พระพุทธเจ้า - พุทธวงศ์
(คำแปล มาจากบทสวดมนต์ "อุปปาตะสันติ")
ในภัททกัปป์นี้ ๕ พระองค์ (ผ่านไปแล้ว ๓ พระองค์) คือ
๑. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ ทรงมีพระวรกายสูง สี่สิบศอก พระรัศมีจากพระวรกายแผ่ซ่านไปสิบสองโยชน์ ทรงมี พระชนมายุสี่หมื่นปี
๒. พระโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระวรกายสูงสามสิบศอก ทรงมีพระชนมายุสามหมื่นปี
๓. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ทรงมีพระรัศมี ทรงมี พระวรกายสูงยี่สิบศอก ทรงมีพระชนมายุสองหมื่นปี
๔. พระพุทธเจ้าของเรา พระโคตมะ ทรงมีพระวรกายสูงสิบแปดศอก (ในพุทธวงศ์บาลีทรงแสดงไว้ว่า ทรงมีพระวรกายสูง ๑๖ ศอก)
๕. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า เมตเตยยะ ทรงมีพระวรกายสูงแปดสิบแปดศอก ทรงมีฤทธิ์มาก
(ข้อความต่อจากนี้ คัดจากหนังสือรู้สึกจะชื่อ "พระมาลัยโปรดสัตว์นรก" โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ์ ป.ธ. ๙)
*******************************************
ครั้งเมื่อพระมาลัยเทวเถระผู้มีบุญญาธิการมาก มีปรีชาญาณ เฉลียวฉลาดหลักแหลมมาก มียศมาก มีจิตสงบระงับจากราคาทิ กิเลส เป็นสมุทเฉทประหารปรากฏด้วยอิทธิฤทธิศักดาเดชได้เสด็จขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและสนทนาธรรมกับเทพยดาผู้จะทรงมาตรัสรู้เป็นพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ในอนาคตกาลซึ่ง ณ บัดนี้ทรงเสวยสุขสมบัติอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต วันนั้นทรงเสด็จลงมาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อถวายความเคารพ พระบรมธาตุที่ประดิษฐาน ณ พระจุฬามณีเจดีย์ ในวันปัณณรสีอุโบสถ หลังจากได้สนทนาอยู่นานสมควรแก่เวลาก่อนจบ พระมาลัยเทวเถระจึงกราบถามคำถามสุดท้าย ดังนี้
"สาธุ สาธุ อนุโมทามิ ขอถวายพระพร อาตมภาพได้สั่งสนทนา กับมหาบพิตรมาก็เป็นเวลาอันนานพอสมควรแล้ว มหาบพิตร ประสงค์จะฝากหลักธรรมคำสั่งสอนอันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ซึ่งเป็น ประโยชน์เกื้อกูลอันยิ่งใหญ่ไพศาล แก่มหาชนชาวชมพูทวีป ก็ ขอถวายพระพร ณ โอกาสบัดนี้"
"ภันเต ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เมื่อพระคุณเจ้ากลับลงไปสู่มนุสสโลกแล้ว ขอพระคุณเจ้าได้โปรดบอกแก่มหาชนชาว ชมพูทวีป (หมายถึงโลก) ด้วยว่า ถ้ามหาชนชาวชมพู ทวีปอยากจะพบโยม พบศาสนาของโยม ขอให้พากันปฏิบัติอย่างนี้
๑. อย่าพากันทำปัญจเวรทั้ง ๕ ประการ คือ ปาณาติปาตา เวรมณี ให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ที่ มีชีวิตให้ตกล่วงไป ,อทินนาทาน เวรมณี ให้งดเว้นจากการลักทรัพย์ คือไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้โดยอาการแห่งขโมย ,กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี ให้งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ,มุสาวาทาเวรมณี ให้งดเว้นการการพูดปด คือไม่ เจรจาล่อลวงโกหกผู้อื่น ,สุราเมรยมัชชปมาทัฎฐานา เวรมณี ให้งดเว้นจาก การดื่มสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท สรุปใจความแล้ว ก็ได้แก่ให้พากันตั้งอยู่ในศีล ๕ ให้พากัน รักษาศีล ๕ ให้เคร่งครัด เพราะศีล ๕ นี้เป็นมนุษยธรรม เป็นธรรมะที่ทำให้คนเป็นคน ให้ดีกว่าคน ให้เด่นกว่าคน ให้เลิศกว่าคน ให้ประเสริฐกว่าคน นิยมเรียกว่า "อริยธรรม" แปลว่า ธรรมะที่ประเสริฐ ธรรมะของพระอริยเจ้า
๒. ให้พากันสมาทานอุโบสถศีลเป็นประจำทุกวันพระ
๓. ให้งดเว้นเด็ดขาดจากอนันตริยกรรมทั้ง ๕ (ไม่ฆ่าพ่อ ไม่ฆ่าแม่ ไม่ทำร้ายพระอรหันต์ ไม่ทำร้ายพระพุทธเจ้า ไม่ทำให้สงฆ์แตกกัน)
๔. ให้พากันก่อสร้างกองการกุศล คือ ทาน ศีล ภาวนา อย่าให้ขาด อย่าได้ประมาท
๕. ให้ยึดมั่นอยู่ในกตเวทิตาธรรม
ถ้ามหาชนชาวชมพูทวีปพากันประพฤติปฏิบัติได้ดังนี้ ก็จะได้ประสบพบกับโยมเป็นแน่ๆ เมื่อโยมได้ตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมดังความปรารถนา ยถากถิตัง ขอพระคุณเจ้าจงบอกเล่าประพฤติเหตุแก่ มหาชนชาวชมพูทวีปตามถ้อยคำของโยมสั่งจงทุกประการเถิด"
*******************************************
ครั้งเมื่อพระมาลัยเทวเถระผู้มีบุญญาธิการมาก มีปรีชาญาณ เฉลียวฉลาดหลักแหลมมาก มียศมาก มีจิตสงบระงับจากราคาทิ กิเลสเป็นสมุทเฉทประหารปรากฏด้วยอิทธิฤทธิศักดาเดช ได้เสด็จ ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและสนทนาธรรมกับเทพยดาผู้จะทรงมาตรัสรู้เป็นพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ในอนาคตกาลซึ่ง ณ บัดนี้ทรงเสวยสุขสมบัติอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต วันนั้นทรงเสด็จลงมาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อถวายความเคารพ พระบรมธาตุที่ประดิษฐาน ณ พระจุฬามณีเจดีย์ ในวันปัณณรสี อุโบสถ พระมาลัยเทวเถระได้กราบทูลถามดังนี้
"ดูกรมหาบพิตร สำหรับมหาบพิตร ทั้งเทวดาและมนุษย์ย่อม พากันเรียกว่า พระโพธิสัตว์ทั้งนั้น อาตมภาพสงสัยว่า พระโพธิสัตว์นั้น มีอยู่กี่จำพวกมหาบพิตร"
"มีอยู่ ๓ จำพวกเท่านั้น พระคุณเจ้าผู้เจริญ นั้นคือ
๑. ปัญญาธิกโพธิสัตว์
๒. สัทธาธิกโพธิสัตว์
๓. วิริยาธิกโพธิสัตว์
ปัญญาธิกะ แปลว่า ผู้ยิ่งด้วยปัญญา อธิบายว่ามี ปัญญายิ่งกว่าคุณธรรมอย่างอื่นทั้งสิ้น ส่วนคุณธรรมอย่างอื่น เช่น สัทธา หรือวิริยะเป็นต้นก็มีอยู่พร้อมแต่น้อยกว่า หรืออ่อน กว่าปัญญา
สัทธาธิกะ แปลว่า ยิ่งด้วยศรัทธา คือมีศรัทธาแก่ กล้าแข็งกว่าคุณธรรมอย่างอื่นๆ เช่น ปัญญา หรือ วิริยะ ก็มี อยู่พร้อมมูล แต่อ่อนกว่าหรือน้อยกว่าศรัทธา
วิริยาธิกะ แปลว่า ผู้ยิ่งด้วยวิริยะ คือ ยิ่งด้วยความ เพียร ความกล้าหาญ พระโพธิสัตว์ประเภทนี้มีวิริยะมากกว่า หรือ เข้มแข็งกว่าคุณธรรมหรือคุณสมบัติอย่างอื่นทั้งหมด ส่วนคุณสมบัติอย่างอื่นๆ เช่น ปัญญาและสัทธาก็มีอยู่แต่ น้อยกว่า หรืออ่อนกว่าฯ หมายความต่างกันอย่างนี้แหละ พระคุณเจ้าผู้เจริญฯ"
"พระโพธิสัตว์ ๓ จำพวกนี้ จะได้ตรัสรู้หมดทุกจำพวกไหม มหาบพิตร"
"ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ไม่ได้ ต้องย่น ๓ ลงเป็น ๒ ก่อนคือ
เป็นนิยตะ แปลว่า แน่ ๑ เป็น อนิยตะ แปลว่า ไม่แน่ ๑
พระโพธิสัตว์ทั้ง ๓ ประเภทนั้น ถ้าได้รับพยากรณ์แล้วเรียกว่า นิยตโพธิสัตว์ แปลว่า แน่ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ถ้า ไม่ได้รับพยากรณ์คือคำยืนยันหรือรับรองจากพระพุทธเจ้าว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าเรียกว่า อนิยตโพธิสัตว์ เพราะยังไม่แน่ ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ อาจกลับกลายเป็นพระปัจเจก หรือเป็นพระสาวกไปก็ได้ ขอพระคุณเจ้าจงเข้าพระทัยโดยนัย ดังโยมได้วิสัชนาถวายมานี้"
"ต่อเมื่อไรเล่าจึงจะได้พยากรณ์ มหาบพิตร"
"ต่อเมื่อพร้อมด้วยธรรมสโมธาน ๘ ประการ จึงจะได้รับ พยากรณ์ พระคุณเจ้า ธรรมสโมธาน แปลว่า ธรรมที่ ประชุมกัน หรือ ธรรมที่รวมกัน คือประชุมกัน ครบองค์ หรือ รวมกันครบองค์ ถ้าถือตามคำแปลหรือคำ อธิบายนี้ต้องเห็นว่าเป็นกลางๆ ไม่จำกัดธรรมชนิดไร และไม่ จำกัดองค์เท่าไร โดยเหตุนี้ท่านจึงจำกัดลงไปเพื่อตัดความ เห็นต่างๆ เสีย คือมีหลักธรรมอยู่ว่า ผู้จะได้รับตัดสินหรือ ชี้ขาดจากผู้อื่นว่า จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องมีอะไร สักอย่างหรือหลายอย่างเป็นเครื่องวินิจฉัย ต้องมีองค์คุณ ๘ เต็มที่ไม่ขาดวิ่นแม้แต่ข้อเดียว
ธรรมสโมธาน ๘ ประการนั้น คือ
๑. มนุสสัตตัง
ต้องเป็นมนุษย์ เป็นอย่างอื่นไม่นับเข้าในข้อนี้
๒. สิงคสัมปัตติ
ต้องสมบูรณ์ด้วยเพศ คือเป็นบุรุษ
พร้อมทุกส่วน จะเป็นเพศหญิง หรือบุรุษที่ไม่สมประกอบ เช่น เป็นกะเทย หรือเป็นคน ๒ เพศ ไม่นับเข้าในข้อนี้
๓. เหตุ
ต้องมีอุปนิสัยสามารถสำเร็จพระอรหันต์ ได้ เช่น สุเมธดาบส (พระพุทธเจ้าของเราปัจจุบัน) เป็นตัวอย่าง คือถ้าต้องการเป็นพระอรหันต์เมื่อใด ก็เป็นได้ เมื่อนั้น
๔. สัตถารทัสสน
ต้องได้พบพระพุทธเจ้าองค์ใด องค์หนึ่ง และได้ทำความดีถวายแด่พระพุทธเจ้าองค์นั้น เช่น สุเมธดาบส ที่ได้ทอดตัวอย่างสะพานถวายแด่พระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง
๕. ปัพพัชชา
ต้องเป็นบรรพชิตประเภทใดๆ ก็ตาม แต่ให้เป็นประเภทถือถูก จะเป็นดาบสหรือปริพพาชิกก็ได้ ไม่ขัดกับข้อนี้
๖. คุณสัมปัตติ
ต้องสมบูรณ์ด้วยคุณ คือ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘
๗. อธิกาโร
ต้องได้ทำความดียิ่ง คือได้ให้ชีวิตและ ลูกเมียเป็นทาน โดยเจตนาหวังโพธิญาณมาแล้ว
๘. ฉันทตา
ต้องมีความพอใจอย่างแรงกล้า ในการเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเต็มที่ คือ ไม่ต้องการสิ่งอื่น และถึงจะต้องทนเหนื่อยยากลำบากเท่าไร ในการที่จะต้องสร้างบารมี อยู่นานก็ตาม เป็นไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเปลี่ยนความคิดไปทางอื่นเป็นอันขาด
เมื่อองค์คุณเหล่านี้ครบทั้ง ๘ ในชาติใดแล้ว ชาตินั้นแหละจึง ได้รับพยากรณ์ว่า เป็นนิตยโพธิสัตว์คือเป็นผู้แน่ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
รวมองค์ ๘ หรือ ธรรมสโมทาน ๘
มนุสสัตตัง สิงคสัมปัตติ เหตุ สัตถารทัสสนัง ปัพพัชชา คุณสัมปัตติ อธิกาโร ฉันทตา
๑. ต้องเป็นมนุษย์ เป็นอย่างอื่นไม่นับเข้าในข้อนี้
๒. สมบูรณ์ด้วยเพศ คือเป็นบุรุษพร้อมทุกส่วน
๓. ต้องมีอุปนิสัยสำเร็จพระอรหันต์ได้
๔. ต้องได้พบพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง
๕. ต้องเป็นบรรพชิตประเภทที่ถือถูก
๖. ต้องสมบูรณ์ด้วยคุณคืออภิญญา-สมาบัติ
๗. ต้องได้ทำความดียิ่งเช่นได้ให้ชีวิต ลูกเมียเป็นทานเป็นต้น
๘. ต้องมีความพอใจอย่างแรงกล้าอย่างเต็มที่ในการเป็น พระพุทธเจ้า
ธรรมสโมธาน ๘ ประการ มีอรรถาธิบายเป็นอย่างนี้แหละ พระคุณเจ้าผู้เจริญ"
*******************************************
พระศรีอริยเมตไตรย
(ความต่อจากข้างบนที่เล่ากันถึงเรื่องพระมาลัยเถระผู้ทรงเป็น พระอรหันต์ ขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและ สนทนาธรรมกับเทพบุตรผู้ต่อไปจะลงมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า นามว่า พระศรีอริยเมตไตรย ขณะนี้ทรงสถิตย์อยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิต แต่เสด็จ ลงมากราบพระจุฬามณีเจดีย์ ณ สวรรค์ชั้นนี้ ความต่อไปนี้เป็นการ สนทนากันระหว่างพระมาลัยเถรเจ้ากับพระศรีอาริยเมตไตรย)
*******************************************
สาธุ สาธุ ดีแล้วๆ มหาบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐ เมื่อไรพระองค์ จึงจะเสด็จลงไปบังเกิดในมนุสสโลกโปรดเวไนยสัตว์ ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่ามหาบพิตร
ภันเต ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ในเมื่อครบถ้วน ๕๐๐๐ พระวรรษา สิ้นศาสนาแห่งพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลใด ในกาลนั้นหมู่สัตว์ ทั้งหลายก็จะพากันมืดมนนัก ไม่รู้จักทำบุญทำกุศล มีแต่จะพากันทำบาป หยาบช้าทารุณ หาหิริโอตตัปปะมิได้ ดุจหนึ่งว่าไก่ แพะ แกะและสุนัข ทั้งหลาย ลูกกับแม่ก็จะอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน พี่สาวน้องชาย พี่ชาย น้องหญิง ตลอดถึงพี่ป้าน้าอาว์ ลุงกับหลานต่างก็พากันสมัครสังวาสอยู่ ด้วยกัน กิเลส คือโลภะ โทสะ โมหะ ของหมู่สรรพสัตว์ก็จะหนาแน่นขึ้น ทุกเวลา อายุก็จะน้อยถอยลงไปตราบเท่าอายุไขย์ได้ ๑๐ ปี แม้ทารกมี อายุเพียง ๕ ปีก็จะทำการวิวาหะอยู่กินด้วยกัน ในกาลนั้นคนทั้งหลาย เห็นกันก็จะสำคัญว่าเป็นเนื้อเป็นปลา จับสิ่งใดได้เป็นต้นว่า กิ่งไม้ก็กลาย เป็นศาสตราวุธ ครั้นแล้วต่างก็จะไล่ฆ่าฟันทิ่มแทงกันและกัน ให้ถึงแก่ความตายสุดที่จะประมาณได้ ฝ่ายชนทั้งหลาย ผู้มีบุญวาสนา มีปัญญา ครั้นทราบเหตุการณ์ว่า ถึงคืนนั้น วันนั้นจะเกิดฆ่าฟันกันวุ่นวายเป็นหนัก หนา ก็พากันหนีไปซุกซ่อนอยู่ตามซอกห้วยและภูเขาตามเหว ตามถ้ำ แต่ผู้เดียว เมื่อคนทั้งหลายฆ่าฟันกันล้มตามภายใน ๘ วันแล้ว ผู้มีบุญวาสนาก็ออกจากที่ซ่อนเร้นเมื่อเห็นกันพบกัน ต่างก็สวมกอดซึ่งกันและกัน สมัครสมานปรึกษากันว่า มาริสา ดูกรชาวเราทั้งหลายเอ๋ย ความพินาศ เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นเหตุด้วยคนทั้งหลายมัวเมาประมาท ประกอบแต่ กรรมอันหยาบช้า หาเมตตาปราณีต่อกันมิได้
อิโต ปัฏฐายะ จำเดิมแต่นี้ไป ชาวเราทั้งหลายจงหมั่นประกอบการกุศล งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม กล่าวมุสาวาท ดื่ม สุราเมรัย และงดเว้นจากอภิชฌา-พยาบาท-มิจฉาทิฏฐิเถิด เมื่อปรึกษากัน ฉะนี้แล้ว ต่างก็ตั้งหน้าอุตส่าห์บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญเมตตา ภาวนา เมื่อคนเหล่านั้นมีลูก ลูกก็มีอายุยืนไป ๒๐ ปี หลานอายุยืนขึ้นไป ๓๐ ปี เหลนอายุยืนขึ้นไป ๔๐ ปี โดยนัยนี้ เจริญขึ้นไปจนตราบเท่าถึงอสงไขยหนึ่ง กาลครั้งนั้น ความไข้ ความตายดูเหมือนจะไม่ปรากฏแก่ สัตว์ทั้งหลาย ต่อแต่นั้น คนทั้งหลายก็เกิดความประมาท เมื่อเกิดความ ประมาทแล้ว อายุก็พลันน้อยถอยลงมาตั้งอยู่ ๘ หมื่นปี สมัยนั้น ฝนตกทุกกึ่งเดือน ถึง ๑๕ วัน ตกคราวหนึ่ง เมื่อจะตกก็ตกในมัชฌิมยาม ยังพื้นแผ่นดินให้ชุ่มชื่นน่ารื่นรมย์ ประชาชนต่างก็พากันมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำใหญ่ไหลขึ้นทางฟากหนึ่ง ไหลลงทางฟากหนึ่ง มีน้ำอันเต็มเปี่ยม เสมอฝั่งตั้งอยู่เป็นนิตยกาล บรรดาพฤกษาชาติใหญ่น้อยก็ผลิดอกออกผล ตามฤดูกาลเสมอเป็นนิรันดร์ ทั้งบ้านเรือนนิคมนั้นก็มิไกลกัน ตั้งอยู่เพียงระยะไก่บินถึง อันตรายซึ่งจะกวน เช่น โจรผู้ร้ายก็ไม่มี สมบูรณ์พูลสุข เป็นอย่างดีด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค ตลอดทั้งแก้วแหวนเงินทอง สามี และภรรยาต่างก็ประคับประคองทนุถนอมน้ำใจกัน มิได้ทะเลาะวิวาท ทำร้ายกันเลย หญิงชายทั้งหลาย ต่างก็จะพากันเสวยโภคสมบัติอัน เป็นทิพย์ ไม่ต้องทำสวน ทำไร่ ทำนา ค้าขาย หญิงทั้งหลายมิต้องทอหูก ปั่นฝ้าย จะนุ่งห่มผ้าผ่อนสะไปแต่ล้วนเป็นของทิพย์ เหล่าเสนาราชอำมาตย์ ก็ย่อมตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมประเพณี มิได้เบียดเบียนบีฑาประชาราษฎร์ ให้เดือดร้อน มีความเอ็นดูกรุณาเป็นอย่างดี สัตว์ทั้งหลาย เช่น กากับนกเค้า แมวกับหนู งูกับพังพอน เสือกับเนื้อต่างก็มีไมตรีจิตสนิทสนมมิได้ประทุษร้าย กัน คนในยุคนั้นแต่ล้วนตั้งอยู่ในศีลธรรม เลี้ยงชนม์ชีพด้วยอาหารอันเป็นทิพย์ มั่งมีศรีสุขสนุกสำราญ พื้นแผ่นดินก็ราบเรียบดูจหนึ่งหน้ากลองชัยเภรี ปราศจากตอเสี้ยนหนามอันจะทำให้เป็นบาดแผลและคนทั้งหลายก็จะ งดงามสะอาด คนวิกล วิกาล ใบ้บ้า บอด หนวก เสียขา หรือเตี้ยค่อม ชนิดใดชนิดหนึ่งมิได้มี เมื่อชนทั้งหลายแลเห็นกันแล้วก็มีแต่ความเมตตา ปราณีรักใคร่กัน พลันแต่ประสบสุข นิราศทุกข์ นิราศโรค นิราศโศก นิราศภัย
ภันเต ข้าแต่พระมาลัยผู้เจริญ ในยุคนั้นนั่นแล โยมจักไปอุบัติบังเกิดในมนุสสโลก ตรัสเป็นองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วและเทศน์ โปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย คนสมัยนั้น ก็ล้วนแต่พื้นมีสันโดษ ชายจะพอใจอยู่แต่ในภรรยาของตน มิได้ร่วมประเวณีหญิงซึ่งเป็นภรรยาของคนอื่น แม้ฝ่ายหญิงเล่าก็มิได้เอาใจออกห่างจากสามีของตน คนทุกคนล้วนแต่ประสบสุขสำราญ มิต้องประกอบการอาชีพ เช่น ทำนา ทำสวน เมื่อ บริโภคของอันเป็นทิพย์แล้ว ก็มีแต่จะนั่งนอนเล่น ฟังเสียงทิพยดนตรี ตามความปรารถนาของตน กษัตริย์ พราหมณ์ เศรษฐี คฤหบดี ไพร่กุดุมพี นั้นมิได้มี แต่ล้วนมีทรัพย์สินเสมอเหมือนกัน อันจะหาคนเข็ญใจยากไร้ นั้นมิได้มี การวิวาทกันด้วยแย่งชิงที่บ้านเรือน เรือกสวน ไร่นา และทาส ทาษี และสัตว์ ช้าง ม้า โค กระบือ ของกันและกันนั้นย่อมไม่มี ครั้งนั้น พืชข้าวสาลีแม้แต่เมล็ดเดียว ถ้าตกลงบนแผ่นดินแล้ว ก็จะงอกขึ้นแตก ออกไปได้ร้อยส่วนพันส่วนทวีคูณขึ้นไปทีเดียวละพระคุณท่านผู้เจริญ
*******************************************
ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภาร ศาสนาของพระองค์ หาคนเป็นใบ้บ้า เป็นต้นมิได้นั้น เป็นเพราะเหตุผลแห่งอะไร ขอถวายพระพร
ศาสนาของโยมหาคนใบ้บ้ามิได้นั้น เป็นเพราะเหตุที่โยมมิได้เจรจามุสา ล่อลวงคนทั้งหลายฯ หาคนตาบอดมิได้นั้น เป็นเพราะเหตุที่โยมเหลียวแลดูสมณะพราหมณาจารย์ ผู้มีศีลมีสัตย์ทั้งปวงด้วยตาอันเป็นที่รักฯ หาคนเตี้ยค่อมิได้นั้น ด้วยเหตุที่โยมทำกายให้ตรง คือว่าประพฤติสุจริต รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนาฯ หาคนเป็นโรคภัยไข้เจ็บมิได้ เพราะเหตุที่ โยมให้ยาเป็นทาน และช่วยกันบรรเทาทุกข์ภัยของสัตว์ทั้งปวงฯ คนในศาสนาของโยมมีความสุขสบายดีเสมอกันนั้น ด้วยว่าโยมให้ข้าวน้ำ ผ้าผ่อนท่อนสะไบ เรือแพนาวา ของหอม เป็นทานฯ ศาสนาของโยมไม่มี มารมาผจญ ด้วยเหตุที่โยมมิได้ทำสัตว์ให้สดุ้งตกใจกลัวฯ คนในศาสนาของโยมล้วนแต่มีรูปร่างงามๆ นั้น เป็นผลที่โยมให้ของรักเป็นทานแก่สมณพราหมณาจารย์และยาจกวณิพกคนกำพร้าอนาถาฯ คนในศาสนาของโยมนั้น ได้ไปสวรรค์ทั้งสิ้น คือได้ไปหมดทุกคน ด้วยเหตุที่โยมให้ช้าง ม้า ราชรถ ยวดยาน คานหาม เป็นทานฯ ศาสนาของโยมมีพื้นแผ่นดิน เรียบราบเสมอกันนั้น เป็นผลที่โยมแผ่เมตตาจิตไปในสัตว์ทั้งหลาย เสมอหน้ากันฯ คนในศาสนาของโยมที่มั่งคั่งสมบูรณ์มีความสุขร่าเริงนั้น เป็นด้วยเหตุที่โยมยังจิตยาจกให้ชุ่มชื่นด้วยทรัพย์สิ่งของเงินทองตามความ ปรารถนาตามชอบใจ ขอท่านอรหันตมาลัยจงเข้าพระทัยโดยนัยดังที่โยม ได้เล่าถวายมานี้เถิดฯ
*******************************************
ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภารพระองค์ มหาบพิตรทรงบำเพ็ญบารมีมา กี่อสงไขย์และจะลงไปเกิดในตระกูลไหน พระชนกชนนี สาวกสาวิกา ตลอดจนไม้ที่จะได้ไปตรัสรู้ชื่อว่าอย่างไร ขอจงได้กรุณาบอกไป ณ บัดนี้เถิด ขอถวายพระพร
ข้าแต่พระคุณเจ้าอรหันตมาลัย โยมได้บำเพ็ญบารมีมาช้านานถึง ๑๖ อสงไขย์แสนมหากัลป์ สมตึงสบารมี ๓๐ ทัศนั้น โยมก็ได้บำเพ็ญมาเป็นอย่างดี ถ้าโยมให้ทานแล้วโยมจะได้ระวังหน้าระวังหลังนั้นหามิได้ฯ โยมจะลงไปเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล มั่งมีทรัพย์สมบัติพร้อมทุกสิ่งฯ
- พระชนกนามว่า สุพรหมพราหมณ์ เป็นปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิ์ฯ
- พระชนนีนั้นนามว่า นางพรหมวดีพราหมณีฯ
- พระอัครสาวกเบื้องขวานามว่า อโสกเถระฯ
- พระอัครสาวกเบื้องซ้ายนามว่า สุพรหมเทวเถระฯ
- พระสีหเถระ เป็นพุทธอุปฐากฯ
- อัครสาวิกา ชื่อว่า สุมนาภิกษุณี ปทุมาภิกษุณีฯ
- อุบาสกพุทธอุปฐาก ๒ คน คือ สุทัตตคฤหบดีคน ๑ สังฆคฤหบดีคน ๑ฯ
- อุบาสิกาเป็นพุทธอุปฐาก อีก ๒ คน คือ สวดีอุบาสิกาคน ๑ สังฆอุบาสิกาคน ๑ฯ
- อัครมเหสีชื่อ นางจันทมุขีฯ โอรสชื่อ พรหมวดีกุมารฯ
- จะได้ตรัสรู้ที่ ไม้กากะทิง แต่พื้นดิน ถึงค่าคบ ๑๒๐ ศอก แต่คาคบถึงยอด ๑๒๐ มีกิ่งใหญ่ ๔ กิ่ง ทอดออกไป ในทิศทั้ง ๔ ยาวได้ ๑๒๐ ศอก ดอกโตเท่ากงจักรรถ แต่ละดอกมีเกษรได้ ทะนาน ๑ มีกลิ่นหอมขจรไปในทิศานุทิศได้ ๑๐๐ โยชน์ฯ
- ส่วนโยมนั้น มีกายสูง ๘๘ ศอก แต่พระนาภีถึงพระรากขวัญ ๒๒ ศอก แต่พื้นพระบาท ถึงพระชานุ ๒๒ ศอก แต่พื้นพระชานุถึงพื้นพระนาภี ๒๒ ศอก แต่พระ รากขวัญถึคงพระอุณหิส ๒๒ ศอก
- พระชนมายุยืนได้ ๘๐,๐๐๐ ปี (แปดหมื่นปี) ขอพระคุณเจ้าผู้เจริญโปรดทราบตามนี้เถิด
*******************************************
ดูกรมหาบพิตร นิยตโพธิสัตว์ ที่ว่าต้องประกอบด้วย "พุทธภูมิ" นั้น อยาก ทราบว่า คำว่า "พุทธภูมิ" แปลและหมายความว่าอย่างไร มีเท่าไร อะไรบ้าง ขอถวายพระพร
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นักปราชญ์นิยมเรียกกันว่า "พุทธภูมิธรรม" คำว่า "พุทธภูมิธรรม" แปลว่าธรรมอันเป็นชั้นของพระพุทธเจ้า หมายความว่า ธรรมซึ่งจัดเป็นชั้นของผู้จะเป็นพระพุทธเจ้า อธิบายว่า นิยตโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่เที่ยงแท้แน่นอนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น จำเป็นต้องมีภูมิชั้นเชิงดีกว่า คนอื่นๆมาก เพื่อเป็นเครื่องส่อให้เห็นว่า แปลกจากคนอื่นๆอย่างไร และธรรมซึ่งเป็นภูมิ หรือ เป็นชั้นเชิงของผู้จะเป็นพระพุทธเจ้านั้น เรียกว่า พุทธภูมิธรรม มีอยู่ ๔ ประการ คือ
๑. อุสสาโห
ความองอาจกล้าหาญในการทำดี ไม่ยอ่ท้อต่อสิ่งอะไรทั้งหมด เป็นต้นว่า การงานที่ทำ ความเมื่อยล้า หิวกระหาย ใกล้ ไกล
๒. อุมมัคโค
มีปัญญาแก่กล้าเชี่ยวชาญ ความรู้อันแก่กล้า ได้แก่ความรู้ใน เหตุผลของการกระทำ นิยตโพธิสัตว์ต้องมีความรู้ในเหตุผลต้นปลายของ การกระทำต่างๆ ว่าอย่างไหนจะมีเหตุผลดีชั่วอย่างไร แล้วเลือกไม่ทำสิ่งที่ มีผลชั่ว เลือกทำแต่สิ่งที่มีผลดี
๓. วะวัตถานัง
มีอธิษฐานมั่นคง คือมีใจคอหนักแน่นมั่นคง มีความมั่นใจ นิยตโพธิสัตว์ย่อมมีใจคอมั่นคง หนักแน่น ไม่เหลาะแหละเหลวไหล เมื่อทำ สิ่งใดต้องทำให้สำเร็จ เป็นอันไม่ทอดทิ้ง
๔. หิตจริยา
ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ นิยตโพธิสัตว์ย่อมทำแต่สิ่งที่เป็น ประโยชน์แก่ตนและแก่ผู้อื่น
ในคุณธรรม ๔ ข้อนี้ ถ้าลำดับตามวิธีใช้ ต้องลำดับอย่างนี้ คือ
อุมมัคคะ- หิตจริยา-อวัตถานะ-อุสสาหะ
อธิบายว่า ก่อนจะทำสิ่งใดลงไป ต้องใช้อุมมัคคะ คือ ปัญญาพิจารณาดูเสียก่อน แล้วจึงใช้หิตจริยา คือทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ใช้วัตถานะ คือ ความมั่นใจเป็นที่ ๓ ใช้อุตสาหะคือความไม่ย่อท้อเป็นที่ ๔
ส่วนพวกเราที่ไม่ใช่โพธิสัตว์ประเภทนิยตโพธิสัตว์ หรือสักว่าโพธิสัตว์ ก็ควรพยายามทำตนให้ตั้งอยู่ในภูมิธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ เมื่อสามารถ เลื่อนตนไปถึงภูมิธรรมทั้ง ๔ ประการนี้แล้ว จึงจะเรียกว่า "ปณีตบุคคล" คือ บุคคลชั้นดี และได้ชื่อว่า เป็นผู้มีภูมิดี
*******************************************
ดูกร มหาบพิตรพระราชสมภาร คำว่า "อัชฌาสัย" ซึ่งเป็นธรรมประจำ นิยตโพธิสัตว์นั้น แปลและหมายความว่าอย่างไร
แปลว่า "สิ่งที่นอนทับ" หมายความว่า สิ่งที่มีประจำใจ เรียกตามโวหาร ในทางภาษาไทยว่านิสสัยใจคอ หรือน้ำใจ มีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ส่วนที่จะกล่าวต่อไปนี้ ล้วนแต่เป็นฝ่ายดีทั้งนั้น เพราะเป็นคุณสมบัติของนิยตโพธิสัตว์
ตามธรรมดานิยตโพธิสัตว์ ย่อมมีอัชฌาสัย หรือ อัธยาศัย ได้แก่ นิสสัยใจคอ หรือน้ำใจดี น้ำใจมีคุณธรรมสูง อัชฌาสัยของนิยตโพธิสัตว์มีอยู่ ๖ ประการ คือ
๑. อโลภัชฌาสัย
มีอัธยาศัยไม่โลภ คือ มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว เหลียวแลถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย
๒. อโทสัชฌาสัย
มีอัธยาศัยไม่โกรธ คือ เป็นคนไม่ดุร้าย ไม่หยาบคาย มีความยั้งใจ รั้งใจไม่ให้ฉุนเฉียว ไม่ให้หุนหันพลันแล่น ไม่ทะลุดุดัน ในเวลาที่กระทบกับอนิฏฐารมณ์หรือในเวลาที่มีความโกรธเกิดขึ้น ก็รีบระงับเสียโดยอุบายอันดีอันชอบเสมอ ไม่ตกอยู่ในอำนาจของ ความโกรธ คือ มีเมตตา กรุณาประจำใจ
๓. อโมหัชฌาสัย
มีอัธยาศัยไม่หลง คือ ไม่งมงาย ไม่โง่เขลา มีปัญญา มีวิจารณญาณ มีปรัชญาประจำใจ ไม่ยอมเชื่อง่ายๆ ไม่ยอมเชื่ออย่าง งมงาย ต้องเห็นเหตุผล รู้เหตุรู้ผลดีเสียก่อนจึงเชื่อ ครั้นเชื่อแล้วก็ได้ ดำเนินชีวิตไปโดยมีหลักการ วิธีการ ปฏิบัติการและสิทธิการอันถูกต้อง เช่นไม่หลงทางเดินแห่งชีวิต พยายามเว้นทางไปอบายภูมิทั้ง ๔ (นรก เปรต อสุรกายและสัตว์เดรัจฉาน) แล้วเดินทางไปสุคติภูมิ คือทางไปมนุษย์ สวรรค์ พรหมและนิพพาน เป็นวิถีทางแห่งชีวิตอันตรง อันถูกต้องโดยแท้
๔. เนกขัมมัชฌาสัย
มีอัธยาศัยออกบวช ออกจากกิเลสตัณหา เมื่อมีโอกาสก็ปลีกตัวออกบวชบำเพ็ญสมณธรรม ทำตนให้ห่างจากความหมกมุ่นอยู่กับกามคุณ ๕ หรือเมื่อไม่สามารถออกบวชก็เจริญสมถกรรมฐานอยู่กับบ้านเรือนได้
๕. ปวิเวกัชฌาสัย
มีอัธยาศัยชอบเงียบ ชอบสงบ ชอบสงัด คือ ชอบ ความสงบวิเวกได้แก่กายวิเวก สงัดกาย ๑ จิตตวิเวก สงัดจิต ๑ และ อุปธิวิเวก สงัดกิเลส ๑ อธิบายว่า ชอบความสงัดจากหมู่ ไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่ คณะ หรือกับใครๆ ชอบทำใจให้สงัดจากความรัก คือไม่อยาก ให้มีความรักรุมสุมอยู่ในใจ ชอบสงัดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นอัธยาศัย
๖. นิสสรณัชฌาสัย
มีอัธยาศัยสลัดออกจากภพ จากชาติ จากกิเลส ตัณหา จากบาปจากกรรม คือ ชอบแสวงหาหนทางออกไปจากโลก ชอบแสวงหาหนทางออกจากกิเลสตัณหา แสวงหาหนทางออกจาก กองทุกข์นานาประการบรรดามีอยู่ในโลก
*******************************************
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ คำว่า "อัจฉริยธรรม" นั้นแปลว่า ธรรมะที่น่า อัศจรรย์ คำว่า "อัศจรรย์" แปลว่า ควรปรบมือให้ ควรยกนิ้วให้ว่าดี เลิศ ประเสริฐ ยอดเยี่ยม อธิบายว่า นิยตโพธิสัตว์นั้น มีธรรมควรที่เทวดา มนุษย์จะยกนิ้วให้ ปรบมือให้ว่ายอดเยี่ยมที่สุด
อัจฉริยธรรมนั้น มีอยู่ ๗ ประการ คือ
๑. ปาปะปะฏิกุฏจิตโต
มีจิตหดหู่จากบาป คือ จิตของนิยตโพธิสัตว์นั้น ไม่สู้กับความชั่ว ไม่สู้กับบาปอกุศล มีแต่ละอายบาป กลัวบาป ละอายชั่ว กลัวชั่ว เกลียดความบาป เกลียดความชั่ว
๒. ปะสาระณะจิตโต
มีจิตแผ่ออกแต่ความดี คือ เป็นจิตที่เบิกบานต่อความดีอยู่เป็นนิจ คอยรับแต่ความดีอยู่เสมอ มีอาการแผ่ออก ไม่ถอยจากความดี ถ้ายังไม่ถึงจุดมุ่งหมาย เป็นอันไม่หยุดความเพียร ไม่ละเลิก ความเพียรเป็นอันขาด
๓. อธิมุตตะกาละกิริยา
น้อมใจตาย คือ เมื่อได้เกิดในสวรรค์ที่มีอายุยืนนาน ท่านกลัวเสียเวลาสร้างบารมีไปนาน (เพราะในสวรรค์เป็นที่เสวยสุขเป็นส่วนมาก โอกาสที่จะได้บำเพ็ญบุญบารมีต่างๆมีน้อย ไม่เหมือนเกิดเป็นมนุษย์) จึงอธิษฐานขอให้สิ้นชีวิต คำอธิษฐานนั้นว่า "ขออย่าให้ชีวิตของข้าพเจ้ามีอยู่ต่อไปเลย" พออธิษฐานเสร็จก็จุติทันที
ข้อนี้ถ้าไม่ใช่นิยตโพธิสัตว์ทำไม่ได้
๔. วิเสสะชะนัตตัง
ความเป็นคนวิเศษ คือ เป็นคนแปลกไม่เหมือนคนอื่นๆ เมื่อนิยตโพธิสัตว์อยู่ในครรภ์มารดาในชาติที่สุด (คือชาติสุดท้ายที่จะได้ตรัสรู้) จะไม่เหมือนคนทั้งหลายคือ คนธรรมดาเรานั้น เมื่ออยู่ในครรภ์มารดานั่งทับอาหารเก่า ทูนอาหารใหม่ของมารดาไว้ ๑ ผินหน้าเข้า ข้างหลังมารดา ๑ ผินหลังออกไปข้างหน้ามารดา ๑ นั่งยองๆ เอามือทั้งสอง ค้ำคางไว้ ๑ ส่วนนิยตโพธิสัตว์ตรงกันข้ามคือ นั่งอยู่ในที่สะอาด ไม่เปื้อนอะไร ๑ ผินหน้าออกทางหน้ามารดา ๑ นั่งพับพะแนงเชิงเหมือนพระนั่งเทศน์ บนธรรมาสน์ ๑
๕. ติกาลัญญู
รู้กาล ๓ นิยตโพธิสัตว์ในชาติที่สุดนั้น รู้พระองค์ใน ๓ กาล คือ เมื่อจะจุติจากสวรรค์ลงสู่พระครรภ์ ก็รู้ว่าจะจุติลงสู่พระครรภ์ ๑ เวลาที่อยู่ในพระครรภ์ ๑๐ เดือน ก็รู้ว่าอยู่ในพระครรภ์ ๑ เวลาประสูติจากพระ ครรภ์ก็รู้ว่าประสูติจากพระครรภ์ ๑ ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แต่ไม่ได้ออกสั่งสอนเวไนยสัตว์ ไม่สามารถรื้อถอนสัตว์ออกจากสังสารวัฏได้) กับพระอัครสาวกทั้งสอง เป็นทวิกาลัญญู รู้กาล ๒ คือ เวลาจุติลงสู่ครรภ์ ๑ เวลาที่อยู่ในครรภ์ ๑ อสีติมหาสาวกใหญ่ทั้ง ๘๐ เป็นเอกาลัญญู รู้กาลเดียว คือ เวลาจะถือ ปฏิสนธิเท่านั้น
นอกจากบุคคล ๓ ประเภทนี้ เป็น อกาลัญญู คือ ไม่รู้กาลทั้งหมดฯ
๖. ปสูติกาโล
กาลประสูติ เวลาประสูติ หมายความว่า ในชาติที่สุดนั้น นิยตโพธิสัตว์มีการประสูติดังนี้ คือ เวลาจะประสูติ พระมารดายืน ส่วน พระองค์ท่านที่อยู่ในครรภ์ ก็ยืนขึ้นและทรงเหยียดพระหัตถ์ทั้งสองลงไป ตามลำขา มีอาการเหมือนพระเทศน์ลงจากธรรมาสน์ ไม่รู้สึกลำบาก พระองค์และพระมารดาเลย หมื่นโลกธาตุก็หวั่นไหวใหญ่
๗. มะนุสสะชาติโย
เกิดเป็นมนุษย์ หมายความว่า การที่นิยตโพธิสัตว์ผู้มีบุญญาภินิหารเต็มที่สามารถเลือกเกิดได้ตามชอบใจในชาติที่สุด แต่ต้องเกิดเป็นมนุษย์นั้น ก็นับเป็นข้อควรอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ท่านอ้างเหตุ ไว้ ๓ อย่าง คือ
๑. มนุษยโลก
สมควรเป็นที่ตั้งศาสนพรหมจรรย์ คือ การบรรพชาอุปสมบท ซึ่งทรงคำสั่งสอนไว้
๒. เป็นที่อัศจรรย์ในพุทธานุภาพ
๓. เป็นที่มีโอกาสไว้พระสารีริกธาตุในเวลาพระองค์นิพพาน
*******************************************
ส่วนต่อไปนี้นับว่าเป็นส่วนเพิ่มเติมเพราะส่วนข้างบนทั้งหมดเป็นคำสนทนาโดยตรงระหว่างพระศรีอริยเมตไตรยกับพระอรหันต์พระนามพระมาลัยเถระ แต่ส่วนที่จะยกมาตรงนี้เป็นบทสนทนาระหว่างสมเด็จพระอมรินทราธิราช (คิดว่าท่านเป็นผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์) กับพระมาลัยเถระ เกี่ยวกับพระศรีอาริย์ก่อนที่พระมาลัยจะได้มีโอกาสกราบเข้าเฝ้าและทูลถามความ ต่างๆ ดังที่นำมาให้อ่านแล้ว
ดูกรมหาบพิตร สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยนั้น พระองค์ท่านได้ทรงบำเพ็ญ กุศลธรรมเป็นประการใด จึงประกอบไปด้วยรัศมีเครื่องประดับประดา อาภรณ์วิภูสิตงดงามยิ่งกว่าเทพยดาองค์ไหนๆ ทั้งมีเทพบุตรเทพธิดาเป็น บริวารถึงแสนโกฏิปานนี้ มหาบพิตร
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ อันกุศลกรรมของพระศรีอริยเมตไตรยหน่อพระ - พุทธางกูร พระองค์ทรงก่อสร้างกุศลสมภารมา ก็ด้วยความปรารถนาจะปลดเปลื้องซึ่งหมู่สัตว์อันขัดข้องอยู่ด้วยเครื่องจองจำคือกิเลสมาร ทรงตั้งพระทัยจะโปรดปรานมนุสสมบัติแก่หมู่สรรพสัตว์ จึงได้อุตส่าห์บำเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นหลายแสนโกฏิแห่งกัปป์ฯ
หวังจะโปรดประทานพระโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล แก่บุคคลผู้เห็นทุกข์ จึงอุตส่าห์บำเพ็ญปัญญาบารมีฯ หวังจะโปรดประทานพระสกทาคามิมรรค สกทาคามิผล แก่นรชนผู้เห็นประจักษ์ในทาง อนิจจัง จึงทรงบำเพ็ญวิริยบารมี หวังจะโปรดประทานพระอนาคามิมรรค อนาคามิผล แก่นรชนผู้เห็นแจ้งโดยทางอนัตตา จึงอุตส่าห์บำเพ็ญ ขันติบารมีฯ หวังจะโปรดประทานพระอรหัตตมรรค อรหัตตผล แก่บุคคลผู้เห็นแจ้ง ประจักษ์ในพระไตรลักษณะทั้ง ๓ ประการ จึงอุตส่าห์บำเพ็ญสัจจบารมีฯ หวังจะโปรดประทานพระอัฏฐังคิกมรรค แก่บุคคลผู้งดเว้นจากปาณาติบาต จึงหมั่นบำเพ็ญอธิษฐานบารมีฯ
หวังจะโปรดประทานนิพพานสมบัติ แก่สัตว์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร จึงอุตส่าห์บำเพ็ญเมตตาบารมีและอุเบกขาบารมีฯ สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยบรมพุทธางกูรนี้ ได้ทรงสร้างบารมีมาหลายแสนกัปป์ ก็เพื่อจะโปรดประทานศีล สมาธิ ปัญญา แก่เวไนยสัตว์ให้ล่วงพ้นจากวัฏฏสงสาร บรรลุถึงฟากฝั่งพระนิพพาน เห็นสภาวะปานฉะนี้ ขอพระคุณเจ้าจงรอคอยพระองค์ก่อน เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงเมื่อใดขอพระคุณเจ้าจงได้ไต่ถามพุทธการกภูมิให้พิสดารกว้างขวางตามอัธยาศัยของพระคุณเจ้าเมื่อนั้นเถิดฯ
จาก "พระมาลัยโปรดสัตว์นรก" รจนาโดย พระเทพสิทธิมุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ. ๙) พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ