เมื่อ 13 พ.ย. 2554
ก้าวที่ยิ่งใหญ่...เริ่มจากก้าวเล็กๆเสมอ...พ.สุรเตโช
ก้าวที่ยิ่งใหญ่...เริ่มจากก้าวเล็กๆเสมอ...พ.สุรเตโช
ภูเบศวร์
“ถ้าจะไป หมื่นไพรีก็ไม่กลัว” เป็นความหาญกล้าของจิตใจที่เด็ดเดี่ยวของผู้มีใจประดุจเพชร ดังเช่นมหาบุรุษที่บังเกิดมีมาในโลก
พระพุทธเจ้า แลพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่ทรงย่นย่อต่ออุปสรรคทั้งปวง แม้เบื้องหน้าจะเต็มไปด้วยขวากหนาม ความยากลำบาก ข้าศึกศัตรูนับพันนับหมื่น ก็ไม่รู้สึกหวั่นไหว หวาดกลัว หรือยำเกรงใดๆ จิตใจมีแต่ความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย เพื่อบรรลุสู่สิ่งที่ตั้งใจไว้อย่างมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
นับแต่ย่างก้าวแรกที่พระองค์ดำเนินไป ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสาร ตลอดทั้งสามโลก พระองค์ทรงมีเมตตาอย่างเสมอเหมือน ทรงนำพระสัทธรรม มาสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ผู้ปฎิบัติเห็นเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย) เห็นความเป็นไตรลักษณ์ในสรรพสิ่ง จนถึงความดับไปแห่งทุกข์(นิโรธ) พระรัตนตรัย จึงบังเกิดขึ้นมาในโลกด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ทรงนำสิ่งที่พระองค์ค้นพบมาเผยแผ่ ยังความสว่างไสวให้เกิดบนโลกที่มืดมนจากความไม่รู้ ประดุจดังแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างมายังโลก ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายทั่วจักรวาล สิ่งที่พระองค์ค้นพบนั้นคือทุกข์ และทรงบอกถึงวิถีทางแห่งความดับทุกข์(มรรค)
ผู้ที่ปฏิบัติตามวิถีทางที่พระองค์ทรงวางไว้ ได้เข้าถึงซึ่งความรู้ ตื่น เบิกบาน (พุทโธ) ได้รู้แจ้งในสัจจธรรม จึงเป็นผู้สว่างแล้วทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นผู้วางเฉย(อุเบกขา)ต่อโลกธรรมทั้งปวง (ใจเป็นกลางต่อสภาวะธรรมทั้งหลายที่ยังมีซ้ายขวา มีความเป็นคู่ แต่เป็นหนึ่งเดียว เป็นธรรมชาติของใจอันบริสุทธิ์ล้วนๆ) เป็นผู้พ้นแล้วซึ่งวัฏฏะสงสาร พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญผู้ที่ปฏิบัติตาม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ด้วยมุทิตาจิตของพระองค์
พระพุทธบาทที่พระองค์ประทับไว้ จึงเป็นดั่งอนุสรณ์แห่งพระบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ที่ปรากฏบนโลกใบนี้ นอกเหนือจากพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์
“อานนท์ ธรรมและวินัยใดที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย โดยการล่วงไปแห่งเรา ธรรมและวินัยนั้น ย่อมเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย”
นโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ
นโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ
นโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นับเวลาแรกเริ่มล่วงมาจนถึงเวลานี้ จากที่เรานรธ.ได้รับแนวทางการปฏิบัติจากองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ (พ.สุรเตโช) หลายท่านได้ก้าวกระโดดในการปฏิบัติ ที่รับรู้ได้ด้วยตัวท่านเองหรือผู้อื่นรับรู้จากสภาวะธรรมที่แสดงออก
การก้าวกระโดดไม่ใช่การก้าวไปสู่ความมีความเป็น หรือได้คุณวิเศษใดๆที่สร้างอัตตาตัวตนให้เพิ่มพูนขึ้น แต่เป็นความธรรมดาที่ถูกปรับเปลี่ยน ยกสภาวะจิตสู่ภูมิแห่งการมอง และเห็นด้วยปัญญา สวนกระแสจากการมองออกไปข้างนอกและไหลตามไป สวนกลับมามองตน รู้จักตนให้มากขึ้น หรือนำใจที่สงบนิ่ง รู้สึกปลอดภัยและเป็นสุข ในกะลาที่ไม่รับรู้โลกภายนอก ออกมาเรียนรู้ และเผชิญกับความจริง จนสามารถเข้าใจ ยอมรับความเป็นจริงนั้นๆ และปล่อยวางความยึดถือ ความสำคัญมั่นหมายของใจ ตามกำลังของในแต่ละขณะจิต
ผมเคยได้รับคำถามๆหนึ่งว่า
โลกในช่วงที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัส กับโลกที่ว่างเว้นจากพระพุทธเจ้ามาอุบัตินั้น แนวทางการปฏิบัตินั้นต่างกันอย่างไร
สรุปในด้านของการปฏิบัติทางจิต ไม่รวมถึงสภาวะอื่นๆได้รับคำตอบว่า
โลกที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสสั่งสอน ก็ยังมีผู้ปฏิบัติทางจิตในแนวทางแห่งสมถะ ซึ่งมีผู้ปฏิบัติจำพวกฤษีชีไพร มีฤทธิ์เดช อภิญญา แต่ไม่รู้และเข้าถึงความเป็นจริงในอริยสัจจ์ ที่ดำเนินด้วยปัญญาในแนวทางแห่งวิปัสสนา อันจะนำพาให้จิตหลุดพ้นจากแรงดึงดูดที่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด เหมือนยุคที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติและตรัสสั่งสอน กอปรไปด้วยสมถะและวิปัสสนา ด้วยองค์แห่งศีล สมาธิ ปัญญา
การก้าวกระโดดของพวกเรานรธ.จากการพิเคราะห์ของผม ส่วนหนึ่งได้ก้าวจากสมถะสู่วิปัสสนา และจากวิปัสสนาก็ก้าวสู่แนวทางแห่งปรมัตถธรรม ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดในมุมมองของผม
เมื่อใกล้ถึงสิ้นปีนี้ ประเมินได้ว่านรธ.ล้วนได้รับความก้าวหน้าในทางธรรมถ้วนทั่วกัน จากการปฏิบัติจริง ในสภาวะการณ์จริง ด้วยความเมตตาสั่งสอนตรง จิตสู่จิต จากพ่อแม่ครูอาจารย์(พ.สุรเตโช) หรือได้รับแนวทางธรรมจากท่าน แล้วนำมาถ่ายทอดแบ่งปัน ให้นรธ.ได้น้อมนำไปปฏิบัติ จนบังเกิดผลรับรู้ได้ด้วยตนเอง และบางสิ่งเป็นการเฉพาะตน(ปัจจัตตัง)
ต้องขออนุโมทนากับทุกท่านครับ
พระพุทธเจ้า แลพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่ทรงย่นย่อต่ออุปสรรคทั้งปวง แม้เบื้องหน้าจะเต็มไปด้วยขวากหนาม ความยากลำบาก ข้าศึกศัตรูนับพันนับหมื่น ก็ไม่รู้สึกหวั่นไหว หวาดกลัว หรือยำเกรงใดๆ จิตใจมีแต่ความมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย เพื่อบรรลุสู่สิ่งที่ตั้งใจไว้อย่างมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง
นับแต่ย่างก้าวแรกที่พระองค์ดำเนินไป ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสาร ตลอดทั้งสามโลก พระองค์ทรงมีเมตตาอย่างเสมอเหมือน ทรงนำพระสัทธรรม มาสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ผู้ปฎิบัติเห็นเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย) เห็นความเป็นไตรลักษณ์ในสรรพสิ่ง จนถึงความดับไปแห่งทุกข์(นิโรธ) พระรัตนตรัย จึงบังเกิดขึ้นมาในโลกด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ทรงนำสิ่งที่พระองค์ค้นพบมาเผยแผ่ ยังความสว่างไสวให้เกิดบนโลกที่มืดมนจากความไม่รู้ ประดุจดังแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างมายังโลก ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายทั่วจักรวาล สิ่งที่พระองค์ค้นพบนั้นคือทุกข์ และทรงบอกถึงวิถีทางแห่งความดับทุกข์(มรรค)
ผู้ที่ปฏิบัติตามวิถีทางที่พระองค์ทรงวางไว้ ได้เข้าถึงซึ่งความรู้ ตื่น เบิกบาน (พุทโธ) ได้รู้แจ้งในสัจจธรรม จึงเป็นผู้สว่างแล้วทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นผู้วางเฉย(อุเบกขา)ต่อโลกธรรมทั้งปวง (ใจเป็นกลางต่อสภาวะธรรมทั้งหลายที่ยังมีซ้ายขวา มีความเป็นคู่ แต่เป็นหนึ่งเดียว เป็นธรรมชาติของใจอันบริสุทธิ์ล้วนๆ) เป็นผู้พ้นแล้วซึ่งวัฏฏะสงสาร พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญผู้ที่ปฏิบัติตาม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ด้วยมุทิตาจิตของพระองค์
พระพุทธบาทที่พระองค์ประทับไว้ จึงเป็นดั่งอนุสรณ์แห่งพระบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ที่ปรากฏบนโลกใบนี้ นอกเหนือจากพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์
“อานนท์ ธรรมและวินัยใดที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย โดยการล่วงไปแห่งเรา ธรรมและวินัยนั้น ย่อมเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย”
นโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ
นโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ
นโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นับเวลาแรกเริ่มล่วงมาจนถึงเวลานี้ จากที่เรานรธ.ได้รับแนวทางการปฏิบัติจากองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ (พ.สุรเตโช) หลายท่านได้ก้าวกระโดดในการปฏิบัติ ที่รับรู้ได้ด้วยตัวท่านเองหรือผู้อื่นรับรู้จากสภาวะธรรมที่แสดงออก
การก้าวกระโดดไม่ใช่การก้าวไปสู่ความมีความเป็น หรือได้คุณวิเศษใดๆที่สร้างอัตตาตัวตนให้เพิ่มพูนขึ้น แต่เป็นความธรรมดาที่ถูกปรับเปลี่ยน ยกสภาวะจิตสู่ภูมิแห่งการมอง และเห็นด้วยปัญญา สวนกระแสจากการมองออกไปข้างนอกและไหลตามไป สวนกลับมามองตน รู้จักตนให้มากขึ้น หรือนำใจที่สงบนิ่ง รู้สึกปลอดภัยและเป็นสุข ในกะลาที่ไม่รับรู้โลกภายนอก ออกมาเรียนรู้ และเผชิญกับความจริง จนสามารถเข้าใจ ยอมรับความเป็นจริงนั้นๆ และปล่อยวางความยึดถือ ความสำคัญมั่นหมายของใจ ตามกำลังของในแต่ละขณะจิต
ผมเคยได้รับคำถามๆหนึ่งว่า
โลกในช่วงที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัส กับโลกที่ว่างเว้นจากพระพุทธเจ้ามาอุบัตินั้น แนวทางการปฏิบัตินั้นต่างกันอย่างไร
สรุปในด้านของการปฏิบัติทางจิต ไม่รวมถึงสภาวะอื่นๆได้รับคำตอบว่า
โลกที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสสั่งสอน ก็ยังมีผู้ปฏิบัติทางจิตในแนวทางแห่งสมถะ ซึ่งมีผู้ปฏิบัติจำพวกฤษีชีไพร มีฤทธิ์เดช อภิญญา แต่ไม่รู้และเข้าถึงความเป็นจริงในอริยสัจจ์ ที่ดำเนินด้วยปัญญาในแนวทางแห่งวิปัสสนา อันจะนำพาให้จิตหลุดพ้นจากแรงดึงดูดที่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด เหมือนยุคที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติและตรัสสั่งสอน กอปรไปด้วยสมถะและวิปัสสนา ด้วยองค์แห่งศีล สมาธิ ปัญญา
การก้าวกระโดดของพวกเรานรธ.จากการพิเคราะห์ของผม ส่วนหนึ่งได้ก้าวจากสมถะสู่วิปัสสนา และจากวิปัสสนาก็ก้าวสู่แนวทางแห่งปรมัตถธรรม ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดในมุมมองของผม
เมื่อใกล้ถึงสิ้นปีนี้ ประเมินได้ว่านรธ.ล้วนได้รับความก้าวหน้าในทางธรรมถ้วนทั่วกัน จากการปฏิบัติจริง ในสภาวะการณ์จริง ด้วยความเมตตาสั่งสอนตรง จิตสู่จิต จากพ่อแม่ครูอาจารย์(พ.สุรเตโช) หรือได้รับแนวทางธรรมจากท่าน แล้วนำมาถ่ายทอดแบ่งปัน ให้นรธ.ได้น้อมนำไปปฏิบัติ จนบังเกิดผลรับรู้ได้ด้วยตนเอง และบางสิ่งเป็นการเฉพาะตน(ปัจจัตตัง)
ต้องขออนุโมทนากับทุกท่านครับ