง
และต่างก็ชะเง้อคอเพื่อหานายใหม่กันทั่วไป
-งูไล่กินกบเขียดนั้น ได้แก่รัฐบาลของโลกทั่วไป
มีหน้าที่แต่จะประชุมกันออกกฎหมายบนโต๊ะกลม
เพื่อปกครองบ้านเมืองและบีบรัดพลเมืองในด้านต่างๆ
ไม่มีเวลาจะทำมาหากินกับใครภาษีอากรจึงเป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐของรัฐบาลทั่วไป
เมื่อเก็บรวบรวมมาใส่หีบไว้ในคลังได้มากเท่าใด
ก็เป็นรายรับอันวิเศษเท่านั้นแล้วประชุมกันทำงบประมาณรายจ่ายในปีต่อไปบางปีก็งบมากเกินไปค่อนข้างจะเปิดหีบไม่ลง
ซึ่งจะให้งบมันน้อยลงไปนะไม่ค่อยมารัฐบาลใดเขาทำกันดอก ตลอดพงศาวดารของโลก
ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ยินเสียงกบเขียดมันร้องขรมถมทึกหนักยิ่งในทำนอง
“งูเฮย-ทำไมจึงไล่กินกบเขียด?” งูจึงตอบว่า “เพราะกบเขียดมันเป็นอาหารของตูข้า?”
ปริศนาปัญหาข้อนี้หมายถึง “ประชาราษฎรเป็นทาสของรัฐบาลทั่วโลก”
มูลเหตุประการดังกล่าวนี้เอง
ซึ่งเป็นหมอกร้ายมาปิดบัง มิใช่ผู้มีบุญอันประเสริฐ (นกยางขาว)
มาปรากฏเป็นที่พึ่งแก่โลกได้ ถ้าโลกนี้ยังไม่ถึงแก่ล่มจมแล้ว
ฝูงมนุษย์ก็มัวเมาอยู่ในกิเลสกามและวัตถุกามจนเงยหน้าอ้าปากไม่ขึ้น
และไม่ปรารถนาจะพบผู้วิเศษใดๆ อีก เมื่อไม่ถึงคราวจำเป็นแล้ว
ผู้มีบุญที่กล่าวนี้ก็ไม่มีมาให้เราเห็น
ย่อมเป็นกฎเกณฑ์ธรรมดาในทุกยุคทุกสมัย...