วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

56: บอกบุญสร้างพระพุทธรูปไม้กฤษณาหอม

 

 


เรียน เพื่อน นรธ.และผู้สนใจสร้างบุญทุกท่าน
เรื่อง ขอรับบริจาคเงินสร้างพระพุทธรูปปางประทานพร เพื่อน้อมถวายพ่อแม่ครูอาจารย์วาระปฏิบัติธรรมข้ามปี 2554-2555
รายละเอียด:
- พระพุทธรูปปางประทานพร
- ขนาดหน้าตัก 11 นิ้ว สูง+ฐาน 20 นิ้ว
- แกะสลักด้วยไม้กฤษณาหอม
- ราคาประมาณ 20,000 บาท

สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์เมื่อวาน ขณะที่ผมกะครูชาติกำลังเดินหาพระพุทธรูป หรือพระแกะสลักจากแก้วปางประทานพร ซึ่งเป็นปางประจำองค์พ่อแม่ครูอาจารย์
พ่อแม่ครูอาจารย์ได้ให้คุณแม่ชมโทรหา เพื่อให้หาพระปางประทานพรที่ใช้ไม้แกะสลักไว้ประจำวัดด้วยแล้วค่อยมาเก็บเงินที่วัด
ผมกะครูชาติเลยหาได้ 1 องค์ หน้าตักประมาณ 9 นิ้ว แกะด้วยไม้สัก สวยงามดี ราคาไม่แพง จึงได้ตัดสินใจออกเงินคนละครึ่งเพื่อถวายวัด

ซึ่งก่อนที่จะมาเห็นพระองค์ที่ซื้อไปแล้วนั้น ผมได้ไปยืนพิจารณาพระพุทธรูปปางประทานพร ขนาดหน้าตัก 11 นิ้ว สูง+ฐาน 20 นิ้ว
โดยแกะสลักด้วยไม้หอม ฝีมือชาวพม่า ราคาปกติอยู่ที่ 28,000 บาท ขอลดได้ 20,000 บาท เงินผมเหลือไม่มากจึงไม่กล้าอัญเชิญมา

เมื่อคืนก็นึกถึงความงดงามและคุณค่าขององค์พระติดตาผมตลอด ปรารถนาจักได้ไปถวายพ่อแม่ครูอาจารย์วาระขึ้นปีใหม่ 2555 นี้
ก็เลยอยากขอให้เพื่อน นรธ.และญาติธรรมที่ปรารถนาร่วมสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ เพื่ออัญเชิญไปประดิษฐานประจำวัด ณ ภูดานไหร่วมกัน

ผมจึงขอโอกาสบอกบุญแก่ทุกท่าน ภายใน 3 วันนี้เพื่อระดมทุน เพราะวันพฤหัส-ศุกร์นี้ก็จักออกเดินทางไปภูดานไหแล้ว
1. ผมขอบริจาคเริ่มต้นที่ 3,000 บาท
2. ท่านนนต์ 1,000 บาท
3. ครูชาติและครอบครัว 1,000 บาท
4. คุณศรุต แจ้งความจำนงค์ไว้แล้ว
5. ท่านผู้ไม่ประสงค์ออกนามทำงานที่สนามบิน แจ้งความจำนงค์ไว้แล้ว
6. คุณสันติ 2,000 บาท
7. คุณพิเชฐ 1,000 บาท
8. คุณ xx-x 4,000 บาท
9. คุณนคร 5,000 บาท
10. คุณภูเบศวร์ 1,000 บาท
11. คุณอ๊อด 1,001 บาท
12. คุณเฉลิมพล 1,000 บาท
13. คุณ indhus แจ้งความประสงค์ไว้แล้ว
14. คุณปรัชญา 1,000 บาท
15. ดร.ณัฐชัย 1,000 บาท
16. คุณศรีทอง999 1,000 บาท

17. คุณจักพรรดิ์ พรวิเศษสิริกุล 2,000 บาท
18. คุณเสาวนีย์ สืบอ้าย 200 บาท
19. คุณอุษา 200 บาท
20. คุณประเสริฐ 500 บาท
รวม 25,901 บาท (21/12/54)

เลขที่บัญชีธนาคาร SCB Maesot : 5732329673

ขอโมทนาสาธุในกุศลนี้ทุกประการ

นรธ.สมบัติ (IT Man)/Tel. 087 683 2992
19 ธ.ค.'54

ปล: พระปางนี้ไม่ใช่ว่าเขาจะสร้างกันบ่อยๆ เพราะส่วนใหญ่จักเป็นปางสมาธิ/มารวิชัยครับ
-----------------------------------------------
ญาติธรรมทางภูดานไห มีโอกาสทำบุญร่วมสร้างฯได้โดยตรง
ตั้งแต่เช้าวันที่ 24 ธ.ค.'54 (ผมเดินทางไปถึง) ถึงเย็นวันที่ 31 ธ.ค.'54 (ก่อนร่วมกันถวาย) ครับ

สำหรับญาติธรรมที่ไม่มีโอกาสเดินทางไปเอง ผมยังเปิดรับบริจาคผ่าน บ/ช ส่วนตัวจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.'54
หรือสามารถโอนเงินทำบุญผ่าน บ/ช ของทางวัดได้โดยตรงเช่นเดียวกัน (ตาม link)
โดยขอให้ลงท้ายจำนวนเงินทำบุญด้วยเลข 1 เช่น 501 บาท หรือ 1,001 หรือ 10,001 เป็นต้น
สำหรับเงินสร้างศาลา การขุดบ่อน้ำบาดาลและถังบรรจุเป็นที่พักน้ำ ยังคงรับบริจาคตามปกติ
(ขอให้ท่านแจ้งทางหน้าบอร์ด หรือ PM หรือ Mail หรือโทร.
1. สมบัติ 087 683 2992 (it.man@hotmail.co.th)
2. ครูร่วมชาติ: 089 569 4002 (ruamchart@hotmail.com)
3. คุณแม่ชม: 080 176 5282
มายังผู้เกี่ยวข้องคนใดคนหนึ่ง เพื่อที่จักได้รวบรวมรายชื่อถวายอีกที...ขอบคุณครับ)

ปัจจัยที่คาดว่าจักเกินมาแน่ๆนั้น ทราบแล้วว่าจักได้ร่วมถวายอะไร
นั่นคือตู้ไม้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ,พระธาตุ,พระบูชาและพระพุทธปฐวีธาตุ
ซึ่งทราบมาว่าคุณสันติได้ถวายไปหนึ่งตู้แล้ว (ผมขอโมทนาสาธุด้วย)
แต่ไม่สามารถใส่ได้ครบทั้งหมด เนื่องจากทางวัดมีจำนวนมากนั่นเอง

เงินบริจาคนี้จักอำนวยผลทั้งการสร้างพระพุทธรูปที่เป็นปางพิเศษ สร้างด้วยไม้หอมหายาก
แล้วเรายังได้สร้างที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อันเป็นสิ่งบูชาสูงสุดอีกด้วยครับ

สรุปพระบูชาที่จักน้อมถวายวาระปฏิบัติธรรมข้ามปีในค่ำคืนวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555 มีดังนี้
1. พระพุทธรูปสมัยเชียงแสน ขนาดหน้าตัก 7 นิ้ว ถวายโดยผมสมบัติ
2. พระพุทธรูปสมัยรัชกาลที่ 6 ขนาดหน้าตัก 7-8 นิ้ว ประดับด้วยพระบรมฯ ถวายโดยท่าน ดร.นนต์
3. พระพุทธรูปแกะสลักด้วยหยกน้ำผึ้ง ขนาดหน้าตักประมาณ 6 นิ้ว ถวายโดยผมและท่าน ดร.นนต์
4. พระพุทธรูปแกะสลักด้วยไม้สัก ขนาดหน้าตัก 9-10 นิ้ว ถวายโดยผมและครูชาติ
และ 5. ที่ยังมีโอกาสร่วมถวายคือ
พระพุทธรูปแกะสลักด้วยไม้มงคลกฤษณา(ไม้หอม) นำเข้าจากพม่า หน้าตัก 11 นิ้ว,สูง(รวมฐาน) 20 นิ้ว

ขอโมทนาสาธุในกุศลอันอุดมมงคลนี้ร่วมกันทุกท่านเทอญ
21 ธ.ค.'54

55: พระพุทธรูปองค์แรกในพระพุทธศาสนา


พระพุทธรูปองค์แรกในพระพุทธศาสนา
พระพุทธรูปองค์แรกในพุทธศาสนาสร้างขึ้นภายหลังจากที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้แล้ว ๗ ปี ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทรงแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โดยประทับจำพรรษาอยู่บนสวรรค์นานถึง ๓ เดือน พระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพีผู้เคยทรงเฝ้าใกล้ชิดพระพุทธเจ้าทรงรำลึกถึงพระองค์เป็นอย่างยิ่ง จึงทรงอาราธนาพระโมคคัลลาน์ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายผู้ทรงฤทธิ์มาก ให้พานายทุสิทะช่างแกะสลักฝีมือเอกขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อจะได้เห็นพระพุทธเจ้าแล้วจดจำพระพุทธลักษณะไว้

เมื่อกลับมายังโลกมนุษย์ นายทุสิทะก็แกะสลักไม้แก่นจันทน์แดงอันหอมและมีค่ามากให้เป็นพระพุทธปฏิมาที่งามสมบูรณ์ เป็นพระพุทธรูปยืนสูงประมาณ ๖-๗ เมตร แล้วอัญเชิญประดิษฐานไว้ในพระวิหาร โดยมีฉัตรศิลาแขวนห้อยอยู่ ณ เบื้องบนองค์พระพุทธรูป

ในกาลต่อมา ประมาณ พ.ศ. ๑๑๗๒ ผู้ที่ได้เคยพบเห็นพระพุทธรูปองค์แรกนี้ด้วยตาตนเองคือ พระภิกษุเฮี่ยนจัง (พระถังซัมจั๋ง) ซึ่งได้เดินทางไปอินเดีย เมื่อจะกลับจากอินเดียท่านได้จำลองพระพุทธรูปองค์นี้ให้เป็นขนาดเล็ก แล้วอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ ประเทศจีนพร้อมกับพระไตรปิฎก

ส่วนพระพุทธรูปองค์ที่สองที่มีชื่อว่า พระจันทนพิมพ์ นั้น พระเจ้าปเสนทิโกสลแห่งกรุงสาวัตถี เป็นผู้สร้างไว้ก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพาน ๗ ปี สาเหตุแห่งการสร้างเกิดจากเย็นวันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกสลมีพระราชประสงค์จะทรงสดับพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าดังที่ได้ทรงปฏิบัติมาเป็นนิตย์จึงเสด็จไปเฝ้า แต่ไม่ทรงพบ เพราะพระพุทธเจ้าเสด็จไปทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดเวไนยสัตว์นอกเขตพระเชตวัน ยังไม่เสด็จกลับมา พระเจ้าปเสนทิโกสลจึงรู้สึกโทมนัสพระทัยว่า เมื่อใดที่พระพุทธเจ้ามิได้ประทับอยู่ในพระเชตวันวิหารก็ทำให้รู้สึกว่าขาดพระองค์ไป จึงได้แต่ทรงบูชาพระพุทธอาสน์แทนองค์พระพุทธเจ้าในวันนั้น

ในวันต่อมาพระเจ้าปเสนทิโกสลจึงกราบทูลขอพระอนุญาตพระพุทธเจ้าสร้างพระพุทธปฏิมาไว้ เพื่อว่าเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดสัตว์ที่อื่น บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้ศรัทธาจะได้สักการบูชาพระพุทธรูปแทนพระองค์ตลอดไป พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต พระเจ้าปเสนทิโกสลจึงให้นายช่างสร้างพระพุทธรูปด้วยไม้แก่นจันทน์แดงอันหาค่ามิได้ เป็นพระพุทธรูปนั่ง องค์พระพุทธรูปสูง ๒๒ นิ้ว กว้าง ๒๓ นิ้วครึ่ง (วัดจากพระอังสาด้านขวาถึงด้านซ้าย) และโปรดให้สร้างพระมณฑปซึ่งล้วนแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ แล้วให้อัญเชิญพระพุทธรูปอันงามสมบูรณ์ยิ่งประดิษฐานบนบุษบกเรือนแก้วกลางพระมณฑปนั้น

พระพุทธรูป พระจันทนพิมพ์ ที่พระเจ้าปเสนทิโกสลสร้างขึ้นนี้ตามประวัติมีว่า ต่อมาได้ตกทอดมาประดิษฐาน ณ ดินแดนทางเหนือของไทยคือที่จังหวัดตาก ภายหลังมีผู้อัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดปทุมารามในเมืองพะเยา วัดศรีภูมิ วัดสวนดอก และวัดเจ็ดยอด (วัดมหาโพธาราม) ในจังหวัดเชียงใหม่ตามลำดับ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ปรากฏองค์พระพุทธรูปแล้ว
--------------------------------------------------------------------------------
เอกสารอ้างอิง
๑. จดหมายเหตุแห่งพุทธอาณาจักรของพระภิกษุฟาเหียน ซึ่งได้ออกจากเมืองจีนท่องเที่ยวไปเพื่อแสวงหาคัมภีร์พระไตรปิฎกในประเทศอินเดียตลอดถึงสิงหล ตั้งแต่ พ.ศ. ๙๔๒ ถึง ๙๕๗. พระยาสุรินทร์ฤาชัย ( จันทร์ ตุงคสวัสดิ์ ) แปลและเรียบเรียงจากต้นฉบับของศาสตราจารย์ เจมส์ เล็กส์. เอ็ม. เอ. แอลแอล. ดี. พมิพ์ครั้งที่ ๓ มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ๒๕๒๒ หน้า ๕ - ๑๐๒
๒. ประวัติพระถังซัมจั๋ง แปลจากต้นฉบับภาษาจีนเป็นภาษาไทย โดยนายเคงเหลียน สีบุญเรือง พิมพ์เป็นธรรมานุสรณ์ ในงานฌาปนกิจศพนายเอี่ยงยี่ เจริญ-สถาพร (โยมเตี่ยของท่าน กิตติวุฑโฒ ภิกขุ ขณะนั้น) ๒๕ เมษายน ๒๕๑๕ หน้า ๑-๒๗๖
๓. ปัญญาสชาดก. พระนคร : โรงพิมพ์อักษรบริการ, ๒๔๙๙.

การสร้างพระพุทธรูปเพื่อสักการบูชา
อานิสงส์ที่จะได้รับคือ จะได้ไปเกิดในเทวโลก มียศมากมีอานุภาพมากเสมือนดังพระอาทิตย์ที่มีรัศมีอันแรงกล้า จะได้เสวยสุขอันเป็นทิพย์ มีเหล่าเทพบุตรเทพธิดาแวดล้อมบำรุงบำเรออยู่ ครั้นเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จะเกิดเป็นพระราชามหากษัตริย์ จะเกิดอยู่ในตระกูลที่สูงศักดิ์ มีทรัพย์มาก มีบริวารมาก มีรูปกายงดงามสมส่วน อวัยวะครบถ้วนบริบูรณ์ มีผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืน มีจิตน้อมไปในศีล สมาธิและปัญญา แม้นยังไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในปัจจุบันชาติ ก็จะได้ไปบังเกิดในศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรย จะมีปัญญาคมกล้าสามารถตัดกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไป ถ้าตั้งความปรารถนาเพื่อการบรรลุพระสัพพัญญุตญาณเป็นพระพุทธเจ้าในโลก กุศลนี้จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ได้สมดังความปรารถนา

พระเจ้าปเสนทิโกสลเคยทูลถามถึงอานิสงส์ของการสร้างพระพุทธรูป พระพุทธเจ้าได้มีพระพุทธดำรัสตอบว่า ผู้ใดสร้างพระพุทธรูป ไม่ว่าจะด้วยวัตถุชนิดใดจะประสบแต่ความสุขในภายหน้า คิดปรารถนาสิ่งใดก็จะได้สมดังปรารถนา ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า

บุรุษหรือสัตรีผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งประกอบด้วยศรัทธา เมื่อได้สร้างทำพระพุทธปฏิมากรขึ้นไว้ในพระพุทธศาสนา พระพุทธปฏิมากรนั้นบุคคลจะสร้างทำด้วยดินเหนียวหรือศิลาก็ตาม หรือจะทำด้วยโลหะแลทองแดงก็ตาม หรือจะทำด้วยไม้แลสังกระสีดีบุกก็ตาม หรือจะทำด้วยรัตนะแลเงินทองก็ตาม ผู้ที่สร้างทำนั้น จักได้อานิสงส์ผลเปนอันมากพ้นที่จะนับจะประมาณ อนึ่ง ดูกรบพิตรพระราชสมภาร เมื่อพระพุทธปฏิมากรประดิษฐานอยู่ในโลกตราบใด โลกก็เชื่อว่าไม่ว่างเปล่าจากพระพุทธเจ้าตราบนั้น พระพุทธปฏิมากรนี้ได้ชื่อว่ายังพระพุทธศาสนาให้ตั้งมั่นถาวร อีกประการหนึ่ง ผู้ที่ได้สร้างทำพระพุทธปฏิมากรแล้วนั้น จะมีแต่ความสุขเปนเบื้องหน้า แม้จะปรารถนาผลใด ก็จักได้ผลอันนั้นสำเร็จดังมโนรถปรารถนา( จากวัฏฏังคุลีราชชาดก )

การปิดทององค์พระพุทธรูป
อานิสงส์ที่จะได้รับคือ จะเป็นผู้ที่มีจิตใจผ่องใส ไม่เศร้าหมองจนเกินไป จะได้เกิดอยู่ในสุคติภูมิ แม้นว่าเกิดมาเป็นมนุษย์จะมีผิวพรรณที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากมลทินใดๆ เป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้ได้พบเห็น จะมีทรัพย์สมบัติมาก และเป็นที่เคารพยกย่องของคนทั่วไป
--------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ: จากพระสูตรและอรรถกถา (แปล). ขุททกนิกาย อปทาน เล่มที่ ๘, ภาคที่ ๒ . กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์พิมพ์เนื่องในวกาสครบ ๒๐๐ ปีแห่งพระราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์ พุทธศักราช ๒๕๒๕)
__________________

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

54: พระศรีอารย์ประทานพรสุขสมบัติ

 

พระศรีอารย์ประทานพรสุขสมบัติ
กราบ กราบ กราบ

พระบูชาองค์นี้:อธิษฐานแทนองค์พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า
พระผู้ทรงพระมหาเมตตาต่อสามแดนโลกธาตุ


พระแก้วโป่งข่ามหรือพระแก้วไพฑูรย์ที่ผมและท่านสมบัติมี และได้ผ่านพิธีอธิษฐานจิตแล้ว มีพลานุภาพเกินที่จะอธิบายได้ คุณสันติและคุณจ็อกกี้ได้ประจักษ์ด้วยตัวเองมาแล้ว ผู้ใดมีไว้ในครอบครอง นับว่าได้พระพุทธแก้วไพฑูรย์โป่งข่ามอันล้ำค่า ไม่เชื่อลองมาสัมผัสดูนะครับ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
14 ธันวาคม 2554



- รัตนตรัย มาจากคำว่า “รัตน” แปลว่า แก้วหรือสิ่งประเสริฐ
- นิพพาน ท่านก็เปรียบเหมือนเมืองแก้ว
- บันไดแก้ว คือบันไดที่ทรงพระดำเนินโดยพระพุทธเจ้าของเรา

พระเจ้าจักรพรรดิเป็นผู้ครอบครองแก้ว 7 ประการ อันได้แก่
1. จักรแก้ว (จกฺกรตฺตนํ) เมื่อผู้ที่จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ พระองค์ทรงรักษาศีลอุโบสถ ชำระจิตให้สะอาดแล้วทรงทำสมาธิ จักรแก้วก็บังเกิดขึ้น ทำจากโลหะมีค่า ส่องแสงสว่างไสว แล้วพาพระเจ้าจักรพรรดิพร้อมเหล่าเสนาบดีลอยไปยังประเทศต่างๆ ในทวีปทั้ง 4 ประเทศต่างๆ ก็ยอมสวามิภักดิ์ ไม่มีการสู้รบกัน เมื่อจะถวายเครื่องบรรณาการพระเจ้าจักรพรรดิก็ไม่ยอมรับแต่พระราชทานโอวาทศีล 5 ให้
2. ช้างแก้ว (หตฺถีรตฺตนํ) ช้างแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นพญาช้าง มีชื่อว่า อุโบสถ สีขาวเผือก สง่างาม มีฤทธิ์เดชสามารถเหาะได้ คล่องแคล่วว่องไว ฝึกหัดได้เอง สามารถพาพระเจ้าจักรพรรดิไปรอบชมพูทวีป จรดขอบมหาสมุทร ได้ตั้งแต่เช้ารุ่ง และกลับมาทันเวลาเสวยพระกระยาหารเช้า
3. ม้าแก้ว (อสฺสรตฺตนํ) ม้าแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นพญาม้า มีชื่อว่า วลาหกะ เป็นอัศวราชผู้สง่างาม ขนงาม มีหางเป็นพวง ตรงปลายคล้ายดอกบัวตูม มีฤทธิ์เดชเหาะเหินเดินบนอากาศได้ คล่องแคล่วว่องไง ฝึกหัดได้เอง สามารถพาพระเจ้าจักรพรรดิไปรอบชมพูทวีป จรดขอบมหาสมุทร ได้ตั้งแต่เช้ารุ่ง และกลับมาทันเวลาเสวยพระกระยาหารเช้า
4. มณีแก้ว (มณิรตฺตนํ) มณีแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นแก้วมณีเปล่งแสงสุกสกาว ใสแวววาวยิ่งกว่าเพชร เปล่งรังสีแสงสว่างไสวโดยรอบถึง 1 โยชน์ คอยบันดาลความอุดมสมบูรณ์ทุกอย่างให้บังเกิดขึ้น ดึงดูดสมบัติทั้งหลายมาให้ สามารถเลี้ยงคนได้ทั้งชมพูทวีปโดยไม่ต้องทำมาหากิน เมื่อพระมหาจักรพรรดิทรงทดลองแก้วมณีกับกองทัพ โดยติดแก้วมณีไว้บนยอดธงนำทัพ แก้วมณีก็เปล่งแสงสว่างไสว ทำให้กองทัพเดินทางได้สะดวกสบาย เหมือนเดินทัพในเวลากลางวัน
5. นางแก้ว (อิตถรตฺตนํ) นางแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นหญิงที่มีบุญญาธิการ รูปร่างน่าดูชม ผิวพรรณเปล่งปลั่งผ่องใส สวยงามกว่ามนุษย์ทั่วไป พูดจาไพเราะ ไม่โกหก มีกลิ่นดอกบัวหอมฟุ้งออกจากปาก มีกลิ่นจันทน์หอมฟุ้งรอบกาย นางแก้วเป็นผู้คอยปรนนิบัติพระเจ้าจักรพรรดิอย่างไม่ขาดสาย ตื่นก่อนนอนทีหลังพระเจ้าจักรพรรดิ คอยฟังรับสั่งของพระเจ้าจักรพรรดิ ประพฤติชอบต่อพระเจ้าจักรพรรดิเสมอ
6. ขุนคลังแก้ว (คหปติรตฺตนํ) คฤหบดีแก้ว หรือขุนคลังแก้ว สามารถนำทรัพย์สินมาให้แด่พระเจ้าจักรพรรดิได้ ขุมทรัพย์อยู่ที่ไหน ขุนคลังแก้วเห็นหมด
7. ขุนพลแก้ว (ปริณายกรตฺตนํ) ปริณายกแก้ว หรือขุนพลแก้ว คือพระราชโอรสองค์โตของพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นขุนศึกคู่ใจ เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ มีความฉลาดเฉลียว รู้สิ่งใดควรไม่ควร คอยให้คำแนะนำปรึกษาแด่พระเจ้าจักรพรรดิอยู่เสมอ

แก้ว จึงประเสริฐยิ่งในการสร้างสิ่งที่ประเสริฐยิ่ง

พระพุทธปฐวีธาตุที่พ่อแม่ครูอาจารย์มอบให้เหล่า นรธ. ก็เป็นแก้วที่ประเสริฐเช่นกัน; กันบางส่วนไว้...รอบรรจุพระเจดีย์ฯด้วยกันนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

53: กลับจากธรรมะสัญจร



เมื่อ: 21-11-2011, 03:59 PM
สบายดีนะครับเพื่อนธรรมทุกๆท่าน
หนาวกันหรือยังครับ?...แม่สอดหนาวแล้วเด้อ...

ห่างหายจากบอร์ดไปหลายวันตั้งแต่ 11-20 พ.ย.'54 ตามที่ทราบกันดีว่าต้องเตรียมการต้อนรับคณะพ่อแม่ครูอาจารย์กับญาติธรรม แล้วต่อเนื่องด้วยการจาริกไปยังสถานที่สำคัญๆต่างๆในแถบภาคเหนือ เช่น
- ถ้ำแก้วโกมล อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน ถ้ำผนึกสีขาวดุจน้ำแข็งหนึ่งในสามของโลก (ได้ร่วมสวดมนต์,นั่งสมาธิแผ่เมตตาในก้นถ้ำ เสียดายที่ จนท.ไม่อนุญาตให้บันทึกภาพ)
- พระพุทธบาทสี่รอย ณ.ยอดเขาสูงใน อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ครูอาจารย์ท่านรับรองไว้ว่าเป็นรอยประทับพระบาทของพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 1-2-3-4 ในภัทรกัป ประทับซ้อนๆกันอยู่ และพระศรีอริยะเมตตรัยก็จะทรงประทับให้เป็นรอยเดียวในยุคของพระองค์ในกาลข้างหน้า (ได้ร่วมนั่งสมาธิบูชาพระคุณ ขอขมาฯ และได้เกิดความปีติจนหักห้ามน้ำตาไม่ได้ ณ ที่แห่งนี้ร่วมกัน)
- เรื่องราวต่างๆจักทยอยลงเรื่อยๆ

บ่ายวันนี้ผมขอเริ่มต้นทักทายโดยการนำเสนอรายละเอียดของเพชรตาเสือ หรือคดไม้สัก เป็นแร่กลุ่มเดียวกันกับควอตซ์(คล้ายพระพุทธปฐวีธาตุแต่ต่างสถานที่กำเนิด) เพียงแต่เป็นคนละสีกัน พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเมตตาแนะนำว่า ดีนัก! ดีอย่างไร โปรดสอบถามครูชาติ ท่านนนต์หรือคุณเก๋นะครับ 555 เห็นพยายามตามหากันหลายพันโค้ง(ผมก็ด้วย) สุดท้ายผมว่าที่แม่สอดคุณภาพดีสุดครับ (ดูภาพประคำท่านศรุตประกอบ)



.............................................................................................................................

.............................................................................................................................
ายละเอียด: ไทเกอร์อาย (Tiger’s Eye) หรือ พลอยตาเสือ หรือ คดไม้สัก
เป็นพลอยโปร่งแสงถึงทึบแสงมีสีเหลืองอมน้ำตาลและน้ำตาล มีปรากฏการณ์ตาแมวเกิดเนื่องจากควิรตซ์เข้าไปแทนที่ในลักษณะซูโดมอร์ฟในแร่โครซิโดไลต์ ซึ่งเป็นแร่แอสเบสตอส มีลักษณะเป็นเส้นใยไหม (Silky form) ทำให้แร่ควอรตซ์ที่เข้าไปแทนที่ได้ลักษณะของเส้นใยไหมด้วยซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ตาแมวเป็นคลื่น

ไทเกอร์อาย (Tiger’s Eye) หรือ พลอยตาเสือ หรือ คดไม้สัก
จัดอยู่ในกลุ่มของ ควอรตซ์ (Quartz) เป็นแร่ที่มีความหลากหลายในแง่ของการเกิดและชนิดมากที่สุด พบทั้งในหินอัคนี หินตะกอน และหินแปร การที่มีความแข็งเท่ากับ 7 ไม่มีแนวแตกเรียบ และมีเสถียรภาพทางเคมี ไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีทั่วไป จึงเป็นแร่ที่ทนทานต่อการผุกร่อน และทนต่อการทำลายทางเคมีมาก ทำให้ควอรตซ์ยังคงสภาพอยู่ได้ในรูปของกรวดทรายตามตะกอนทางน้ำและชายทะเล
ควอรตซ์ ที่เป็นอัญมณี แบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีผลึกหยาบ คือ โคซลิคริสตัลไลน์ (Coarsely Crystalline) และกลุ่มที่มีผลึกละเอียด คือ คริปโตคริสตัลไลน์ (Crypto crystalline) ทั้ง 2 กลุ่มมีส่วนประกอบทางเคมีและโครงสร้างเหมือนกัน ต่างกันที่การเกิด ขนาดผลึก มลทินที่ทำให้เกิดสี และรูปแบบของสี (pattern) เท่านั้น

ไทเกอร์อาย (Tiger’s Eye) หรือ พลอยตาเสือ หรือ คดไม้สัก
จัดอยู่ใน กลุ่มที่มีผลึกหยาบ คือ โคซลิคริสตัลไลน์ (Coarsely Crystalline)
มีความแข็ง (Hardness) = 6.5-7 โมฮส์ (Mohs)
ส่วนประกอบทางเคมี (Chemical Formula) = SiO2 , Silicon dioxide
ดัชนีหักเหของแสง (Refractive Index) = 1.54-1.55
ความถ่วงจำเพาะ (Specific gravity) = 2.65
.............................................................................................................................
เสริมมงคลด้าน
ปกป้องคุ้มครอง ขจัดปัดเป่าวิญญาณร้าย เพิ่มพลังความคิดและพลังของการจินตนาการ กระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจไทเกอร์’ อาย เป็นหินที่รู้จักกันดีในชื่อพลอยตาเสือ หรือ คดไม้สัก บางแห่งเรียกหินชนิดนี้ว่า แคทีส อาย เป็นหินแร่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เป็นหินที่มีความหนาแน่นและเปล่งแสงแวววาว เหลือบริ้วสีน้ำตาลของหินชนิดนี้ ส่งผลในเรื่องของการจินตนาการถึงพระเจ้า และแสงสว่างทางปัญญา
ตำนานที่เล่าขาน
คนโบราณเชื่อกันว่าคุณสมบัติพลอยตาเสือก็เหมือนกับตาแมวหรือตาเสือที่มีความสามารถมองเห็นได้ในความมืด หินชนิดนี้จะช่วยให้เรามองเห็นได้ในความมืดเช่นเดียวกันและยังช่วยขับไล่ขจัดปัดเป่าวิญญาณร้าย สิ่งไม่ดีต่าง ๆ และคุณไสยไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวเราอีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยให้คนเรามีตาทิพย์ คือ มีดวงตาที่สามารถอยู่ภายในที่จะให้เรามองเห็นความเป็นมาเป็นไปของโลกได้อย่างแท้จริง
ด้านความเชื่อ
มีพลังเรื่องการปกป้องคุ้มครองสูง มีคุณสมบัติในด้านการพัฒนาญาณหยั่งรู้ของเราให้เกิดขึ้นในรูปของการมองเห็น คือ ตาทิพย์ หินชนิดนี้จะทำหน้าที่เปิดดวงตาที่สาม ถ้าเราสวมใส่พลอยตาเสือจะชล่วยให้เรามองเห็นพระเจ้าในรูปแบบที่เราคิด หรือในลักษณะที่เราอยากให้เป็น เหมาะกับการใช้นั่งสมาธิ มีพลังในด้านการบำบัดจิตใจสูง เป็นศูนย์รวมแห่งพลังความคิดและพลังของการจินตนาการ จะช่วยกระตุ้นพลังชีวิตและกระตุ้นพลังความคิดให้เกิดแรงบันดาลใจ นอกจากนี้คนโบราณยังเชื่อว่าหินชนิดนี้จะส่งผลดีต่อจิตใต้สำนึก ช่วยให้เราสามารถค้นหาสิ่งดี ๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวเราได้
ด้านการบำบัด
บรรเทาอาการปวดศีรษะอันเนื่องมาจากความเครียด ปวดท้อง หรือมีปัญหาระบบลำไส้ ซึ่งอาจจะเกิดจากความเครียด สวมใส่สร้อยคอที่ทำด้วยหินชนิดนี้แล้วจะสามารถบรรเทาอาการปวดให้คลายลงได้ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย เป็นศูนย์รวมแห่งพลังความคิดและจินตนาการ เหมาะกับคนที่มีจิตใจเลื่อนลอย ไร้แก่นสาร หินชนิดนี้จะรวบรวมพลังเข้ามาสู่ตัวเราได้เหมือนเป็นการโฟกัสจุดให้กับเป้าหมายในชีวิต บางคนอาจทำงานหนักโดยไม่มีเป้าหมายหรือไม่มีแก่นสารที่แท้จริงว่าทำไปเพื่ออะไร หินชนิดนี้ก็จะช่วยให้เราหาจุดสมดุลของชีวิตตัวเองได้
เกี่ยวกับความฝัน
ใช้ในการขจัดปัดเป่าฝันร้าย ขับไล่วิญญาณร้ายไม่ให้มาใกล้และหากฝันเห็นหินชนิดนี้เปลี่ยนแปรสภาพเป็นบุบ ๆ เบี้ยว ๆ หรือตกแตก หินจะเตือนว่ากำลังอยู่ในช่วงของการมีเคราะห์ร้าย ให้ระวังตัว ถ้าฝันว่ามีคนนำหินของคุณไปทำมิดีมิร้าย ก็แปลว่าอาจจะถูกกระทำสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ใส่ตัว ให้ทำบุญสะเดาะเคราะห์ร้าย
คำแนะนำ
วางไว้บนจักรสะดือ หรือจักรกลางลำตัว ช่วยทำให้พลังต่าง ๆ ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น ดึงดูดพลังดี ๆ ของโลกมาสู่ตัวเรา สวมใส่เป็นเครื่องประดับ หรือพกติดตัวไว้ก็มีพลังในการปกป้องคุ้มครองสูง
ข้อควรระวัง
ถ้าหินไม่ส่องแสงแวววาวให้เป็นในความมืดแปลว่าจะไม่ใช่พลอยตาเสือจริง ๆ ก็ได้หากรู้สึกว่าหินที่สวมใส่เกิดร้อนวูบขึ้นมา ให้แปลว่าหินกำลังเตือนให้คุณหยุดนิ่งสงบจิตใจหรือควรหาเวลานั่งสมาธิได้บ้างแล้ว
.............................................................................................................................
ที่มา: 1,2,3

สำหรับที่บ้านสุขสมบัติ (พ่อแม่ครูอาจารย์ตั้งให้) ท่านบอกว่าภาวนาในห้องพระนี้แหละสงบดี

ในค่ำคืนวันที่สอง(12 พ.ย.)ตอนดึกๆหน่อย...ท่านยังเมตตาบอกว่าองค์ที่มีพระวรกายสีขาวใส สวมสร้อยสังวาลย์สีทองท่านทรงเสด็จมา และมีเทพฝ่ายหญิงสวมชุดสีชมพูคอยดูแลที่นี่ให้ด้วย แล้วย้อนถามว่า...รู้จักมั๊ย...ว่าคือใคร?

ผมเดาไปครั้งที่หนึ่งไม่ถูก...เพราะไม่คาดคิดว่าการเดาครั้งสองนั่นจะใช่ เพราะท่านทรงประทับอยู่สูงจนยากจะอาจเอื้อมว่าเป็นท่าน...พ่อแม่ครูอาจารย์เลยอนุญาตให้เข้าไปดูในห้องพระ เพื่อหาสัญลักษณ์แล้วหาคำตอบกันเอง????

จากนั้นพวกเราก็ได้ขอเข้าไปในห้องพระ แล้วสำรวจตรวจตราว่าที่พ่อแม่ครูอาจารย์กล่าวถึงนั้น ตรงตามที่เราคิดว่าใช่สมเด็จ...และพระแม่...จริงหรือไม่...(ผมกับคุณแม่ชมตะโกนออกมาพร้อมๆกันว่าเป็นสมเด็จ....ด้วยความปีติยินดียิ่งนัก)

วันที่ผมเดินทางกลับจากการธรรมะสัญจร ผมเลยลองมานั่งภาวนาด้านหน้าตำแหน่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านนั่งภาวนาซึ่งผมจะวางอาสนะหมายตำแหน่งไว้(ชิดผนังพอดี)ไม่ให้ไปนั่งทับตำแหน่งท่านนั่ง ปรากฎว่า...ผมสัมผัสความรุนแรงหนักหน่วงร้อนวูบวาบไปทั้งศีรษะใบหน้า ผมทนไม่ไหว นั่งไปประมาณ 10 นาทีจึงขออนุญาตเข้านอนเลยครับ

ปล: ใครอยากรู้คำตอบก็ลองค้นๆดูภาพห้องพระที่บ้านผมดูนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา


ทรงมีพระชนมายุครบ 7 รอบ 84 พรรษา
ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพรชัย

ทีญายุโก โหตุ มหาราชา
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
Long Live The King

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
นักรบธรรมแห่งภูดานไห ศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช
บุญวิถีแห่งข้าพเจ้า ,พระเครื่องเรื่องใหญ่ , พระพุทธปฐวีธาตุ , เรียงร้อยถ้อยธรรม


วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

52: ภูดานไห ถ้าจะไป หมื่นไพรีก็ไม่กลัว

เมื่อ 13 พ.ย. 2554
ก้าวที่ยิ่งใหญ่...เริ่มจากก้าวเล็กๆเสมอ...พ.สุรเตโช

ภูเบศวร์ 
“ถ้าจะไป หมื่นไพรีก็ไม่กลัว” เป็นความหาญกล้าของจิตใจที่เด็ดเดี่ยวของผู้มีใจประดุจเพชร ดังเช่นมหาบุรุษที่บังเกิดมีมาในโลก
พระพุทธเจ้า แลพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่ทรงย่นย่อต่ออุปสรรคทั้งปวง แม้เบื้องหน้าจะเต็มไปด้วยขวากหนาม ความยากลำบาก ข้าศึกศัตรูนับพันนับหมื่น ก็ไม่รู้สึกหวั่นไหว หวาดกลัว หรือยำเกรงใดๆ จิตใจมีแต่ความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย เพื่อบรรลุสู่สิ่งที่ตั้งใจไว้อย่างมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
นับแต่ย่างก้าวแรกที่พระองค์ดำเนินไป ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสาร ตลอดทั้งสามโลก พระองค์ทรงมีเมตตาอย่างเสมอเหมือน ทรงนำพระสัทธรรม มาสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ผู้ปฎิบัติเห็นเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย) เห็นความเป็นไตรลักษณ์ในสรรพสิ่ง จนถึงความดับไปแห่งทุกข์(นิโรธ) พระรัตนตรัย จึงบังเกิดขึ้นมาในโลก
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ทรงนำสิ่งที่พระองค์ค้นพบมาเผยแผ่ ยังความสว่างไสวให้เกิดบนโลกที่มืดมนจากความไม่รู้ ประดุจดังแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างมายังโลก ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายทั่วจักรวาล สิ่งที่พระองค์ค้นพบนั้นคือทุกข์ และทรงบอกถึงวิถีทางแห่งความดับทุกข์(มรรค)
ผู้ที่ปฏิบัติตามวิถีทางที่พระองค์ทรงวางไว้ ได้เข้าถึงซึ่งความรู้ ตื่น เบิกบาน (พุทโธ) ได้รู้แจ้งในสัจจธรรม จึงเป็นผู้สว่างแล้วทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นผู้วางเฉย(อุเบกขา)ต่อโลกธรรมทั้งปวง (ใจเป็นกลางต่อสภาวะธรรมทั้งหลายที่ยังมีซ้ายขวา มีความเป็นคู่ แต่เป็นหนึ่งเดียว เป็นธรรมชาติของใจอันบริสุทธิ์ล้วนๆ) เป็นผู้พ้นแล้วซึ่งวัฏฏะสงสาร พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญผู้ที่ปฏิบัติตาม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ด้วยมุทิตาจิตของพระองค์
พระพุทธบาทที่พระองค์ประทับไว้ จึงเป็นดั่งอนุสรณ์แห่งพระบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ที่ปรากฏบนโลกใบนี้ นอกเหนือจากพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์
“อานนท์ ธรรมและวินัยใดที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย โดยการล่วงไปแห่งเรา ธรรมและวินัยนั้น ย่อมเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย”
นโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ
นโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ
นโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ



นับเวลาแรกเริ่มล่วงมาจนถึงเวลานี้ จากที่เรานรธ.ได้รับแนวทางการปฏิบัติจากองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ (พ.สุรเตโช) หลายท่านได้ก้าวกระโดดในการปฏิบัติ ที่รับรู้ได้ด้วยตัวท่านเองหรือผู้อื่นรับรู้จากสภาวะธรรมที่แสดงออก
การก้าวกระโดดไม่ใช่การก้าวไปสู่ความมีความเป็น หรือได้คุณวิเศษใดๆที่สร้างอัตตาตัวตนให้เพิ่มพูนขึ้น แต่เป็นความธรรมดาที่ถูกปรับเปลี่ยน ยกสภาวะจิตสู่ภูมิแห่งการมอง และเห็นด้วยปัญญา สวนกระแสจากการมองออกไปข้างนอกและไหลตามไป สวนกลับมามองตน รู้จักตนให้มากขึ้น หรือนำใจที่สงบนิ่ง รู้สึกปลอดภัยและเป็นสุข ในกะลาที่ไม่รับรู้โลกภายนอก ออกมาเรียนรู้ และเผชิญกับความจริง จนสามารถเข้าใจ ยอมรับความเป็นจริงนั้นๆ และปล่อยวางความยึดถือ ความสำคัญมั่นหมายของใจ ตามกำลังของในแต่ละขณะจิต
ผมเคยได้รับคำถามๆหนึ่งว่า
โลกในช่วงที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัส กับโลกที่ว่างเว้นจากพระพุทธเจ้ามาอุบัตินั้น แนวทางการปฏิบัตินั้นต่างกันอย่างไร
สรุปในด้านของการปฏิบัติทางจิต ไม่รวมถึงสภาวะอื่นๆได้รับคำตอบว่า
โลกที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสสั่งสอน ก็ยังมีผู้ปฏิบัติทางจิตในแนวทางแห่งสมถะ ซึ่งมีผู้ปฏิบัติจำพวกฤษีชีไพร มีฤทธิ์เดช อภิญญา แต่ไม่รู้และเข้าถึงความเป็นจริงในอริยสัจจ์ ที่ดำเนินด้วยปัญญาในแนวทางแห่งวิปัสสนา อันจะนำพาให้จิตหลุดพ้นจากแรงดึงดูดที่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด เหมือนยุคที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติและตรัสสั่งสอน กอปรไปด้วยสมถะและวิปัสสนา ด้วยองค์แห่งศีล สมาธิ ปัญญา
การก้าวกระโดดของพวกเรานรธ.จากการพิเคราะห์ของผม ส่วนหนึ่งได้ก้าวจากสมถะสู่วิปัสสนา และจากวิปัสสนาก็ก้าวสู่แนวทางแห่งปรมัตถธรรม ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดในมุมมองของผม
เมื่อใกล้ถึงสิ้นปีนี้ ประเมินได้ว่านรธ.ล้วนได้รับความก้าวหน้าในทางธรรมถ้วนทั่วกัน จากการปฏิบัติจริง ในสภาวะการณ์จริง ด้วยความเมตตาสั่งสอนตรง จิตสู่จิต จากพ่อแม่ครูอาจารย์(พ.สุรเตโช) หรือได้รับแนวทางธรรมจากท่าน แล้วนำมาถ่ายทอดแบ่งปัน ให้นรธ.ได้น้อมนำไปปฏิบัติ จนบังเกิดผลรับรู้ได้ด้วยตนเอง และบางสิ่งเป็นการเฉพาะตน(ปัจจัตตัง)
ต้องขออนุโมทนากับทุกท่านครับ

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

51: ถวายพระบูชาเชียงแสน




หิ้งพระนี้ ถ่ายที่บ้านพักหลังเก่า ประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา (พื้นที่จำกัดมาก)

โอกาสดีที่พ่อแม่ครูอาจารย์มาโปรดถึงบ้าน ผมจักน้อมถวายพระบูชาสมัยเชียงแสน หน้าตัก 7 นิ้ว
เพื่อประดิษฐานยังหิ้งพระเหนือที่ประดิษฐานพระบรมฯในกุฏิ พ.สุรเตโช คู่กันกับของท่าน ดร.นนต์ครับ

[ติดตามรายละเอียดธรรมะสัญจรครังที่ 2 ต่อใน blog ของท่านนนต์ที่นี่ครับ]

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

50: บ้านศรีสมบัติอรุณ

บรรจงสร้างเพื่อเอื้อต่อการปฏิบัติธรรมโดยแท้...
เมื่อ : 20 มี.ค. 2554
 
 
 
 
 
 
เมื่อ: 25 ก.ค. 2554
 
 
 
 



สำหรับที่บ้านสุขสมบัติ (พ่อแม่ครูอาจารย์ตั้งให้) ท่านบอกว่าภาวนาในห้องพระนี้แหละสงบดี

ในค่ำคืนวันที่สอง(12 พ.ย.)ตอนดึกๆหน่อย...ท่านยังเมตตาบอกว่าองค์ที่มีพระวรกายสีขาวใส สวมสร้อยสังวาลย์สีทองท่านทรงเสด็จมา และมีเทพฝ่ายหญิงสวมชุดสีชมพูคอยดูแลที่นี่ให้ด้วย แล้วย้อนถามว่า...รู้จักมั๊ย...ว่าคือใคร? 

ผมเดาไปครั้งที่หนึ่งไม่ถูก...เพราะไม่คาดคิดว่าการเดาครั้งสองนั่นจะใช่ เพราะท่านทรงประทับอยู่สูงจนยากจะอาจเอื้อมว่าเป็นท่าน...พ่อแม่ครูอาจารย์เลยอนุญาตให้เข้าไปดูในห้องพระ เพื่อหาสัญลักษณ์แล้วหาคำตอบกันเอง????

จากนั้นพวกเราก็ได้ขอเข้าไปในห้องพระ แล้วสำรวจตรวจตราว่าที่พ่อแม่ครูอาจารย์กล่าวถึงนั้น ตรงตามที่เราคิดว่าใช่สมเด็จ...และพระแม่...จริงหรือไม่...(ผมกับคุณแม่ชมตะโกนออกมาพร้อมๆกันว่าเป็นสมเด็จ....ด้วยความปีติยินดียิ่งนัก)

วันที่ผมเดินทางกลับจากการธรรมะสัญจร ผมเลยลองมานั่งภาวนาด้านหน้าตำแหน่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านนั่งภาวนาซึ่งผมจะวางอาสนะหมายตำแหน่งไว้(ชิดผนังพอดี)ไม่ให้ไปนั่งทับตำแหน่งท่านนั่ง ปรากฎว่า...ผมสัมผัสความรุนแรงหนักหน่วงร้อนวูบวาบไปทั้งศีรษะใบหน้า ผมทนไม่ไหว นั่งไปประมาณ 10 นาทีจึงขออนุญาตเข้านอนเลยครับ

ปล: ใครอยากรู้คำตอบก็ลองค้นๆดูภาพห้องพระที่บ้านผมดูนะครับ

49: หัวหน้าโค 3 ประเภท

48: เตือนสติ...จากหลวงพ่อทูล


วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

47: ตู้หนังสือหรือตู้โชว์

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา หลังกลับจากทำบุญทอดกฐิน ได้ไปถอยตู้หนังสือมา 1 หลัง
ไป ไป มา มา ไหง กลายเป็นตู้โชว์ไปได้เนี่ย หุหุ


ปล: พึ่งแปลงร่างเมื่อเช้าเองนี้ (1 พ.ย. '54) ครับ ยังไม่สมบูรณ์ดี!

46: การบูชาผู้ที่ควรบูชาเป็นมงคลสูงสุด

คุณอ๊อด:1 พ.ย.'54, 09:35 AM
กราบ กราบ กราบ กราบ กราบ องค์พระอริยสงฆ์ผู้ประเสริฐ
ผู้มีปัญญา ไม่ควรให้สิ่งที่ล่วงแล้วตามมา ไม่ควรหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
ผู้มีปัญญา ได้เห็นในธรรมซึ่งเป็นปัจจุบัน ควรเจริญความเห็นนั้นไว้เนืองๆ ควรรีบทำเสีย
ผู้มีปัญญา ซึ่งมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มีความเพียรแยกกิเลสให้หมดไป จะไม่เกียจคร้าน ขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน

.............................................................
IT Man: 
แหมๆคุณอ๊อดเริ่มต้นเช้าวันอังคาร...วันนี้ได้ดี
ผมกำลังจะลงภาพเกสาขนาดความยาวครึ่งนิ้ว
เสด็จมาติดที่ขวดแก้วขนาดจิ๋วที่บรรจุอังคาร (ขี้เถ้า) หลวงตามหาบัว


ปล: ท่านมาหลายวันแล้ว แต่รอจังหวะดีๆเช่นวันนี้มาลงครับ หุหุ
.............................................................
ขอน้อมจิตบูชาคุณถึงพ่อแม่ครูอาจารย์ทุกๆรูปครับ
กราบ กราบ กราบ
กราบ กราบ