การระลึกชาติของหลวงปู่ศรีทัต
“โดย..พระอริยคุณาธารฯ (เส็ง ปุสโส) วัดป่าเขาสวนกวาง ขอนแก่น”
พระอาจารย์ศรีทัศน์ (ศรีทัต) พ.ศ. 2476 - 2484
เป็นผู้สร้างพระเจดีย์ครอบรอยพระพุทธบาทบัวบก จ.อุดรธานี
พระธาตุท่าอุเทน จ.นครพนม และ พระพุทธบาทโพนฉัน ประเทศลาว
“..เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ ข้าพเจ้า (พระอริยคุณาธาร) มีโอกาสติดตาม "เจ้าคณะมณฑลอุดร" ไปตรวจการคณะฯ ทางริมฝั่งแม่น้ำโขง ในเขตจังหวัดหนองคายไปถึงบ้านโพนแพง อำเภอโพนพิสัย พักแรมที่ "วัดโพนเงิน" ตรงข้ามกับ "พระพุทธบาทโพนฉัน" ในเขตประเทศลาว ครั้งนั้น "พระอาจารย์ศรีทัต" กำลังก่อสร้างอุโมงค์ (กะตึบ) คร่อมพระพุทธบาทอยู่ที่นั่นวันรุ่งเช้าเจ้าคณะมณฑลข้ามฟาก (แม่น้ำโขง) ข้าพเจ้าขอโอกาสสนทนากับพระอาจารย์ศรีทัต ข้าพเจ้าพึ่งพบกันเป็นครั้งแรกในครั้งนั้น แต่ก็สนิทสนมกันง่ายดาย คล้ายกับได้รู้จักคุ้นเคยกันมานานแล้วเรื่องสำคัญที่สนทนากันในวันนั้น เป็นเรื่องเกี๋ยวกับการระลึกชาติของพระอาจารย์ศรีทัต ท่านกล่าวว่าท่านได้ฌานและอภิญญาณโลกีย์ มีความรู้ระลึกชาติในอดีตอนาคตของท่านได้ตลอดถึงคนอื่นที่เกี่ยวข้องกันท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้ากับท่านเคยเป็น “พ่อลูกปลูกโพธิ์” มาด้วยกัน แต่ต่างคนต่างมีกรรมเป็นของตนกรรมซัดไปติดคนละทางคนละทิศห่างไกลกัน ทั้งอายุกาล ก็ห่างกันด้วย ถึงดังนั้นบุญก็ยังบันดาลให้มาประสบพบพานกันได้ การพบกันครั้งนี้เป็นทั้งครั้งแรก เป็นทั้งครั้งสุดท้าย (ท่านอายุ ๗๑ แล้ว) จึงขอถือโอกาสบอกเล่าเก้าสิบเรื่องที่เกี่ยวข้องกันไว้ กับขอฝากให้เลี้ยงดูท่านในเมื่อเกิดชาติหน้านั้นด้วยพระอาจารย์ศรีทัศน์ท่านกล่าวว่า ท่านเป็นนิยโตโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว จักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลโน้น" และเป็นชนิด “สัทธาธิกะ” มีกำหนดสร้างบารมี ๑๖ อสงไขยกัลป์ จึงสำเร็จพระโพธิญาณท่านกล่าวว่าในอดีตชาตินานมาแล้ว ท่านเคยเป็นลูกของข้าพเจ้า และในชาติหน้าในลำดับต่อไปนี้ แม้จะไม่ได้เป็นลูกเกิดแต่ในอกของข้าพเจ้า ขอแต่เป็น “ลูกบุญธรรม” ขอให้ข้าพเจ้าเลี้ยงลูกปลูกโพธิ์อีกครั้งข้าพเจ้าได้ฟังแล้วก็เอะใจ ! และท่านกล่าวต่อไปว่าในสมัยกึ่งพุทธกาลนั้น พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ข้าพเจ้าจะเป็นคนสำคัญคนหนึ่งในสมัยนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ได้ทันเห็น แต่ก็ไม่เป็นไร ในสมัยนั้นได้มาเกิดใหม่เป็นลูก “บุญธรรม” ของข้าพเจ้าท่านย้ำคำนี้หลายครั้งเพื่อให้กระชับใจข้าพเจ้า แล้วท่านกล่าวการเกิดใหม่ในอนาคตของท่านไว้ดังนี้ท่านเกิดในชาติหน้าในท้องคนไม่มีสกุล พ่อผู้ให้กำเนิดไม่ปรากฏแก่คนทั้งหลาย แม่ผู้ให้กำเนิดเป็นคนพลัดถิ่นเขาจะไปคลอดบุตรในถิ่นที่ไม่มีคนรู้จักในบ้านชื่อว่า “บ้านสงเปลือย ตำบลพันคอน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี” แล้วมารดาก็จะละทิ้งบุตรหนีไป มีทุคคตะ ผัวเมียคู่หนึ่งรับไปเลี้ยงไว้ในระยะแรก เพราะฐานะของท่านเป็นคนยากจน เลี้ยงอยู่ประมาณ ๓ เดือน ไม่สามารถจะเลี้ยงต่อไปได้ท่านว่าทั้งนี้ก็เพราะเวรกรรมของท่าน ที่เอาลูกนกให้พลัดพรากจากแม่ของมันในอดีตชาติ ต่อจากนั้นจะมีผู้หญิงใจบุญคนหนึ่งเป็นหญิงหม้ายไม่มีบุตรซึ่งเคยเป็น “มารดา” ในชาติก่อนมารับไปเลี้ยงไว้เป็นบุตร “บุญธรรม” หญิงคนนั้นชื่อ “สายบัว” อยู่ในหมู่บ้านสงเปลือยนั้นเอง เคยเป็นภริยาหลวงวรวุฒิมนตรี นายอำเภอฯเมื่อเกิดในชาติหน้านั้น จะได้รูปส่วนสมทรงความยาวของวากับลำตัวจะเท่ากัน หลังมือหลังเท้านูนผิวขาวเหลือง สะอาดเกลี้ยงเกลาปราศจากไฝฝ้า ด้วยอำนาจบุญที่ปฏิสังขรณ์ตบแต่งและก่ออุโมงค์คร่อมพระพุทธบาทแต่ใบหน้านั้นหักนิดหน่อย เพราะความใจน้อยโกรธง่าย ทำหน้าเง้าหน้างอ และจะมีเสียงก่าๆเพราะด้วยการกล่าวผรุสวาจา จะมีนามว่า “ถวัลย์” แต่คนมักจะเรียกเล่นๆกันว่า “บุญติด” แต่เมื่อได้มาอยู่กับข้าพเจ้าแล้ว จะเรียกกันว่า “เชียงโมง”
พระอริยคุณาธาร
เมื่อสนทนากันไปท่านเห็นว่า ข้าพเจ้าไม่ปลงใจเชื่อสนิท ท่านจึงขออนุญาตจากข้าพเจ้า จะเล่าประวัติของข้าพเจ้าในชาติปัจจุบันที่ล่วงมาแล้วให้ฟัง เพื่อเป็นพยานยืนยันความรู้ที่ท่านระลึกชาติได้ ข้าพเจ้าก็อนุญาตท่านได้เล่าประวัติความเป็นมาของข้าพเจ้าที่ล่วงมาแล้ว ถูกต้องตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนอย่างกับตาเห็น ข้าพเจ้าได้ใคร่ครวญหาเหตุผลว่าท่านรู้ได้อย่างไร (เวลานั้นข้าพเจ้าอายุ ๒๙ ปี) เข้าใจว่าท่านมีญาณชนิดหนึ่งรู้ได้จริง จึงต้องตกลงปลงใจเชื่ออย่างสนิท และรับปากคำว่าจะรับเลี้ยงท่านในเมื่อท่านเกิดใหม่ในชาติหน้าจากวันพบพระอาจารย์ศรีทัศน์มาประมาณ ๓ ปีเศษ คือในราวปี พ.ศ. ๒๔๘๑ หรือต้นปี ๒๔๘๒ จำไม่แน่ ข้าพเจ้าได้รู้จักกับ "คุณนายสายบัว อินทรกำแหง" ซึ่งเคยเป็นภริยาของ "หลวงวรวุฒิมนตรี" มีภูมิลำเนาตรงกับที่ "พระอาจารย์ศรีทัศน์" บอกข้าพเจ้า จึงเล่าเรื่องที่กล่าวมาแล้วให้คุณนายสายบัวฟัง และสั่งไว้ว่า ถ้าคุณนายได้เด็กชายตามที่กล่าวมาแล้วมาเลี้ยงไว้ ขอให้ส่งข่าวด้วยจากวันพบคุณนายสายบัวมาแล้วประมาณ ๑๕ ปี ข้าพเจ้าทราบว่าคุณนายสายบัวได้เด็กชายมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว จึงหาโอกาสไปพบ คุณนายก็นำเด็กนั้นมาให้ข้าพเจ้าดูที่วัดในหมู่บ้านนั้น เวลานั้นเด็กนั้นมีอายุได้ ๓ ขวบ เกิดใน พ.ศ. ๒๔๙๓ ข้าพเจ้าได้สอบถามเหตุการณ์เมื่อแรกเกิดและที่ได้มาคุณนายสายบัวเล่าว่า มีหญิงคนหนึ่งพลัดถิ่นมาที่บ้านสงเปลือยไม่มีใครรู้จัก พอมาถึงในคืนนั้นก็ปวดท้องคลอดบุตรชาวบ้านได้ช่วยกัน พอรุ่งเช้าชาวบ้านต้มน้ำร้อนจะให้เขาอาบ พอน้ำเดือด เขาตักมาจะลวกบุตรให้ตาย ชาวบ้านป้องกันไว้ทัน เอาบุตรซ่อนเสีย เลยเขาหนีเตลิดเปิดเปิงไปในวันนั้น มีผัวเมียคู่หนึ่งรับไปเลี้ยงไว้ ๓ เดือน เลี้ยงไม่ไหวเพราะความยากจน จึงนำมามอบแก่คุณนายสายบัวคุณนายสายบัวเล่าต่อไปว่า ก่อนที่เขาจะนำเด็กมาให้ ในคืนนั้นฝันว่า “มีแก้วเก้าสี มีรัศมีรุ่งเรือง มาประดิษฐานอยู่ที่ชานเรือน รู้สึกดีใจไปรับเอามาไว้” พอรุ่งเช้าก็ได้รับเด็กคนนี้ ต่อมาได้ขนานนามว่า “ถวัลย์” แต่เรียกกันเล่นๆว่า “บุญติด”ตามที่คุณนายสายบัวเล่าให้ข้าพเจ้าฟังนี้ ตรงกับที่พระอาจารย์ศรีทัศน์พูดไว้กับข้าพเจ้า ตลอดถึงลักษณะของเด็กด้วยทุกประการ ข้าพเจ้าจึงพูดกับคุณนายสายบัวว่า จะขอรับเอาไปเป็นบุตรบุญธรรม แต่ยังเล็กอยู่เกรงเด็กจะลำบาก ขอให้คุณนายเลี้ยงไปก่อนกว่าจะมีวัยอันสมควรพ.ศ. ๒๔๙๖ ออกพรรษามาแล้ว ข้าพเจ้าไปบ้านสงเปลือยอีกครั้งหนึ่งพักอยู่ที่วัดฯ คุณนายสายบัวพาเด็กชายคนนี้มาต้อนรับ ข้าพเจ้าอยากจะพิสูจน์ให้แน่อีกครั้งหนึ่งว่า จะเป็นอาจารย์ศรีทัศน์แน่หรือไม่จึงถามเขาว่า เมื่อก่อนนั้น ตัวชื่อศรีทัศน์หรือไม่? เขาตอบทันทีว่า “ใช่” แล้วข้าพเจ้าก็ยุติไว้เพียงนั้น ไม่เล่าเรื่องอาจารย์ศรีทัศน์ให้เขาได้ยิน เพราะเพื่อจะสังเกตความเป็นไปต่อไป.."
เมื่อคุณนายสายบัวพากลับบ้านแล้ว คุณนายสายบัวกลับมาเล่าให้อาตมาฟังว่า เด็กนั้นเมื่อกลับถึงบ้านได้เล่าเรื่องราวครั้งเป็น "อาจารย์ศรีทัศน์" ในชาติก่อนให้คุณนายสายบัวฟัง แต่ทว่าไม่ติดต่อกัน เล่าเฉพาะเรื่องสำคัญของชีวิตเป็นท่อน เป็นตอน พอรู้ได้ว่าเขาระลึกชาติได้พ.ศ. ๒๔๙๗ กลางปี คุณนายสายบัวนำเด็กชายคนนี้มาให้ข้าพเจ้าที่นี่ (วัดป่าเขาสวนกวาง) ข้าพเจ้าเอารูปถ่ายของพระอาจารย์ศรีทัศน์ให้ดู แล้วถามว่า นี่รูปของใคร? เขาตอบว่ารูปของเขาในตอนปลายปี (ตั้งแต่พระอาจารย์ศรีทัศน์มรณภาพ จนถึงเด็กชายคนนี้เกิด ประมาณ สิบปีกว่าๆ เมื่อท่านทำนายนั้น พระอาจารย์ศรีทัศน์ อายุ ๗๑ ปี)ต่อมาข้าพเจ้ามีธุระไปที่อุดรพาเด็กชายคนนี้ไปด้วย วันหนึ่งข้าพเจ้าไปเยี่ยม "พระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตร์" พอขึ้นไปบนบ้านเฆ้น เจ้าคุณอดรกำลังนั่งโต๊ะรับประทานอาหารเย็น เด็กชายคนนี้ก็ตรงรี่เข้าไปหา และทำท่าจะรับประทานอาหารร่วมด้วย เจ้าคุณอุดรมีความเมตตาจึงจัดอาหารให้รับประทาน ข้าพเจ้ามานั่งรอคอยท่านเจ้าคุณอุดรอยู่ที่โต๊ะรับแขกใต้ซุ้มกล้วยไม้เมื่อเด็กชายนั้นได้รับประทานอาหารเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าถามว่า ไม่กลัวท่านหรือ ท่านเป็นพระยา เขาตอบว่าไม่กลัว เพราะเคยรู้จักกับท่าน ข้าพเจ้าถามว่ารู้จักท่านที่ไหน? เขาตอบว่า รู้จักเมื่อครั้งก่ออุโมงค์คร่อม "พระพุทธบาท" ที่อำเภอบ้านผือ
(พระพุทธบาทบัวบก อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี และ พระพุทธบาทโพนฉัน ประเทศลาว)
พอเจ้าคุณอุดรมานั่งกับข้าพเจ้าเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าถามเจ้าคุณอุดรว่าเมื่อครั้งพระอาจารย์ศรีทัศน์ก่ออุโมงค์ค์คร่อมพระพุทธบาทที่บ้านผือนั้น ท่านเจ้าคุณเคยไปและเคยรู้จักสนิทกันกับพระอาจารย์ศรีทัศน์หรือไม่? ท่านเจ้าคุณอุดรตอบว่า เคยไป และรู้จักสนิทสนมกันมากตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๗ จนถึงปัจจุบันนี้ เด็กคนนี้ได้มาอยู่กับข้าพเจ้าที่นี่ เมื่อคนต่างถิ่นมาเยี่ยม ถ้าคนนั้นเคยรู้จักกับพระอาจารย์ศรีทัศน์ แม้เขาจะไม่รู้จักก็แสดงอาการสนิทสนมเหมือนกับคนที่เคยรู้จักมาช้านานแล้ว แต่ถ้าคนนั้นไม่เคยรู้จักกับพระอาจารย์ศรีทัศน์ แม้จะแนะนำให้เขารู้จัก เขาก็ไม่แสดงอาการสนิทสนม แสดงอาการธรรมดาอย่างคนที่พึ่งรู้จักกันเด็กคนนี้เมื่อมาอยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการทดลองว่าเขาจะเคยบวชในชาติก่อนหรือไม่ จึงตัดสบงจีวรและย่ามเล็กๆให้ ทำทีบรรพชาให้เป็นสามเณร เขาแสดงอาการดีใจชื่นบานหรรษา ส่อว่ามีอุปนิสัยในการบวชมาแล้ว เมื่อบวชแล้วอดข้าวเย็นไม่ได้ ต้องสึกกินข้าวเย็นในวันนั้น (อายุ ๕ ขวบกับ ๗ เดือน เกิดวันอังคาร แรม ๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีขาล วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๓ เวลา ๕.๐๐ น.เศษ) จึงตั้งชื่อล้อเลียนเขาว่า “เชียงโมง” คนที่บวชเณรไม่ข้ามวันแล้วสึก ทางภาคอิสานเรียกผู้สึกจากเณรนั้นว่า “เชียง”เมื่อเหตุการณ์ตรงกับคำพยากรณ์ของ "พระอาจารย์ศรีทัศน์" ทุกประการดังที่เล่ามา ตลอดถึงพฤติการของเด็ก ข้าพเจ้าจึงปลงใจเชื่อว่าอาจารย์ศรีทัศน์มาเกิดและระลึกชาติได้จริง ข้าพเจ้าจึงขอรับรองด้วยเกรียติยศ และศีลธรรมว่า เป็นความจริงดังที่กล่าวมามิได้เสกสรรปั้นแต่งขึ้น ขอส่งเรื่องนี้แก่ยุวพุทธิกะ เพื่อเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์การกลับชาติมาเกิดใหม่ของคน.
พระอริยคุณาธาร
วารสาร ยุวพุทธิกะสมาคมแห่งประเทศไทย ปีที่ ๖ เล่มที่ ๖ กุมภาพันธ์ – มีนาคม ๒๔๙๙ หน้า ๔๒
ป.ล. พระอริยคุณาธาร เวลานั้นเป็นเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น |
|