วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

145: กราบนมัสการและถวายภัตตาหารแด่หลวงพ่อจ่า


กราบเรียน เพื่อน นรธ.และญาติธรรมที่เคารพ,

เนื่องด้วยวันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน 2555 , หลวงพ่อจ่า ท่านเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ศิษย์องค์หลวงตามหาบัว จักเดินทางมาฉันภัตตาหารที่พุทธสถานภูดานไห จ.กาฬสินธุ์ ร่วมกับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช

จึงถือเป็นโอกาสอันดีของเหล่าศิษย์ที่จักได้ถวายการอุปัฏฐากและได้ทำบุญใหญ่กับพระอริยเจ้าทั้งสองรูปพร้อมๆกัน

หลวงพ่อจ่า ท่านจักเดินทางมาจากสถานปฏิธรรมคำตัน อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย
โดยโยมพ่อขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์จักถวายความสะดวกในการเดินมาในครั้งนี้

จึงขอเรียนเชิญนรธ.และญาติธรรมร่วมทำบุญในวาระโอกาสนี้

อนึ่ง หากท่านไม่สามารถเดินทางมาได้ด้วยตนเอง แต่ปรารถนาจักร่วมถวายปัจจัยแด่หลวงพ่อ ตามแต่ท่านจักเรียกใช้
เนื่องจากหลวงพ่อกำลังดำเนินการสร้างศาลาปฏิบัติธรรมและที่พักสงฆ์อยู่ที่หนองคาย อันเป็นบ้านเกิดของท่าน

ท่านสามารถโอนปัจจัยร่วมทำบุญมาที่บัญชีส่วนตัวผม แล้วผมจักเป็นตัวแทนน้อมถวายแด่ท่านในวันงานบุญดังกล่าว

บัญชีร่วมบุญเฉพาะวาระนี้ดังนี้
โมทนาสาธุในบุญกุศลนี้ทุกประการ
นรธ.สมบัติ เพ็งพล
IT Man/28.06.55

Link ที่เกี่ยวข้อง:

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

144: นิมิตเกี่ยวกับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช

ข้าพเจ้าเคยได้นิมิตที่เกี่ยวข้องกับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์อยู่อย่างน้อย3 ครั้งด้วยกัน ที่จำได้ดีมี 3 คราวดังนี้
นิมิตครั้งแรก : ติดตามองค์พ่อแม่ครูอาจารย์เข้าป่าหาโมกขธรรม (ประมาณปลายปี 54)
01: โยมผู้หญิงนิมนต์ให้เข้าไปขึ้นบ้านใหม่ในป่า:

ในฝันนั้นองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ คุณแม่ชม และข้าพเจ้ากำลังเดินธุดงค์ในป่าที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง ก็มีโยมผู้หญิงเข้ามากราบอาราธนานิมนต์องคืพ่อแม่ครูอาจารย์ไปขึ้นบ้านใหม่ พวกเราก็เดินตามไป ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นผู้ญิงคนนี้มีรูปร่างงาม ผิวขาวซีด ข้าพเจ้ายาว หน้าตาสะสวยแต่เหมือนไม่มีชีวิต

02: บ้านใหม่แต่เก่า(ก่อน)ในป่ากว้าง:

พอไปถึงหมู่บ้าน ข้าพเจ้าก็สังเกตุเห็นบ้านนี้เรียงกันเป็นแถว มุงด้วยหญ้าคา ฝาเป็นไม้ไผ่สาน ขนาดห้องประมาณ 2x2 เมตร มีระเบียงลดระดับลงมาขนาด 1x2 เมตร ไม่ได้ใหม่อย่างที่คิด แต่เก่ามากและก็เหมือนกันทุกๆหลัง

03: ถวายภัตตาหาร และรับประทานอาหารร่วมกันกับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์และคุณแม่ชม:

จากนั้น เธอก็เชื้อเชิญให้รับประทานอาหารที่เตรียมไว้ที่ระเบียงหน้าบ้านมีอาหาร 3-4 อย่าง จำพวกของป่า ผัก น้ำพริก และมีกล่องข้าวขนาดใหญ่กับขนาดเล็ก 2 กล่อง ข้าพเจ้าจึงได้ถวายกล่องข้าวขนาดใหญ่แด่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ พอเปิดฝากล่องข้าว (ข้าพเจ้าเปิดก่อนถวาย) กลับมีข้าวเหนียวนึ่งเพียงนิดเดียว อีกกล่องขนาดเล็กนั้นมีข้าวเหนียวเต็มกล่อง

04: เปิดกล่องข้าวเหนียวจากพล่องเป็นเต็มและมีถ้วยลาบหนึ่งถ้วยพูน:

เธอก็ได้เชื้อเชิญให้กินข้าวร่วมกัน (เธอนั่งอยู่ห่างๆ) ข้าพเจ้าก็เกรงองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ คุณแม่นั้นนั่งร่วมวงแล้ว ข้าพเจ้าจึงกล้านั่งร่วมวง จากนั้นองค์พ่อแม่ครูอาจารย์จึงมอบกล่องข้าวขนาดใหญ่นั้นคืนข้าพเจ้ามา

พอข้าพเจ้าเปิดกล่องข้าวเท่านั้นหล่ะ กล่องข้าวกับเต็มกล่อง แถมยังถ้วยลาบหมูแบบเต็มถ้วยมาอีก 1 ถ้วย ทำให้ข้าพเจ้าตกใจมาก เพราะตอนแรกนั้นมันไม่มีไงครับ ข้าพเจ้าถึงได้ตื่นขึ้นมา

ปล: ทุกอย่างสื่อสารกันทางจิต

ตีความหมายตามนิมิตครั้งแรก
01: ขณะเดินธุดงค์มีโยมผู้หญิงนิมนต์ให้เข้าไปขึ้นบ้านใหม่ในป่า:

- การจักได้ธรรม (ผู้หญิงในที่นี้น่าจะคือพระธรรม) มาครองนั้น ต้องบุกป่าผ่าดงเข้าไปหา
- การที่จักได้ธรรมมาครองนั้น ต้องออกจากความสะดวกสบาย เข้าป่าแสวงหาธรรมอันเป็นของจริง

02: บ้านใหม่แต่เก่า(ก่อน)ในป่ากว้าง :

- สถานที่ที่เกื้อหนุนในการปฏิบัติ ต้องสัปปายะ*

03: ถวายภัตตาหาร และรับประทานอาหารร่วมกันกับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์และคุณแม่ชม :

- การปฏิบัติธรรม ของข้าพจักมีองค์ท่านช่วยเหลือ ชี้ทางธรรม คอยเกื้อหนุนกันตลอด

04: เปิดกล่องข้าวเหนียวจากพล่องเป็นพูนและมีถ้วยลาบหมูหนึ่งถ้วยพูน:

- ในกาลข้างหน้าเราจักได้ธรรมมาครอง อีกทั้งมีลาภผลตามมาไม่อดอยาก

* มีผู้รู้อธิบายไว้น่าสนใจว่าการบริหารจัดการวัดของเจ้าอาวาสควรให้เกิดความสุข (สัปปายะ) 4 อย่าง คือ 
อาวาสสัปปายะ ที่อยู่เป็นที่สบาย คือทำวัดให้เป็นอาราม เป็นรมณียสถาน รื่นรมย์เจริญตาเจริญใจแก่ผู้พบเห็น เป็นศูนย์กลางของชุมชนด้านจิตใจ ที่ตั้งวัดไม่ใกล้ไม่ไกลจากชุมชนเกินไป มีการแบ่งเขตพุทธาวาส สังฆาวาสชัดเจนเป็นสัดส่วน ยิ่งในภาวะโลกร้อนด้วยแล้ว หากวัดได้มีการปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา ร่มรื่นดูเป็นธรรมชาติ นับว่าเหมาะกับภาวะโลกอันแสนที่จะร้อนเหลือหลาย ส่วนบางวัดตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสมเป็นทุนเดิม เช่น ภูเขา ลำธาร สวน ป่า ได้เน้นเรื่องความ
สะอาดหรือความเป็นระเบียบเรียบร้อยสม่ำเสมอเท่ากับว่าได้สร้างความสุขเพิ่มขึ้นแก่ผู้พบเห็น
อาหารสัปปายะ อาหารเป็นที่สบาย เมื่อมีที่อยู่ที่สบายต้องคำนึงถึงการกินอาหาร ในสมัยก่อนเป็นหน้าที่ของพระภัตตุเทศ ปัจจุบันเป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาส การจัดสวัสดิการด้านอาหารจึงควรเป็นภาระของฝ่ายสาธารณูปการรวมเรื่องต่าง ๆ เช่น การกำหนดเส้นทางโคจรบิณฑบาต ควรแบ่งเป็นสาย มีการเปลี่ยนเวรกันเพื่อเจริญศรัทธาของผู้ทำบุญและป้องกันการติดในตัวบุคคล มีการจัดฉันรวมกันเป็นที่แห่งเดียว เพื่อประโยชน์คือทำให้เกิดความเป็นธรรมในอดิเรกลาภ ขจัดความขัดแย้งในการแสวงหาอุปัฏฐาก ก่อให้เกิดความสามัคคีธรรม เป็นที่เจริญศรัทธาของผู้ถวายและสามารถแนะนำอบรมได้ง่ายในเวลาก่อนและหลังอาหาร มีเจ้าหน้าที่รับนิมนต์ และทำหน้าที่แจกรายการนิมนต์ให้ทั่วถึงโดยความเป็น
ธรรมหรือจัดตั้งมูลนิธิสงเคราะห์สวัสดิการด้านอาหารในยามขาดแคลน
บุคคลสัปปายะ บุคคลเป็นที่สบาย คำนึงถึงเรื่องบุคคลที่อยู่ภายในวัดหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับวัด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของความเจริญและความเสื่อมขิงศาสนา คนวัดแบ่งออกเป็น พระภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา หรือแม่ชี และเด็กวัด วัดใดดีหรือไม่ดีบ้างบอกว่าให้ดูจากบุคคลทั้ง 4 ประเภทดังกล่าว ควรจัดที่อยู่อาศัยของบุคคลแต่ละประเภทให้เหมาะสมตามสถานภาพ การติดต่อกันควรกำหนดเวลาสถานที่ ที่อยู่ของเด็กวัดควรสะอาดและมีระเบียบ มีการวางกฎเกณฑ์ให้ปฏิบัติพร้อมบทกำหนดโทษและควรกำหนดวันให้มีการพัฒนาวัดร่วมกัน
ธรรมสัปปายะ ธรรมเป็นที่สบาย จุดมุ่งหมายหลักของวัดคือสถานที่ประพฤติธรรม สิ่งที่จะก่อให้เกิด ธรรมสัปปายะ คือ บริเวณวัดร่มรื่น เป็นระเบียบ มีโครงการต้นไม้พูดได้ มีสุภาษิตสอนใจ ปริศนาธรรม คติธรรม โครงการเสียงธรรมะตามสาย รับฟังกันทั่วบริเวณวัดทั้งในวันจัดงานบุญ และกระจายเสียงไปถึงชุมชนหมู่บ้าน จัดสถานที่ฟังเทศน์ฟังธรรมในสถานที่สงบร่มเย็น อากาศถ่ายเทสะดวก จัดทำห้องสมุดธรรมะ โดยจัดหาหนังสือธรรมะ หนังสืออื่น ๆ ที่มีสาระประโยชน์เพื่อให้ผู้มาวัดได้อ่าน และมีที่นั่งอ่านหนังสือเป็นสัดส่วนเพียงพอ รักษาศิลปะหรือพุทธศิลป์ภายในวัด พิพิธภัณฑ์ของวัดจัดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น
การบำรุงรักษาส่งเสริมวัดให้เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข ส่วนหนึ่งจึงมาจากสัปปายะ 4 อย่างข้างต้น ที่อำนวยประโยชน์สุขแก่ประชาชนหรือสังคม สำคัญคือวัดยังมีอีกหลายเรื่องหลายด้านที่เป็นเรื่องดี พูดได้ไม่รู้จบอเนกอนันต์จริง ๆ
.................................................................................................
นิมิตครั้งที่สอง : ได้นิมิตความเกี่ยวข้องเป็นศิษย์-อาจารย์กันในอดีตชาติ
(จัก update ในลำดับต่อไป)
01: คณะศิษย์น้อมถวายและรับมอบพระพิมพ์โบราณขนาดเขื่องแด่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์:
02: น้อมถวายพระนาคปรกโบราณองค์เขื่อง : (อ้างอิง)
องค์พระพุทธ: จะทรงโบราณ สีดำ พระพักตรไม่งามเท่าใดนัก
ส่วนพญานาค: ขนดหาง 1-2 ชั้น มีเศียรเดียว...ปลายลิ้นก็พ่นไออุ่น(ไฟ)ออกมาเพื่อถวายแด่..
องค์พระชินวรณ์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะทรงเสวยพระวิมุตติสุขครับ

03: รับมอบแผ่นแป้งศักดิ์สิทธิ์จากอาจารย์อีกภพชาติ:
04: ปริศนาธรรมจากกระโหลกศรีษะ:
ตีความหมายตามนิมิตครั้งที่สอง
01: คณะศิษย์น้อมถวายและรับมอบพระพิมพ์โบราณขนาดเขื่องแด่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ : ทุกวันนี้ ก็เป็นเช่นนี้
02: น้อมถวายพระนาคปรกโบราณองค์เขื่อง :
03: รับมอบแผ่นแป้งศักดิ์สิทธิ์จากอาจารย์อีกภพชาติ :
04: ปริศนาธรรมจากกระโหลกศรีษะ : มรณานุสสติ


(จากนั้นวันต่อมา (30 ม.ค.55) ข้าพเจ้าได้รับหลวงพ่อทองคำเชียงแสนน้อย อ่านต่อ:118: หลวงพ่อทองคำเชียงแสน)

.................................................................................................

ก่อนหน้าที่จักได้นิมิตครั้งนี้ประมาณไม่กี่วัน
ข้าพเจ้าได้นิมิตที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ คือ ณ วัดบนเนินเขาแห่งหนึ่ง ขณะนั้นข้าพเจ้ากับศิษย์(เป็นพระภิกษุ)ของพ่อทูล กำลังยืนต้อนรับญาติธรรมที่นั่งรถทัวร์ขึ้นมาปฏิบัติธรรมหลายคันรถ ตอนนั้นเองพระภิกษุรูปนั้นก็ยื่นมือถือให้ข้าพเจ้าเรียนสายกับหลวงพ่อทูล จำเนื้อความสนทนาไม่ได้ แด่เหมือนกับว่าเรารับธรรมหรือคำสั่งจากท่าน เพราะข้าพเจ้าจะพูด "ข่ะน่อยๆ" ตลอดเลย (จบเท่านี้)
นิมิตครั้งที่สาม (ล่าสุด) : เช้าตรู่ของวันเสาร์ที่ 16 มิ.ย.55 ประมาณตี 4:30
ข้าพเจ้าได้นิมิตดังนี้

01: หลบหนีจากผู้กำลังตามล่าตัว

สถานที่ในนิมิต: บริเวณทุ่งนา ใกล้สวนบ้านข้าพเจ้า ซึ่งมีป่าเล็กๆปกคลุม
ตอนนั้นข้าพเจ้ากำลังหลบหนีผู้ร้ายมีผ้าโพกหัวสามคน ซึ่งผู้ร้ายนั้นตามไปอีกคนละทิศในทางร่องน้ำเก่าแต่ไม่มีน้ำ (ปัจจุบันตรงนั้นเป็นถนนไปหาต้นตะเคียนทอง) ในใจตอนนั้นก็ไม่ทราบว่าเขาจะตามจับข้าพเจ้าไปทำอะไร แต่ข้าพเจ้าได้หลบอยู่ในพุ่มไม้มีคันนาขนาดสูงล้อมรอบ ทว่าอีกฟากหนึ่งด้านหลังข้าพเจ้า เห็นองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ยืนอยู่บนคันนา แล้วคอยมองดูข้าพเจ้าเหมือนกันให้ผู้ร้ายไม่ให้จับตัวข้าพเจ้าได้
ในที่สุดข้าพเจ้าหลบหนีมาได้ แล้วก็ขึ้นไปบนลานธรรม (เป็นสวนที่อยู่ใกล้กัน,มีป่าเล็กน้อย) ซึ่งองค์พ่อแม่ครูอาจารย์กับเพื่อนธรรมสวมชุดขาว ผิวขาว หน้าตางดงาม คุ้นหน้าแต่ไม่รู้จัก ประมาณ 3-4 คน ส่วนคุณแม่ชมไม่ได้สวมชุดขาว คอยช่วยองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ และคอยดูข้าพเจ้าอยู่ข้างหลัง (ไม่เห็นหน้าแต่รู้สึกได้) ณ ตอนนี้ข้าพเจ้ากับคนอื่นๆอยู่เบื้องหน้าองค์ท่าน

02:  ธงชัยเอกพิชีบุคคล

จากนั้นองค์ท่านได้ประกาศว่า "ตอนนี้ธรรมะต่างๆ อาตมาก็ถ่ายทอดให้ญาติโยมหมดสิ้น ถือว่าจบหลักสูตรแล้ว อาตมาจะมอบธงให้แต่ละคน" ซึ่งในขณะนั้นข้าพเจ้าเห็นธงสีเขียวเลื่อมทอง ขอบสีทอง ตัวหนังสือสีทอง ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สองด้านทำเหมือนโบว์หรือกลีบบัว เรียงกันอยู่สี่ผืน ในความรู้สึกทราบว่าผืนที่อยู่บนสุดนั้นเป็นของข้าพเจ้า เขียนด้วยอักขระที่แปลความหมายได้ว่า "เอกพีชี" (เกิดอีกหนึ่งชาติ) ส่วนธงของท่านอื่นๆนั้น ก็ได้ความหมายประมาณว่าโกลังโกละ (เกิดอีกสามชาติ) หรือเกิดอีกเจ็ดชาติ เป็นต้น

03: รับประทานขนุนเคลือบพระธาตุ

จากนั้นองค์ท่านก็ได้พูดต่อไปว่า "ก่อนจะมอบธงให้ อาตมามีสิ่งหนึ่งมอบให้ด้วย"
เนื่องจากข้าพเจ้าอยู่ด้านหน้าองค์ท่านเป็นคนแรก แล้วรับมาก่อน พอรับมาก็เอาเข้าไปในปาก มีรสหอมหวาน องค์ท่านก็ดุว่า "เอ้า...ทำไมรีบกินหล่ะ ไม่รู้หรือว่ามีพระธาตุ แล้วไม่ขมหรือ?"
ข้าพเจ้าก็ตอบไปว่า "บ่ขมขะน่อย หวานดี" จากนั้นก็คายออกมา จึงทราบว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ารับประทานเข้าไปนั้น เป็นเนื้อ(นวล)ขนุนชิ้นเล็กๆ ห่อองค์พระธาตุสีเขียวออกไปทางดำ มีขนาดเล็กมาก

จากนั้นข้าพเจ้าก็ทบทวนในความฝันว่า เอ แต่ก่อนเราก็เคยฝันว่าได้รับประทานมวลสารพระธาตุในพระสมเด็จ ซึ่งมีขนาดเล็ก ประมาณ 3x3 มม. แต่รสชาดนั้น ขมติดลิ้นมาก (อ่านต่อ: ฝันว่าได้ดื่มน้ำทิพย์) นี้ก็เป็นเม็ดพระธาตุเช่นกัน แต่เนื่องจากห่อด้วยกลีบเนื้อขนุน จึงมีรสชาดหวาน ว่าแล้วก็ตำหนิตัวเอง ว่าไม่รอองค์พ่อแม่ครูอาจารย์บอก แต่เรากลับจะรับประทานเข้าไปก่อน โดยไม่พิจารณาให้ดีว่า สิ่งที่เอาเข้าไปในปากนั้น เป็นอะไร
จากนั้นข้าพเจ้าก็ตื่นพอดี น่าจะราวๆเกือบตี 5 ได้ครับ

ตีความหมายเป็นธรรมตามนิมิตครั้งที่สาม
01: หลบหนีจากผู้กำลังตามล่าตัว

- หลบหลีกจากผู้กำลังตามล่าตัวเรา : เรากำลังหลบหนีจากหัวหน้ากิเลสทั้งสามอยู่ (โลภ โกรธ หลง) / ที่จริงท่านสอนให้สู้กับกิเลส
- หลบอยู่ในทุ่งนาผืนสี่เหลี่ยมและมองเห็นผู้ร้ายกำลังเดินไปอีกทิศ : เราอยู่ในกรอบของอริยสัจจธรรมทั้งสี่ แล้วจักสามารถหลบหนีกิเลสไปได้
- โดยมีองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ยืนอยู่บนที่สูง คอยชี้แนะเฝ้าดูเราประดุจพ่อดูแลลูก อีกทั้งป้องกันมิให้เป็นเหยื่อของกิเลสทั้งหลาย

02: ธงชัยเอกพิชีบุคคล

- คงได้มีโอกาสบรรลุธรรมขั้นต้น (ณ ตอนนี้กำลังพยายามก้าวย่างไปตามทางแห่งอริยมรรคมีองค์ 8) บารมีมากพอที่จะเกิดอีกเพียงหนึ่งชาติ (เอกพิชี) รอคอย...ตามสัจจอธิษฐาน
- คณะเพื่อนธรรมอีก 3-4 คนประกอบด้วยหญิงชายนั้นคุ้นหน้า แต่ไม่รู้จัก ก็ไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านทั้งหลายนี้อยู่ ณ ที่ใด อาจจะเกิดเป็นเทวดาที่คอยให้กำลังใจเราเอง หรือผู้กำลังจะเข้ามาหาองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ก็อาจเป็นได้
- คุณแม่ชมไม่ได้ใส่ชุดสีขาว แต่ใส่ชุดสีกลักออกดำ ท่านคอยชี้แนะแนวทางและกำกับอยู่โดยตลอด และท่านอาจจะถือบวชใจเป็นพระอยู่ก็เป็นได้

03: รับประทานขนุนเคลือบพระธาตุ

- ขนุน : กุศลผลบุญทั้งหลายที่เราได้เพียรสร้างมา จักคอยหนุนนำให้ตัวเราเข้าถึงธรรมธาตุได้
ถือเป็นกำลังใจให้ก้าวไปในมรรคาปฏิปทาต่อไปครับ
อ่านต่อ :
.................................................................................................
พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงบุคคล ๙ จำพวกให้พระสารีบุตรฟังโดยละเอียดมีดังต่อไปนี้
๑. อันตราปรินิพพายี พระอนาคามีผู้บังเกิดในชั้นสุทธาวาส แล้วบรรลุอรหัตผลในช่วงวัยต้นๆ
๒. อุปหัจจปรินิพพายี พระอนาคามีผู้บังเกิดในชั้นสุทธาวาส แล้วบรรลุอรหัตผลในช่วงที่เลยวัยกลางคนไปแล้ว
๓. อสังขารปรินิพพายี พระอนาคามี (ในชั้นสุทธาวาส) ผู้บรรลุอรหัตตผลได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก
๔. สสังขารปรินิพพายี พระอนาคามี (ในชั้นสุทธาวาส) ผู้บรรลุอรหัตตผลโดยใช้ความพยายามมาก
๕. อุทธังโสตอกนิฏฐคามี พระอนาคามีผู้บังเกิดในชั้นสุทธาวาส ไม่เกิดในชั้นที่ ๔ แล้วจุติจากชั้นดังกล่าวตามลำดับไปบังเกิดในชั้นอกนิฏฐภพ จึงได้บรรลุพระอรหันต์ ณ ที่ภพนั้น
๖. สกทาคามี พระสกทาคามี ผู้จะกลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีกเพียง ๑ ครั้ง

๗. เอกพีชีโสดาบัน พระโสดาบันผู้เกิดเพียงชาติเดียวแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์เลย
๘. โกลังโกลโสดาบัน พระโสดาบันผู้เกิดแต่ในตระกูลผู้ดีมีบุญ ภายใน ๒ หรือ ๓ ชาติ แล้วจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์

๙. สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน พระโสดาบันผู้เกิดถึง ๗ ชาติจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์

ที่มา:
http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/005655.htm


เรื่องที่เกี่ยวข้องนิมิตของข้าพเจ้า:
01: หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)
10: ฌานนิมิตถึงพระอริยะเจ้า
15: แสงธรรมพระธุดงค์ นิมิตแห่งแสง
16: แสงธรรมพระธุดงค์ ตามหานิมิต 
17: แสงธรรมพระธุดงค์ พบแสงนิมิต

58: นิมิตฝันว่า ได้ดื่มน้ำทิพย์
144: นิมิตฝัน เกี่ยวกับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช
155: มงคลนิมิต 2 ประการ
160: นิมิตฝันว่า ได้ฟังธรรมจาก...
165: นิมิตฝัน ถึงองค์พ่อแม่ครูอาจารย์มาสอนธรรม
193: นิมิตฝัน เกี่ยวกับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์
275: นิมิตฝันว่า ได้ถวายอุปัฏฐากหลวงปู่ชา สุภทฺโท
นิมิตฝันว่า ได้พบพญานาคสีน้ำเงินจำศีลอยู่ในถ้ำ
นิมิตฝันว่า ได้พบงูสีขาวเผือก
นิมิตฝันว่า ได้เดินธุดงค์ติดตามองค์ครูบาอาจารย์ไปทางเหนือ
นิมิตฝันว่า ได้ถวายภัตตาหารร่วมกับญาติธรรมจำนวนมาก
นิมิตฝันว่า ได้ครอบครองเจ้าแห่งเหล็กไหล
นิมิตฝันว่า ทำบุญกับพระภิกษุสายหลวงพ่อวัดท่าซุง
นิมิตฝันว่า ได้ติดตามองค์ครูบาอาจารย์บิณฑบาตทางภาคอิสาน
นิมิตฝันว่า ได้เข้ากราบหลวงปู่หา (หลวงปู่ไดโนเสาร์)
นิมิตฝัน วันออกพรรษา
นิมิตฝันว่า ได้ร่วมขุดหาพระพิมพ์กับองค์ครูบาอาจารย์,หลวงปู่...
นิมิตฝันว่า ได้ติดตามองค์ครูบาอาจารย์ธุดงค์จากบาดาลสู่แดนลับแล (บังบด)

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

143: อัญเชิญเทวดา

สัคเค กาเม จะรูเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน ทีเป รัฏเฐ จะคาเม ตะรุวะ นะคะหะเนเคหะวัตถุมหิ เขตเต ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพ พะนาคา ติฏฐันตาสันติเก ยัง มุนิวะระวะจะนัง สาธะโว เม สุณันตุ
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา
คือ พรหมโลก เทวโลก นาคาโลก มนุษย์โลก และยมโลก มาให้ความเมตตาและยินดีแก่เรา ควรทำอย่างยิ่งท่านผู้เจริญแล้ว จงทำเถิด เราขออนุโมทนาด้วย)
สาธุ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ คุณบิดา คุณมารดา คุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์ คุณน้ำ คุณฝน คุณแดด คุณลม คุณพระเจ้าวะณะ คุณพระปัจเจกะ กะคุณพระแม่ธรณี คุณพระแม่คงคา คุณพระฤาษีนารัย คุณพระฤาษีนารอด คุณพระฤาษีตาไฟ คุณพระฤาษีมหารัย คุณพระฤาษีแสนโกฏ ขอไหว้วอนถึง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน อันมีพระอินทร์ พระพรหม พระยายมราช ตลอดถึงพญาครุฑ พญานาค และท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 และภุมมา เจ้าที่ทั้งหลาย ผู้ปกปักษ์รักษา คุ้มครองเคหะสถาน ที่อยู่ทำความเพียร เมตตาภาวนา อันมีเทพเทวบุตร เทพธิดา ได้ให้ความเมตตาและยินดีด้วยในการกระทำความเพียร เจริญเมตตาภาวนา ทุกเช้าค่ำวันคืน เป็นเนืองนิจ กิจศีล ตลอดจนถึงเทพผู้คุ้มครองภพทั้ง 4 ผู้ปกปักษ์รักษาจักรวาลทั้ง 8 ทิศ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่มีอยู่ในหมื่นโกฏจักรวาล แสนโกฏจักรวาล และอนันตจักรวาล
ขอเชิญท่านเจ้าครูทั้งหลาย โปรดได้ให้ความเมตตาแก่ข้า พระพุทธเจ้า ผู้ทำความเพียรปฏิบัติธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงอย่าได้มีความเป็นไปในทางทุกข์ และทางเสื่อม พร้อมไปด้วย ภัยภิบัติ ศัตรูหมู่มาร อย่าได้มาทำลายข้าพระพุทธเจ้า ในเวลาปฏิบัติธรรม ทำความเพียร ในกิจบททั้งหลาย จงได้เป็นไปตามอัธยาศัยแห่งการปฏิบัติให้สมบูรณ์ และเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปเถิด สาธุ.
(สิ่งทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้เป็นความจริง ดังนั้นท่าน ผู้เจริญด้วยสติ ปัญญา จงใคร่ครวญเอาเอง ถ้าหากอยากหลุดพ้นควรกระทำอย่างยิ่ง ผู้ที่ประเสริฐธรรมแล้ว ขอจงได้สำเร็จ และเราขออนุโมทนาด้วย)
ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมจิตอาราธนา เอาดวงธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อันเป็นหัวใจของพระไตรปิฎก
( นะโม 3 ครั้ง ).....อิติปิโสภะคะวา มือข้าพเจ้าสิบนิ้ว ยกขึ้นใส่หว่างคิ้วอันงามโสภา ข้าพเจ้าขอระลึกถึง คุณพระบิดา 21 , คุณพระมารดา 12 , คุณพระแม่โพสพ 39 , คุณพระพุทธเจ้า 56 , คุณพระธรรมเจ้า 38 , คุณพระสงฆ์ 14 , คุณพระอาจารย์อริยะเจ้าสิทัต, คุณพระกัมมัฎฐาน 8 , คุณพระคงคา 12 , คุณแม่นางธรณี 21 , คุณไฟ 6 , คุณลม 7 , คุณอากาศ 4 , คุณอักษร 5 , คุณอักขะระ 33 ตัว, คุณอัสสะหวาด, คุณปัสสะหวาด, คุณนิสสะหวาด, คุณแก้ว 3 ประการ, คุณศีล 8 , คุณศีล 227 , คุณพระปัญญา, คุณพระโสดากิทาคุณพระสักกะทาคามิ, คุณมรรค 4 , คุณผล 4 , คุณพระนิพพาน 1 , ถึงถ้วนเคารพเกล้า คุณศีลปาระมี, คุณทานปาระมี, คุณพระคาถาอักขระพยัญชนะอักษร, พร้อมกันทั้งหลายทั้งภายนอกและภายใน, คุณพระฤาษีนาลัย, คุณพระฤาษีนารอด, คุณพระฤาษีตาไฟ, คุณพระฤาษีมหาลัย, คุณพระฤาษีแสนโกศ, คุณพระฤาษี 108 องค์ อันทรงศีลา, ข้าพเจ้าขออาราธนา มาประดิษฐานอยู่ที่เกศาแห่งข้าพเจ้า จะกระทำความเพียรเมตตาภาวนาใดๆ ขอให้ประสิทธิ สรรพะประสิทธิ สิทธิกัมมัง สิทธิการิยะ ตะถาคะโต สิทธิเตโช ชะโยนิจจัง สิทธิวาโย ชะวะรา อิรารา ชะตาคะสารัสสาอิ

พุทธะนะมามิหัง, นะมะอะอุ, นะโมพุทธายะ, นะมะภะทะ, จะภะกะสะ , นะอุอะมิ
เทวตาอุยโยชนคาถา
เทวตาอุยโยชนคาถา เป็นคาถาส่งเทวดา ใช้สวดเพื่ออัญเชิญเทวดากลับวิมาน เมื่อแรกที่จะเจริญพระปริตร ได้มีการชุมนุมเทวดาหรืออัญเชิญเทวดามาเพื่อฟังการเจริญพระปริตร ซึ่งถือว่าเป็นการแบ่งส่วนบุญไปให้สรรพสัตว์ทุกจำพวกทุกหมู่เหล่า แม้กระทั่งเทวดาซึ่งมองไม่เห็นตัวก็แผ่เมตตาจิตไปถึง
เนื้อความในท่อนแรกของคาถานี้ เริ่มต้นด้วยการ แผ่เมตตาจิตไปในหมู่สัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์โศกโรคภัย จากนั้นได้กล่าวเชิญเทวดาให้อนุโมทนาบุญกุศลที่บำเพ็ญมา ซึ่งก็รวมถึงบุญอันเกิดจากการเจริญพระปริตร เพื่อเทวดาจะได้อานิสงส์แห่งบุญนั้น ด้วย ต่อจากนั้น ก็เป็นการแนะนำเทวดาให้เกิดศรัทธาในการให้ทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนาแล้วเชิญให้เทวดากลับ
ต่อจากนั้นก็ขออานุภาพ แห่งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายให้ คุ้มครองรักษา เทวตาอุยโยชนคาถานี้ จะต้องสวดทุกครั้งที่มีการ ชุมนุมเทวดา
เทวตาอุยโยชนคาถา
ทุกขัปปัตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปัตตา จะ นิพภะยา
โสกัปปัตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน
เอตตาวะตา จะ อัมเหหิ สัมภะตัง ปุญญะสัมปะทัง
สัพเพ เทวานุโมทันตุ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
ทานัง ทะทันตุ สัทธายะ สีลัง รักขันตุ สัพพะทา
ภาวะนา ภิระตา โหนตุ คัจฉันตุ เทวะตาคะตา
สัพเพ พุทธา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยัง พะลัง
อะระหันตานัญจะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโสฯ

คำแปล
ขอสัตว์ทั้งหลายที่ประสบทุกข์จงเป็นผู้ปราศจากทุกข์ ที่ประสบภัยจงปราศจากภัย ที่ประสบความเศร้าโศกจงสร่างโศก
ขอเหล่าเทวดาทั้งปวง จงอนุโมทนาบุญสมบัติที่ข้าพเจ้าทั้งหลายสร้างสมมาแล้วนี้ เพื่อความสำเร็จแห่งสมบัติทั้งปวง
ขอเทวดาทั้งหลาย จงให้ทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนา ด้วยศรัทธาทุกเมื่อ ขอเชิญเทวดาที่มาชุมนุมกลับไปเถิด พระพุทธเจ้าทั้งปวงล้วนทรงพละกำลัง ด้วยเดชแห่งกำลังของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย และด้วยเดชแห่งกำลังของพระอรหัตทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอน้อมนำเดช ทั้งปวงนั้นมาเป็นเครื่องคุ้มครองรักษาฯ

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

142: วาณีสุนทรี


พระคาถาอาราธนานั่งธรรม “วาณีสุนทรี” ความสำเร็จสมประสงค์

มุนินฺท วท นมฺพุช คพฺภ สมฺภว สุนทรี
ปาณีนํ สรณํ วาณี มยฺหํ ปิณยตํ มนํ
พระคาถานี้ใช้สำหรับอาราธนาพระธรรมเข้าสู่ตนเพื่อจะนั่งทางธรรมจะได้สำเร็จผล ตามความมุ่งหมายเป็นพระคาถาขอบารมีธรรม ขอความสำเร็จสมประสงค์

โบราณจารย์พระกรรมฐานมัชฌิมา ใช้เป็นพระคาถาว่านำก่อนอาราธนาองค์พระกรรมฐาน เมื่อนำเอาบทภาวนา พระคาถาวาณี นำมาประกอบเข้ากับ การเจริญ เมตตาเจโตวิมุตติแล้ว อาจสามารถเป็นไป เพื่อต่อต้านภัยอันตรายและห้ามบาปธรรม (บาปอกุศล ๑๔)


ธรรมที่เป็นบาปอกุศล เจตสิกมี ๑๔ ตัว คือ
๑. โมโห คือหลง
๒. อหิริกํ มิละอายแก่บาป
๓. อโนตฺตปฺปํ มิกลัวแก่บาป
๔. อุทธจฺจํ สะดุ้งใจ ฟุ้งซ่าน
๕. โลโภ โลภ
๖. ทิฏฐิ ถือมั่น
๗. มาโน มีมานะ
๘. โทโส โกรธ
๙. อิสฺสา ริษยา
๑๐. มจฺฉริย ตระหนี่
๑๑. กุกกุจจํ กินแหนง รำคาญ
๑๒. ถีนํ กระด้าง หดหู่
๑๓. มิทธํ หลับง่วง
๑๔. วิจิกิจฉา สงสัย


นางฟ้าคือ พระไตรปิฏก
มุนินฺท วท นมฺพุช คพฺภ สมฺภว สุนทรี : มีรูปอันงามอันเกิดแต่ห้องดอกบัวคือ พระโอฐ ของพระพุทธเจ้าผู้เป็นใหญ่กว่าจอมปราชญ์ทั้งหลาย
ปาณีนํ สรณํ วาณี : เป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ผู้มีปราณ คือลมหายใจทั้งหลาย
มยฺหํ ปิณยตํ มนํ : จงยังใจแห่งข้าพเจ้าทั้งหลายให้ยินดี

ที่มา:

141: เทวตานุสติ

เทวตานุสติ
โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
คำว่า เทวตานุสติ หมายความว่า ระลึกถึงธรรมอันทำบุคคลให้เป็นเทวดา คนเราทุกคนย่อมอยากเป็นคนดี หรืออยากเป็นเทวดา เป็นเอินทร์เป็นพรหม หรืออยากบริสุทธิ์ พ้นจากทุกข์จะต้องมีความปรารถนาด้วยกันทุกคน แต่เมื่อมาได้เพียงมนุษยสมบัติ ก็นับว่าดีอักโขแล้ว เพราะมันเป็นพื้นฐานที่จะตกแต่งให้มนุษย์ไปเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ต่อไป มนุษย์ที่มีสมบัติ คือมีอวัยวะครบครันบริบูรณ์ ไม่บ้าใบ้เสียจริตผิดมนุษย์ นับว่าดีอยู่แล้ว ขอให้ตั้งหลักฐานมนุษย์ที่ได้แล้วนี่ให้มั่งคงเถิด
เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์แล้วไม่ใช่จะเป็นมนุษย์ทีเดียวมันเป็นมนุษย์แต่ชื่อ หรือไม่มนุษย์สมบัติมาเฉย ๆ ยังไม่สมบูรณ์ ถ้าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์จะต้องมี มนุษยธรรม ด้วย

มนุษยธรรม คือคุณธรรมที่เป็นมนุษย์ ซึ่งมีมากที่เป็นเบื้องต้น ได้แก่ การเอ็นดู เมตตา ปรารถนาหวังดีต่อกันและกัน แล้วก็มีกตัญญูกตเวที อันเป็นพื้นฐานของมนุษย์
คนเราถ้าหากไม่มีเมตตาหวังดีต่อกันแล้ว มันก็ไม่ผิดแผกจากสัตว์เดรัจฉานเลย เอาแต่ได้เอาแต่ดี เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่คิดถึงความทุกข์ ความเดือดร้อนของคนอื่น ก็เหมือนสัตว์ทั่ว ๆ ไป สัตว์มันไม่มีเมตตาปรานีแก่กัน เช่นอย่างวัวควาย เมื่อเกิดมาก็มีแม่ของมันเลี้ยง พ่อของมันไม่ทราบไปไหนต่อไหนแล้ว แม่เลี้ยงลูกโดยสัญชาตญาณของมัน รักและเอ็นดูซึ่งกันและกัน แต่เวลาเติบใหญ่แล้วก็ลืมหมด ไม่ทราบว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ ใครเป็นลูกเป็นเต้า ไม่มีการสงเคราะห์กันนั่นแหละที่เรียกว่ามันไม่มีมนุษยธรรม

ส่วนคนเราไม่เป็นอย่างนั้น เรายังมีเมตตาปรานีโอบอ้อมอารีซึ่งกันและกัน หวังหาความสุข ความเจริญต่อกันรู้จักบุญคุณของกัน เหตุนั้นมนุษย์จึงมีพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ เป็นเครื่องแสดงความแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน

นอกจากมนุษยธรรมแล้ว ยังมีข้ออื่นอีก คือ มีศีล 5 เป็นเครื่องอยู่ ศีล 5 เป็นเครื่องปกปักรักษามนุษย์ให้เจริญต่อไป เมื่อเว้นจากฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดมิจฉาจาร กล่าวมุสาวาท ดื่มสุราเมรัยแล้ว มนุษย์จะอยู่ด้วยกันอย่างผาสุก

ชุมชนใดถ้ามีศีล 5 เป็นเครื่องปกปักรักษาคุ้มครองอยู่ ชุมชนนั้นจะค่อยเจริญงอกงามขึ้น ถ้าไม่มีศีล 5 ก็นับวันจะเสื่อมลงไป จะมีแต่คิดอิจฉา มีแต่เบียดเบียนพยาบาทอาฆาตจองบ้างจองผลาญซึ่งกันและกัน ชุมชนใดไม่มีศีล 5 ก็เป็นสัตว์ไป

ลองคิดดูเถิด กฎหมายบ้านเมืองซึ่งท่านตราออกมาเป็นพระราชบัญญัตินั้น ล้วนแล้วแต่อนุโลมตามศีล 5 กฎหมายมาตราต่าง ๆ ต้องมีศีล 5 อยู่ทั้งนั้น ศีล 5 นี้เป็นพื้นฐานของชาวโลก โลกมีศีล 5 แต่ไหนแต่ไรมาก่อนพระพุทธเจ้าประสูติก็มีอยู่อย่างนั้นเหตุนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแล้วจึงทรงสอนศีล 5 อนุโลม ตามของอันมีอยู่แต่ก่อน ศีล 5 ประการนี้เป็นเหตุให้อยู่เย็นเป็นสุขปราศจากอุปัทวันตราย
ฉะนั้น เบื้องต้นที่จะเป็นเทวดา ก็ต้องเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยมนุษยธรรมเสียก่อน เหตุนั้นท่านจึงเรียกว่า มนุสฺโส เกิดขึ้นมาเป็น มนุสฺโส แล้วจึงค่อยเป็น มนุสฺสเทโว ต่อไปถ้าไม่เป็น มนุสฺโส ก็เป็น มนุสฺสเทโว ไม่ได้

การที่จะเป็นมนุสฺสเทโวได้ ก็ต้องมีธรรมะเป็นครื่องอยู่ เปรียบเหมือนกับพวกพ่อค้าแม่ค้า ถ้าทำการค้าขาย ก็เรียกพ่อค้าแม่ค้า ถ้าทำไร่ทำนา ก็เรียกว่าชาวไร่ ชาวนา ถ้าทำราชการ ก็เรียกว่าข้าราชการ ฉะนั้น การที่เป็นเทวดาได้ ก็เพราะ มีธรรมอันทำให้เป็นเทวดาธรรม นั้น คือ “ หิริ ” ความละอายแก่ใจ และ “ โอตฺตปฺป ” ความเกรงกลัวต่อบาป
ธรรมะ 2 ข้อนี้ มีความสำคัญผู้มีความละอายต่อบาปกลัวต่อบาป จะงดเว้นการทำชั่วทุกประการ เพราะระลึกได้อยู่เสมอ จึงละอายและกลัว การกระทำทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดี แม้แต่เพียงคิดเฉย ๆ ว่าจะทำความชั่ว เป็นต้นว่าคิดจะขโมยของเขา ก็ให้คิดละอายขึ้นมาในใจแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทำ ไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่เรารู้ตัวเองอยู่ จึงละอายต่อบาปไม่กล้าทำ เช่นนี้เรียกว่ามี หิริ โอตฺตปฺป

หิริ โอตฺตปฺป นี้เป็นธรรมที่สำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของศีล เป็นต้นตอของศีล ผู้จะมีศีลได้ ไม่ว่าจะเป็นศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 หรือศีล 227 ก็ตาม ต้องมีหิริ และ โอตฺตปฺป เนื่องจากได้เห็นจิตของตน เห็นความนึกความคิดความปรุงของจิตของตน แล้วก็กลัวบาป ละอายบาป จึงไม่อาจจะทำความชั่วได้ ฉะนั้น ศีลก็บริสุทธิ์

ธรรม 2 ข้อนี้จึงได้ชื่อว่าธรรมที่ตกแต่งมนุษย์ให้เป็นเทวดา ฟังดูคล้ายๆ กับว่าธรรมทำบุคคลให้เป็นเทวดา อันที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น ท่านพูดอุปมาอุปไมยฟัง แต่เราสามารถทำให้เกิดมีขึ้นในตัวของเราได้ด้วยการตั้งสติ กำหนดดูให้รู้จักจิตของตนเสียก่อน เมื่อมันคิดนึกแส่ส่ายไปทางอกุศลก็รู้จักละอายและกลัวต่อบาปแล้วงดเว้นเสียนี่แหละเป็นธรรมซึ่งมีอยู่ในตัวของเรา
ธรรมไม่มีตนไม่มีตัว เป็นนามธรรม เปรียบง่าย ๆ เหมือนกับคนค้าขาย คนกระทำการค้าขาย จึงได้ชื่อว่าเป็นพ่อค้าแม่ค้า ไม่ใช่การค้าขายทำให้เป็น เราเป็นคนทำต่างหากจึงค่อยเป็น อันนี้ก็เหมือนกัน เราระลึกขึ้นมาได้ เราเห็นใจของตนอยู่เสมอ จึงมี หิริ โอตฺตปฺป ช่วยให้มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 สมบูรณ์บริบูรณ์หมดทุกอย่าง ท่านจึงว่า

หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา
สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเร
เทวธรรม คือ หิริ โอตฺตปฺป เท่านั้น ทำมนุษย์ให้เป็นเทวดา

คนเราเมื่อเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าอยากดีขึ้นไปเป็นเทวดาต้องมีคุณธรรม 2 อย่างนี้จึงจะเป็นเทวดาได้ ถ้าหากอยากดีอยากเป็นเทวดาแต่ไม่มีคุณธรรม มันก็เป็นไปไม่ได้ เหตุนั้นจึงควรที่จะสร้างคุณธรรมนั้นให้มีขึ้นในตนเมื่อมีขึ้นแล้วก็เพิ่มพูนให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น

การมีหิริโอตฺตปฺป และรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ได้อาจสามารถเป็นพรหมได้ เรียกว่า พรหมจรรย์ การรักษาศีล 10 ศีล 227 เรียกว่า พรหมจรรย์โดยแท้ ก็อาศัย หิริ โอตฺตปฺป นั่นเอง หากเป็นโดยลำดับ
เพราะฉะนั้น ควรที่จะรักษา ควรที่จะระลึกถึงธรรมอันที่ทำให้เป็นเทวดาอยู่เสมอ ๆ ก็จะเป็นอนุสติรักษาตนอยู่ด้วยความสงบได้ ไม่เป็นไปเพื่อความกำเริบวุ่นวายมีความสุขความสบายตลอดเวลา

จากหนังสือ ธรรมลีลา ปีที4 ฉบับที่42
พิมพ์ สุวิภา กลิ่นสุวรรณ์

140: ทุกคนมีเทวดาประจำตัว จริงหรือ?

คนเราทุกๆคนนั้น มีเทวดาประจำตัวคอย ดูแลเราอยู่

เทวดาประจำตัว
ทุกๆคนจะมีเทวดาประจำตัวด้วยกันทุกคน ( ไม่ใช่องค์หรือองค์ใน )โดยปกติแล้วเมื่อเราเป็นมนุษย์ เป็นคนที่มีทาน มีศีล มีสมาธิและมีธรรม เมื่อตายจากการเป็นมนุษย์ในชาตินี้ไปแล้ว ก็จะไปเกิดบนสวรรค์ จะไปอยู่ชั้นไหนนั้นก็อยู่ที่ว่าบุญบารมีที่สร้างตอนเป็นมนุษย์มีมากเท่าไร และไปสมพงศ์กับพ่อแม่ที่อยู่บนสวรรค์คู่ไหนด้วยเทวดาก็มีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลง มีกิเลส มีตัญหา มีอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกับมนุษย์เหมือนกัน

เพียงแต่เขาไม่มีรูปร่าง มีกายเนื้อหรือมีตัวตนเหมือนกับเราเท่านั้นเอง เขามีแต่กายทิพย์ และ ทุกอย่างก็เป็นทิพย์ไปทั้งหมด อยากได้อะไรก็นึกคิดเอา ก็จะได้อย่างที่คิดสมปรารถนาทุกประการ ไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าจะมีแต่ความสุข ความเกษมสำราญแต่เพียงอย่างเดียว เทวดาจะทุกข์ก็ตอนที่บุญจะหมดและพอบุญหมดแล้วก็ต้องไปเกิดใหม่ พอรู้ว่าไปเกิดใหม่แล้วจะไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็จะทุกข์หนัก การมาเกิดเป็นมนุษย์ของเทวดานั้นมีหลายสาเหตุ เช่น ทำผิดกฎของสวรรค์ หมดบุญ สุดท้ายนี้พิเศษหน่อยไม่หมดบุญและก็ไม่ได้ทำผิดกฎสวรรค์ แต่มาเกิดเพราะมาทำหน้าที่ๆได้รับจากเบื้องบน

แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน คนเหล่านี้ จะมีอะไรพิเศษกว่ามนุษย์โดยทั่วไป พวกนี้พอเกิดมาแล้วจะหลงตัวเอง ว่าตัวเองเก่ง ตัวเองเลิศ ไม่ฟังความคิดเห็นของใคร มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มีสัมผัสที่หก เข้าถึงสิ่งเร้นลับได้ ทีนี้ไม่ว่าเราจะหมดบุญทำผิดกฎสวรรค์ หรือถูกส่งมาทำหน้าที่ก็ตาม เราจะมาเกิดกับพ่อแม่คู่ใหม่ยังโลกมนุษย์พ่อ แม่ พี่ น้อง ของเราบนสวรรค์องค์ใดองค์หนึ่ง ก็จะลงมาพร้อมกับดวงจิตของเรา

เพื่อที่จะคอยดูแลช่วยเหลือเราและป้องกันมิให้มารพาเราไปทำชั่ว เดี๋ยวจะกลับสวรรค์ไม่ได้ ถ้าหากเราเกิดมาแล้วทำแต่ความไม่ดี จิตที่เป็นอกุศลของเราส่งผล ทำให้มารมีพลังมากกว่าเทวดาประจำตัวของเรา ท่านก็จะเข้าใกล้และช่วยเหลืออะไรเราได้ไม่เต็มที่ แต่ถ้าจิตที่เป็นกุศลของเราส่งผลเทวดาประจำตัวของเราก็จะมีพลังมากมารก็เข้าใกล้ตัวเราไม่ได้เมื่อเข้าใกล้ตัวของเราไม่ได้ มารก็จะขวางและทำอะไรเราไม่ได้เช่นกัน ที่นี้เราทำอะไรก็สำเร็จไปทุกอย่าง

เรารู้แล้วหรือยังว่าเทวดาประจำตัวของเราคือใคร? มีพระนามว่าอะไร? เกี่ยวข้องกับเราอย่างไร?
ภูมิชั้นต่างๆ ของเทพเทวดานับจากมนุษย์ขึ้นไปจะเป็นเทพเทวดา๖ ชั้น มี

ชั้นที่๑ เรียกชั้นจาตุมหาราชิกา
ชั้นที่๒ เรียกชั้นตาวะติงสา(ดาวดึงส์)
ชั้นที่๓ เรียกชั้นยามา
ชั้นที่๔ เรียกชั้นดุสิต
ชั้นที่๕ เรียกชั้นนิมมานรดี
ชั้นที่๖ เรียกชั้ปรนิมมิตวสวัตตี


สวรรค์ชั้นเทวดาจะมีแค่ ๖ ชั้นเท่านั้น สูงจากชั้นของเทวดาขึ้นไปอีก ๑๖ ชั้น จะเป็นชั้นของรูปพรหม สูงจากชั้นของรูปพรหมขึ้นไปอีก ๔ ชั้น จะเป็นชั้นของอรูปพรหม

ถ้าหากตัวของเรามีปัญหาอะไร ให้จุดธูป ๑๖ ดอกบอกกล่าวให้เทวดาประจำตัวและเทวดาที่มาสร้างบารมี ให้ท่านช่วยเหลือและเวลาเราไปทำบุญทำกุศลอะไร ก็บอกให้ท่านได้อนุโมทนาบุญกับเราด้วยทุกครั้ง แต่ถ้าหากเทวดาถูกอาจารย์ขมังเวทย์สะกด ท่านก็ช่วยอะไรเราไม่ได้เช่นกัน ฉะนั้นเวลาไปที่ไหนก็ให้ระวังตัวบ้าง ทั้งเทวดาและก็ตัวเราด้วย ......



เทวดามาสร้างบารมี

จะคล้ายกับเทวดาประจำตัวของเรา จะแตกต่างตรงที่ว่า เทพเทวดาเหล่านี้ จะมีความเกี่ยวข้องกับเราสมัยยังเป็นมนุษย์มาแล้ว เช่น เราเคยเกิดเป็นข้าทาสหรือบริวารของกษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง พอเรามาเกิดในชาตินี้ ท่านก็จะตามมาช่วยเหลือและดูแลเรา ส่วนมากจะเรียกว่า “ มีองค์ หรือ องค์ใน ” บางคนมีความเกี่ยวข้องกันก่อนสมัยพระพุทธองค์เสียอีก

ถ้าหากมีมารขวาง ท่านก็ช่วยเราไม่ได้อีกเช่นกันเผลอ ๆ มารก็จะปลอมเป็นองค์ใน หรือ ตัวของท่านเสียเลย ตาเนื้อของมนุษย์มองไม่เห็น จึงคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีจริง ทำให้เกิดความไม่เชื่อ พอไม่เชื่อบางคนก็ลบหลู่ ผลกรรมก็จะเกิดกับตัวของเขาเอง จะส่งผลก็ต่อเมื่อกรรมที่เป็นอกุศลในตัวของเขาส่งผลหรือว่าบุญของเขาหมดก่อนนั่นแหละ ทุก ๆ วันนี้ต้องพูดด้วยเหตุผลและหลักฐานจึงจะยอมรับกัน

แต่บางสิ่งบางอย่างในโลกนี้ ก็หาหลักฐานและเหตุผลมาพิสูจน์ไม่ได้เหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องของนาม เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ การที่จะสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ได้ จิตจะต้องได้รับการฝึกจิตมาดีพอสมควรทั้งในเรื่องของทาน ศีล สมาธิและธรรม ฝึกจนจิตได้ญาณ อย่าลืมนะว่าคนที่คอยช่วยเหลือเราก็คือ เทวดาประจำตัวของเราและเทพเทวดาที่มาสร้างบารมีร่วมกับเรา แต่ในที่นี้ต้องไม่มีมารแทรกอยู่ เขาถึงจะช่วยเราได้เต็มที่ 


ทำไมเราจึงเห็นคนบางคนมีองค์หรือมีอะไรแฝงอยู่ซึ่งไม่เหมือนกับคนธรรมดามีที่มาพอจะเล่าให้ทราบย่อ ๆ คือ มีอยู่ครั้งหนึ่งพระอานนท์ได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า อีกนานเท่าไรคำสอนของพระพุทธองค์จะหมดไปจากโลกนี้ พระพุทธองค์ตอบ พระอานนท์ว่าอีก ๕,๐๐๐ ปี เมื่อทราบว่าเป็นเช่นนี้พระภิกษุ พระภิกษุณี สามเณร อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้ขอทำนุบำรุงดูแลรักษาคำสอนทางพระพุทธศาสนา ๒๕๐๐ ปี ส่วน ๒,๕๐๐ ปีหลังเหล่าองค์เทพเทวดาทั้งหลาย ขอลง มาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาต่อจากมนุษย์ทั้งหลายเป็นเวลา ๑,๒๕๐ ปีและส่วนที่เหลืออีก ๑,๒๕๐ ปี

สุดท้าย พวกยักษ์ พวกมาร ขอลงมาทำนุบำรุงดูแลพระพุทธศาสนาในช่วงสุดท้ายแทนต่อจากเหล่าเทพเทวดา จึงต้องทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ต้องหมดไปเพราะพวกยักษ์ พวกมารย่อมไม่ทำให้เจริญแน่นอนซึ่งในช่วงนี้ก็เป็นช่วงของเหล่าเทพเทวดาลงมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เวลาก็ได้ผ่านไปแล้วในปัจจุบันนี้ผ่านได้ ๔๘ ปี ที่เข้าสู่ช่วงเหล่าเทพเทวดา


เราจะเห็นว่าในปัจจุบันจะมีการค้าพระพุทธขุดพระธรรมและก็ยำพระสงฆ์ให้เห็นกันอยู่ประจำ

- ค้าพระพุทธหมายความว่า มีการหล่อ กดพิมพ์พระพุทธรูปขายกันเป็นสินค้ากันและก็วางขายกันอย่างกับ ไม่ใช่ของสูงที่เคารพบูชาอย่างนั้น
- ส่วนขุดพระธรรมก็หมายถึง การพิมพ์ ตำรับตำราขายกันจริงบ้างหลอกบ้าง ส่วนยำพระสงฆ์ทุกท่านก็คงเห็นข่าวทางสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ทำลายภาพพจน์ของพระสงฆ์ทำลายความศรัทราของชาวพุทธที่มีต่อพระศาสนาลงไปเรื่อย ๆ



ส่วนเหล่าเทพเทวดาก็ยังทำ อะไรได้ไม่เต็มที่ เพราะเทวดาเป็นแค่ดวงจิต ดวงวิญญาณ ไม่มีร่างกาย ฉะนั้นการที่จะมาทำงานตรงนี้ได้ ให้สำฤทธิ์ผลก็จะต้องมีร่างกายที่สามารถจับต้องและเคลื่อนไหวได้ ท่านก็เลยต้องหาร่างและร่างที่ดีที่สุดก็คือร่างของมนุษย์นี่แหละ จู่ๆท่านจะไปเอาหรือยึด ใครมาเป็นร่างของท่านเลยทันทีไม่ได้ ผู้ที่จะเป็นร่างของท่านได้นั้น ในอดีตจะต้องเป็นสายเลือดมี ความผูกพันกันมาก่อนเช่น ลูกศิษย์กับอาจารย์เป็นต้น บางทีเราไม่ยอมรับท่าน ท่านก็จะทำให้เรา ต้องยอมรับท่านให้ได้

ถ้าหากเราไม่รู้ท่านก็จะทำให้เรารู้จนได้ ก็ทำให้เราเดือดร้อน เป็นทุกข์มีปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้งการเงิน การงาน สุขภาพ ทำให้เราเจ็บป่วยหมอก็หาสาเหตุของโรคไม่เจอ คนที่มีและเคยผ่านประสบการณ์ตรงนี้ก็มีมากเหมือนกันและก็ไม่สามารถที่จะพูดและอธิบายให้ใครๆฟังได้คน ที่เจอกับตัวเองจริงๆ ถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร พอมนุษย์บางคนมีตรงนี้แล้ว ก็ต้องพากันสร้างบุญบารมีทั้งตัวมนุษย์และเทวดา ไม่ใช่ว่ามาข่มและอวดบารมีกันว่า ข้าองค์ใหญ่ ท่านองค์เล็ก ของข้าบารมีเยอะของท่านบารมีน้อย ข้ามาก่อนส่วนแกมาทีหลัง

พอมนุษย์เป็นอย่างนี้ มารก็ได้โอกาสชิงเป็นตัวของท่านไปเสียเลย ทำให้เสียทั้งคนและเสียทั้งเทวดาไปเลย เทวดาก็เลยหมดโอกาสที่จะได้สร้างบุญบารมีและมารก็จะพามนุษย์คนนั้นให้ตกต่ำไป ยิ่งตัวมนุษย์ไม่มี ศีล มีธรรมแล้ว มารยิ่งมีพลังมาก พอตัวของเรามีปัญหาเขาจะทักเราว่า “ มีองค์ ” จะต้อง ทำการรับขันธ์และเสริมบารมี

อาจารย์ขอบอกตรงๆ ว่าอย่าทำและอย่ารับเด็ดขาดคุณ จะถูกสะกดเป็นบริวารและก็เทวดาของคุณด้วย ถ้าใครรับแล้วให้ทำการถอนขันธ์เสีย เขาจะเอาบริวารของเขาใส่ไว้ในขันธ์ คอยสืบข่าวดูเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเรา ว่าเป็นอะไรอย่างไร พอเราเข้าไปหาเขาเขาก็จะถามบริวารของเขาที่อยู่กับเรา มันจะรายงานเขาหมดเลย เราก็เลยเห็นว่าเขาเก่ง ดูแม่น รู้ไปหมดทุกอย่างเลยเกี่ยวกับตัวเรา สังเกตดูคุณจะดีในช่วงแรก ๆ เท่านั้น

หลังจากที่เข้าไปหาเขาแล้ว ต่อจากนั้นคุณก็จะต้องเข้าไปหาเขาอีก ส่วนเวลาที่เหลืออีกหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบปีหลังที่เหลือ พวกลูกยักษ์หลานมาร ขอมาเป็นผู้ทำนุบำรุงดูแลพระพุทธศาสนาในช่วงสุดท้าย ที่นี้ไม่ต้องพูดและคิดแล้วว่า อะไรจะเกิดขึ้น กับคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ว่าจะเป็นอย่างไร ขณะที่พระพุทธองค์ ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ พวกมารยังขัดขวางและจะทำลายเลย พระพุทธองค์ใครขอใคร นิมนต์อะไรท่านก็ทรงให้หมด

หลังจากช่วงที่พวกลูกยักษ์หลานมารเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้แล้ว สังคมมนุษย์ก็จะเข้าสู่กลียุคไปเรื่อยทุก ๆ วัน มนุษย์จะห่างไกลจากคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ไม่มีศีล เข่นฆ่ากัน ขาดการปฏิบัติธรรม ไม่มีความเชื่อความศรัทธาในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ว่าปฏิบัติแล้วจะมีความสุขความเจริญได้ จริงความเชื่อความศรัทธาก็ลดน้อยลง พอพลังศรัทธาหมดลดน้อยลง ผู้ที่เป็นพระ ที่มีหน้าที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาก็ต้องออกทำมาหา กิน ปลูกผักปลูกหญ้าและหุงหาอาหารกินกันเอง เวลาที่จะ ไปศึกษาธรรม และปฏิบัติธรรมก็ไม่มี


สุดท้ายที่สุดก็เหลือผ้าเหลืองน้อยห้อยหู ห้อยคอ หรือผูกข้อมือเอาไว้เป็นเครื่องแสดงว่านี่แหละคือพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา มีไว้เป็นผู้ประกอบหรือทำพิธีกรรมต่างๆเท่านั้น หลังจากครบ ๕,๐๐๐ ปีแล้วคำสอนก็หมดไป มนุษย์ก็เข้าสู่กาลของกลียุค มนุษย์จะไม่มีศีลไม่มีธรรม อยู่กันอย่าง สัตว์ดิรัจฉานไม่รู้จักพ่อ ไม่รู้จักแม่ไม่รู้จักลูก พอแต่งงานกันได้ลูกหญิงหรือลูกชาย พอลูกโตขึ้น พ่อก็เอาลูกหญิงเป็นภรรยาแม่ก็เอาลูกชายเป็นสามี พี่เอาน้อง น้องเอาพี่ สังคมของมนุษย์จะเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น เริ่มจากคนรอบข้างก่อนหลังจากนั้นก็คนที่ไกลตัวออกไป ท้ายสุดก็ตัวใครตัวมัน ความผูกพันในสายเลือดก็หมดไป

ในปัจจุบันก็เริ่มเกิดขึ้นแล้ว เหตุการณ์เหล่านี้จะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ จนกว่ามนุษย์จะมีอายุขัยเพียง ๑๐ ปีแล้วก็จะตาย พออายุได้ปีสองปีก็ต้องมีครอบครัวกันแล้ว ตอนนั้นมนุษย์จะตัวเตี้ย จะต้องสอยพริกสอยมะเขือกิน จะเข่นฆ่ากันเอง หลังจากนั้นมนุษย์ก็เริ่มรู้ว่าอะไรชั่วและอะไรดีแล้ว ก็หันกลับมารักษาศีล มาปฏิบัติธรรม กันชีวิตของมนุษย์ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากสิบปี เป็นยี่สิบ สามสิบ เป็นร้อย เป็นพันเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นโกฏิ จนถึงหนึ่งอสงไขย

พออายุยืนนานมาก มนุษย์ก็ไม่รู้จักความตายจึงเกิดความประมาท อายุก็ลดลงมาๆจนถึงแปดหมื่นปีถึงจะตาย กาลนั้นแหละก็จะเป็นยุคของพระศรีอาริยเมตไตรย จะเป็นยุคเริ่มต้นของมนุษย์ที่มี ศีลธรรมเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด ส่วนผู้ที่ปรารถนาจะไปเกิดในยุคของพระศรีอาริเมตไตรก็ให้ทำดังนี้คือ

๑. รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์
๒.ฟังเทศน์พระเวสสันดรสิบสามกัณฑ์ให้จบภายในหนึ่งวันและหนึ่งคืน
๓.ให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้ได้ไปเกิดร่วมพระชาติเดียวกันกับพระองค์ท่าน


ตอนนี้ท่านเป็นเทพ อยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ( ชั้น ๔ ) พอหมดบุญจากสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว จะมาจุติยังโลกมนุษย์อีกครั้งเพื่อจะมาสร้างบำเพ็ญทานบารมี มีเช่นเดียวกับพระเวสสันดร พอดับจากชาติที่ บำเพ็ญทานบารมีนี้แล้ว ก็จะไปจุติยังสวรรค์ชั้นดุสิตอีก

หลังจากนั้นจึงจะมาจุติยังโลกมนุษย์อีกครั้ง มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายในจักรวาลนี้ มีพระนามว่า “สมเด็จพระศรีอาริเมตไตร” แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะหมดและมีเพียงเท่านี้ยังมีอีกอย่างน้อยก็อีก ๘ ถึง ๙ พระองค์ เรายังจะต้องเวียนตายเวียนเกิดกันอีกนาน...........

ทวดาที่จะมาสร้างบารมี ของเราเป็นใคร? มีพระนามว่าอะไร ? น้อมจิตน้อมใจรับรู้และตั้งรับองค์ท่านเสีย พากันให้ทาน พากันรักษาศีล พากันเจริญสมาธิและศึกษาธรรม ทำให้ถูกต้อง ความสุข ความสบาย ความเจริญ ทรัพย์สินเงินทอง ความร่ำรวย สุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงทุกสิ่งทั้งหมดทั้งหลายจะได้ตกอยู่ที่ตัวของเรา โดยการสร้างบารมีของเราไปพร้อมกับพระองค์ท่าน ……



ที่มา:
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.kontatip.com/
http://board.palungjit.com/f2/คุณรู้ไหมคนเราทุกๆคนนั้นมีเทวดาประจำตัวคอยดูแลเราอยู่-17820.html
http://palangjai.0fees.net,http://www.meetham1.com,http://uc.exteenblog.com

139: หมั่นบูชาเทวดาประจำตัว ชีวิตจะพบแต่เรื่องดี


หมั่นบูชาเทวดาประจำตัว ชีวิตจะพบแต่เรื่องดี
โดย ธ. ธรรมรักษ์

คนบางคนนั้น เวลาที่อยู่ในช่วงที่วิบากกรรมไม่ดีนั้นส่งผล ก็จะรู้สึกว่าตนเองนั้นพบกับความเดือดร้อนหรือต้องเจอกับเคราะห์กรรมใดๆ ที่หนักและรุนแรงน้อยบ้างหนักบ้าง แตกต่างกันตามที่การกระทำที่ทำมา แต่มีหลายครั้งที่ ดูเหมือนจะไม่รอดแน่ แต่ทำไมถึงรอด และผ่านเคราะห์กรรมนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด หลายท่านเคยสงสัยในเรื่องนี้หรือไม่
บางคนก็อาจจะรู้หรือนึกเอาว่า ต้องเป็นเพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดาประจำตัวคอยช่วยเหลือ หรือแม้แต่เวลาที่จะมีความสุขใดๆ ก็มักจะคิดว่าเป็นเพราะเทวดาประจำตัวของท่านนั้นบันดาลมาให้

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะทุกคนนั้นมีเทวดาประจำตัวแน่นอน

แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ซึ่งเราต้องรู้ก่อนว่า เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นหรือเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นนั้น เหตุมาจากกรรมที่เราทำไม่ได้มาจากอำนาจของเทวดาแต่ประการใด ถึงแม้ท่านจะมีความศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีอำนาจก็จริง แต่ท่านไม่มีหน้าที่จะมาเบี่ยงเบนกรรมของผู้ใดทั้งสิ้น

ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม

ไม่ว่าเทวดาหรือใครทั้งนั้น แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรายังต้องยอมรับกรรมทั้งดีและไม่ดี จนพระพุทธองค์หลุดพ้นจากการเวียน ว่าย ตาย เกิดไปแล้ว กรรมทั้งหมดจึงยุติเพราะไม่รู้ว่าจะไปส่งผลให้กับใคร

เทวดาท่านทำเพียง จะช่วยในการดลใจให้ทำดีหรือไม่ให้ทำความชั่ว หรือคอยอวยพรให้เราพบกับสิ่งที่ดีดีในชีวิต ปกป้องดูแลไม่ให้ดวงวิญญาณอื่นมาทำร้ายเราโดยไม่มีเหตุผล

สำหรับเทวดาที่เราเข้าใจกันว่าเป็นเทวดาประจำตัวนั้นจริงๆ แล้ว ท่านไม่ได้อยู่คอยติดตามตัวเราหรือสิงอยู่ในตัวเราอย่างที่หลายคนๆ เข้าใจ

เพราะการเกิดเป็นเทวดาตามที่ได้กล่าวมานั้น จะต้องบำเพ็ญบุญกุศลคุณงามความดีมากมายกว่าจะได้ไปบังเกิดในภพภูมิที่เป็นสุขอย่างนั้น แล้วลองนึกภาพตามดูว่าถ้าจะให้เทวดาเหล่านั้นท่านต้องมาคอยตามดูแลเป็นองครักษ์คอยพิทักษ์ปกปักรักษาคนที่เป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลา ก็คงจะเป็นไปไม่ได้

เพราะตัวท่านเองก็ต้องเร่งสร้างบุญบารมีและมีกิจหน้าที่เหมือนกันเพื่อที่จะเลื่อนขั้นไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า อย่างที่บอกแล้วว่าเทวดาท่านก็ต้องมีหน้าที่คือ เทวดาบางองค์ท่านต้องมีหน้าที่ไปเฝ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปเฝ้าวัด เฝ้าพระพุทธรูป ศาลหลักเมือง ไปคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรมและมีคุณงามความดีที่ต้องปกป้องรักษา หรือถ้าไม่มีหน้าที่ ท่านก็ต้องบำเพ็ญบุญบารมีไปหรืออาจะไปเที่ยวสวรรค์เล่นก็เป็นเรื่องของท่าน

และที่สำคัญภพภูมิของท่านหรือสวรรค์ของท่านนั้นอยู่สูงกว่ามนุษย์ ครูบาอาจารย์หลายท่านกล่าวต้องกันว่า ร่างกายของมนุษย์นั้นเหม็นมาก เพราะกินสัตว์ทุกประเภทและทำผิดศีลมากมาย เทวดาที่มีบุญบริสุทธิ์นั้นไม่อยากเข้าใกล้ และอยู่กับคนที่เหม็นไม่ได้แน่นอน ต้องอยู่ให้ห่างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเทวดามาสิงในร่างกายคน



แต่หลายคนเชื่อว่า ยังไม่แน่ใจว่าเทวดาประจำตัวนั้นมีจริงหรือเปล่า ขออย่าพึงปฏิเสธหรือยอมรับให้ยึดหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์เป็นที่ตั้ง อย่าเพิ่งเชื่อในเรื่องใดๆ ขอให้พิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง ถ้าเราพูดกันถึงเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้ คนที่จะตอบเราได้ดีที่สุดก็คือ ตัวเราเองครับ ว่าเรามีความรู้สึกหรือเคยได้สัมผัสสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตแต่หาที่มาไม่เจอ หรือเรื่องเหนือธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์นั้นยังพิสูจน์ไม่ได้

อย่าลืมนะครับว่า วิทยาศาสตร์นั้นเป็นแค่ศาสตร์ชนิดหนึ่งที่มีหลายศาสตร์มากมายทั่วโลก ที่พยายามจะตอบปัญหาของธรรมชาติให้คนได้รู้ได้เข้าใจ ถึงที่ไปที่มา แต่มีเรื่องราวมากมายที่วิทยาศาสตร์นั้นยังตอบไม่ได้ หรือหาเหตุผลไม่ได้

แต่ทว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีอยู่จริง

ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ในเรื่องของการทำสมาธิและพลังจิตนั้น ที่ศาสนาพุทธได้ค้นพบและประกาศออกไปเพื่อความสุขจริงของมวลสรรพสัตว์ทั้งหลายกว่า 2,500 ปี ถึงประโยชน์สุขมหาศาลที่คนที่ปฏิบัติแล้วจะได้รับทั้งทำให้มีจิตใจกล้าแกร่ง เกิดปัญญาแก้ทุกปัญหาได้ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง รักษาและฟื้นฟูร่างกายที่เจ็บป่วยได้แบบที่พระอริยสงฆ์ท่านใช้รักษาตัวกันบ่อย เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะเคยได้ยินกันมาบ้าง

เรื่องแบบนี้วิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบเมื่อร้อยกว่าปีนี้ที่ค้นพบว่าการทำสมาธิในขั้นที่ลึกแล้ว จะทำให้อวัยวะภายในร่างกายทำงานได้ช้าลงและดีขึ้น อีกทั้งช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ หัวใจก็แข็งแรง เป็นต้น

และเรื่องการเกิดของสิ่งมีชีวิต พระพุทธเจ้าค้นพบมานานเป็นพันๆ ปี มีบรรจุอยู่ในพระไตรปิฎกเรื่องการเกิดของเหล่าสรรพสัตว์ นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบการเกิดของสัตว์ตัวเล็กๆ บางชนิด เชื้อโรคต่างๆ เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง เรื่องนี้จึงพอจะยืนยันได้อีกเรื่องว่า ในบางเรื่องที่เหนือความเข้าใจ วิทยาศาสตร์ยังเข้าไปไม่ถึงแน่นอน

และการมีอยู่ของเทวดาที่อยู่คนละภพภูมิหรือคนละชั้น แล้วการลงมาช่วยเหลือมนุษย์นี่ก็มีความเป็นไปได้ การช่วยเหลือกันข้ามภพข้ามชาตินั้น ที่สัตว์อีกชั้นหนึ่งไปช่วยสัตว์อีกชั้นหนึ่ง (เทวดา ดวงวิญญาณที่เราเรียกว่าผี มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ต่างล้วนเป็นสัตว์ด้วยกันทั้งนั้น แตกต่างที่คำเรียกตามภพภูมิเท่านั้น)

ก็เหมือนกับการที่เราเป็นมนุษย์อยู่แล้วไปช่วยสัตว์เดรัจฉานอย่างเช่น คนไปเก็บแมวหมาจรจัดมาเลี้ยง การไปช่วยช้างเคราะห์ร้ายที่ตกบ่อให้ขึ้นมาจากหลุมหรือท่อระบายน้ำ หรือการช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของสัตว์หลายๆ ประเภทอย่างนี้เป็นต้น

คือแม้จะอยู่ภพชาติเดียวกันแต่เป็นการช่วยเหลือต่างภูมิกัน คือเราเป็นมนุษย์มีภูมิสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานลงไปช่วยมัน ซึ่งสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่านี่เป็นฝีมือของมนุษย์ที่มาคอยช่วยเหลือ

เหล่าเทวดาก็เช่นเดียวกันครับ ท่านอยู่ในภพภูมิที่ทั้งแตกต่างและอยู่สูงกว่าอาจจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับมนุษย์ได้ เทวดาท่านก็มีสังคมของท่านเหมือนกันในบางชั้นสวรรค์ มีทั้งเพื่อน มีสามีภรรยา มีเจ้านาย มีบริวารที่มีความรักผูกพันกัน

เหล่าญาติหรือคนรู้จักของท่านอาจจะจุติมาเกิดในโลกมนุษย์ รวมถึงความห่วงใยในญาติที่ครั้งหนึ่งที่ท่านเคยเกิดมาเป็นคนก่อนที่จะมาเป็นเทวดา

เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านก็ยังมีกิเลสมีความห่วงหาอาทรเหมือนกับคนเรา อาจคอยดูแลสอดส่องทุกข์สุขโดยการรับรู้ด้วยความเป็นทิพย์เพราะท่านมีหูทิพย์ ตาทิพย์หรือความรู้สึกอันเป็นทิพย์ เทวดาท่านก็จะรู้ขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครมาบอกว่า เกิดเรื่องร้ายแรงหรือมีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นกับญาติมิตรที่รักของท่าน

เทวดาท่านมีแต่กายทิพย์ไม่มีกายเนื้ออย่างคนเรา การให้ความช่วยเหลือของท่านส่วนใหญ่จะเป็นการ “ดลจิตดลใจ” หรือโน้มน้าวให้ญาติมิตรเหล่านั้นให้เปลี่ยนจิตที่เป็นอกุศล ที่กำลังจะตกไปอยู่ในอบายภูมิให้กลับกลายเป็นจิตกุศลและมีความสุขขึ้นได้ เช่น หากญาติมิตรที่กำลังโกรธจัดเพราะเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ท่านก็แผ่เมตตาส่งบุญกุศลลงมาดลจิตใจให้สงบเยือกเย็นลง

เคยหรือเปล่าครับที่เวลาที่กำลังโกรธใครหรือกำลังร้อนใจอะไรอยู่กับสิ่งนั้นมากๆ จู่ๆ ก็รู้สึกเยือกเย็นลง ได้อย่างน่าประหลาดเช่นเมื่อได้ก้าวเข้าไปสู่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ อย่างเช่นในวัดวาอารามใหญ่ๆ พอเข้าไปแล้ว รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นสว่างไสว

ทำให้จิตที่กำลังขุ่นข้องหมองใจนั้นก็กลับสงบเยือกเย็นลงเป็นลำดับ ซึ่งเป็นเพราะเทวดาที่อยู่ในบริเวณที่แห่งนั้นได้แผ่เมตตาลงมาให้ทำให้รู้สึกสงบเย็นลง และค้นพบวิธีการแก้ปัญหาหรือพบกับคนที่จะช่วยเหลือให้รอดพ้นไปได้จากปัญหาเหล่านั้น



เรื่องเหล่านี้เป็นการดลใจของเทวดาแน่นอน ทั้งดลใจเราและดลใจคนที่จะช่วยเราได้ ให้มีความเมตตา มีความพร้อมในเรื่องที่จะช่วยมาเจอกัน เรื่องนี้ขอให้ไปดูเรื่องของเชื่อมบุญที่อยู่ในบทต่อไป จะเข้าใจทันทีว่าทำไมต้องเชื่อมบุญกับเทวดา

(หากต้องการทราบเรื่องรายละเอียดและความเข้าใจที่ลึกซึ้งในเรื่องเชื่อมบุญ ขอแนะนำว่าลองไปหาหนังสือ “ปาฏิหาริย์เชื่อมบุญ” ทั้งเล่มที่ 1 และ 2 ของ ธ.ธรรมรักษ์ ตามร้านหนังสือชั้นนำ มาอ่านท่านจะเข้าใจทั้งหมด)

การดลใจของเหล่าเทวดาก็ยังมีหลายระดับขึ้นอยู่กับฤทธิ์ของเทวดาเอง และก็กิเลสที่อยู่ในตัวคนๆนั้นด้วยหากเป็นคนมีกิเลสหนาโทสะมากๆ ถูกความมืดในจิตครอบงำเสียเต็มแน่นทำให้เห็นผิดได้อย่างรุนแรงอย่างนี้เทวดาก็ไม่อาจดลใจช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกันดุจดังความดีหรือแสงสว่างจะไม่สามารถแทรกลงไปกรรมชั่วหรือความมืดมิดได้
ขอยกตัวอย่างในเรื่องของเทวดาท่านดลใจ ที่เกี่ยวข้องกับอริยบุคคลในสมัยพุทธกาลอีกสักหนึ่งเรื่องครับเรื่องราวนี้เป็นเรื่องของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งความจริงแล้วท่านมีนามเดิมว่า “สุทัตตะ” แต่เพราะความใจบุญชอบทำทานแก่คนยากคนจนมากจึงได้ชื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐี นี้มาซึ่งแปลว่า “เศรษฐีผู้มีก้อนข้าวให้คนยากไร้” ท่านมีกองคาราวานสินค้าเดินทางไปทั่วชมพูทวีป ค้าขายอย่างตรงไปตรงมาสร้างบุญกุศลมาโดยตลอด

วันหนึ่งท่านก็ได้ไปค้าขายที่เมืองราชคฤห์และได้พบกับน้องเขยของท่านนามว่า ราชคฤห์เศรษฐี (ในบางคัมภีร์ ผู้รู้กล่าวว่าท่านเป็นเพื่อนกัน) ทุกครั้งที่ท่านเดินทางไปก็จะต้องไปพักกับคนผู้นี้เสมอ ภายหลังได้ทราบว่า น้องเขยผู้นี้จะนิมนต์พระภิกษุสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธานมาฉันภัตตาหารที่บ้าน

ก็เกิดความดีใจมาก อยากจะนมัสการพระพุทธเจ้าในทันที แต่เพราะพระพุทธองค์ยังทรงประทับอยู่ในป่าสีตะวันยังไม่สะดวกจะให้ใครเข้าพบ น้องเขยจึงได้บอกให้ไปพักผ่อนรอก่อนในวันถัดไป

ด้วยความตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบพระพุทธองค์ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีถึงกับหลับแล้วตื่นถึง 3 ครั้งในคืนนั้นพอครั้งสุดท้ายที่ตื่นขึ้นมา จู่ๆ ท่านก็เดินออกไปนอกเมืองไปยังป่าสีตวัน ทั้งๆ ที่ยังเป็นเวลามืดและประตูเมืองก็ยังไม่เปิดเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะเหล่าโอปปาติกะ (เทวดาพวกหนึ่ง) ช่วยกันเปิดประตูเมืองให้ท่านเศรษฐีเดินออกไปข้างนอกเมืองได้และทำให้เห็นว่าเวลานั้นเป็นเวลารุ่งสางแล้วแต่พอพ้นประตูเมือง ท้องฟ้าก็กลายเป็นเวลามืดอย่างเดิมอีก

ท่านเศรษฐีตกใจกลัวคิดจะกลับเข้าเมืองตามเดิม แต่ก่อนที่จะกลับก็มีเสียงของ “สิวกยักษ์” (เทวดาพวกหนึ่ง) มากล่าวเตือนให้ท่านเศรษฐีให้ก้าวเดินไปยังข้างหน้าอย่าได้ถอยกลับ เพราะการก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าวนั้นเป็นก้าวย่างที่จะเดินทางไปสู่หนทางที่ประเสริฐ พอสิ้นเสียงนั้นความมืดก็หายไป ท่านเศรษฐีก็เดินเข้าไปในป่าต่อไปได้

พอเดินไปได้สักหน่อยความมืดตามปกติก็เข้าปกคลุมอีก เสียงของสิวกยักษ์ก็ดังก้องขึ้นมาให้ก้าวต่อไปเรื่อยๆ ความมืดก็หายไปอีกสลับกันไปอยู่อย่างนี้ ด้วยเหตุที่เกิดความมืดและความสว่างสลับกันหลายครั้งทำให้ท่านเศรษฐีเกิดความท้อใจ แต่สิวกยักษ์ ก็กล่าวให้กำลังใจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินทางมาจนถึงป่าสีตวันได้เป็นผลสำเร็จ

ในขณะนั้นเป็นเวลาที่จวนจะรุ่งสางแล้ว พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จจงกรมอยู่ เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ทรงประทับนั่งเหนือก้อนหินแล้วกล่าวเชิญให้ท่านเศรษฐีมาเข้าเฝ้าด้วยพระองค์เองโดย พระพุทธองค์กล่าวชื่อ “สุทัตตะ” ได้อย่างถูกต้องทั้งๆ ที่เป็นการพบกันครั้งแรกสร้างความยินดีและเลื่อมใสในตัวพระพุทธองค์แก่ อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นอย่างมาก

จากนั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมพื้นฐานเป็นการเบื้องต้นให้ เมื่อเล็งเห็นแล้วว่า สุทัตตะมีความเลื่อมใสในธรรมจริงจึงแสดงอริยสัจ 4 โปรดแด่สุทัตตะ เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว สุทัตตะก็เกิดความซาบซึ้งในพระธรรมก้าวพ้นซึ่งความสงสัยในคำสอนของพระองค์ได้บรรลุเป็นอริยบุคคลมีดวงตาเห็นธรรม บรรลุกลายเป็นพระโสดาบันทันที



หลังจากนั้นท่านเศรษฐีก็ประกาศปวารณาตนเองเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา แล้วจึงกราบอาราธนาพระพุทธองค์ไปฉันภัตตาหารพร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งพระองค์ก็ทรงรับโดยดุษณีภาพ (หมายความว่า แสดงอาการนิ่งเป็นการยอมรับ) นี่คือเหตุการณ์การพบกันครั้งแรกระหว่างพระพุทธองค์กับอนาถบิณฑิกเศรษฐี

ตัวอย่างเรื่องราวนี้ชี้ให้เห็นว่า เทวดาประเภทยักษ์อย่าง สิวกยักษ์ได้ทำการดลจิตดลใจของเศรษฐีให้ท่านได้มาพบกับพระพุทธองค์จนได้แสดงธรรมแก่ท่านจนได้บรรลุธรรมในชั้นต้นของพระพุทธศาสนาเป็นการสร้างบุญอันยิ่งใหญ่ซึ่งผลบุญนี้ก็จะตกไปถึงสิวยักษ์ตนนั้นด้วย

แปลความง่ายๆ ว่า การทำบุญของเทวดาท่านก็จะทำบุญด้วยวิธีนี้ใช้การดลจิตใจให้กับผู้ที่มีบุญวาสนาที่มีบุญเชื่อมโยงถึงกันจึงเป็นเหตุให้มาสร้างบุญใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนคนที่จิตใจไม่ดีคิดแต่เรื่องอกุศล ต่อให้เทวดามีฤทธิ์แค่ไหนก็ไม่อาจช่วยเหลือได้อย่างแน่นอน

นอกจากเรื่องเทวดาประจำตัวแล้วยังมีเรื่อง “เทวดาเจ้าที่” อีกต่างหากด้วยครับ เทวดาเหล่านี้ท่านมีหน้าที่ดูแลสถานที่เหล่านั้นให้ร่มเย็นเป็นสุข ยกตัวอย่างเช่นคนที่เคยไปนอนตามวัดวาอารามต่างๆ เพื่อฝึกปฏิบัติธรรมอาจเคยเจอเหตุการณ์ประเภทที่ทำให้รู้สึกว่า ถูกกระตุกขาหรือได้ยินเสียงอะไรที่แปลกๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนมาเตือนสติหรือดลจิตใจให้ไปทำอะไรสักอย่าง

หรือแม้กระทั่งมาสะกิดเตือนก็มีให้เห็นมามากรายแล้ว รูปแบบของการสื่อสารระหว่างคนกับเทวดาจึงมีทั้งการดลจิตใจ การปกป้อง ไปจนถึงการสะกิดเตือนตรงๆ

เรื่องของความเชื่อเกี่ยวกับเทวดาประจำตัวนี้ ไม่ว่าคุณผู้อ่านจะเคยมีความเชื่ออย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรกระทำก็คือ หมั่นทำความดีสร้างบุญบารมีเท่าที่ทำได้ทั้งทาน ศีล ภาวนา อย่าไปสงสัยในเรื่องของบุญและกรรมจนทำให้จิตใจตกต่ำ และหมั่นฝึก “สติ” ของเราเองให้เกิดความเข้มแข็ง สร้างฤทธิ์ทางใจให้แข็งแกร่ง มีหิริโอตัปปะประทับอยู่ในจิตใจ เป็นการต้านทานบาปและหันมาต้อนรับการทำบุญทั้งปวงจะเป็นการดีที่สุด

การผูกพันระหว่างมนุษย์และเทวดานั้นเป็นเรื่องที่มีอยู่จริง และทุกคนมีเทวดาประจำตัวที่เคยเป็นบรรพบุรุษ พ่อแม่พี่น้อง ยาติมิตร สหายที่คอยห่วงใยและพร้อมจะช่วยเหลือเมื่อยามมีภัย คอยดลใจให้สร้างกรรมดียิ่งขึ้นไป เพราะท่านเหล่านั้นทราบดีว่า บุญนั้นเป็นที่พึ่งได้จริง

ยิ่งในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเคยอธิษฐานจิตให้ผูกพันกันกับอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ต้องมีการติดตามไปเฝ้าดูอยู่ตลอดเหมือนเชือกที่โยงติดกัน แต่เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหมดบุญในการอธิษฐานหรือทำการเปลี่ยนแปลงตนเองให้ตกต่ำลงสายใยที่เคยผูกโยงไว้ด้วยบุญก็จะขาดออกจากกัน

ทางที่ดีที่สุดเพื่อความไม่ประมาท เพราะเราไม่รู้ว่าวิบากกรรมไม่ดีจะมาส่งผลเมื่อใด ขอโปรดหันมาทำความดีละเว้นความชั่ว เพื่อเป็นการสร้างเกราะป้องกันตัวจากสิ่งเลวร้ายต่างๆ และลด ละ เลิก หลีกหนีเว้นในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลายจะดีกว่า

เพราะการเอาแต่นั่งรอให้เทวดาประจำตัวมาช่วยเพียงอย่างเดียว เป็นเรื่องที่ไม่สมควรและประมาทในเรื่องของกรรมมาก เทวดาประจำตัวท่านไม่อาจจะช่วยได้เลย หากตัวเราไม่มีบุญเป็นฐานหรือกำลังสนับสนุนที่เพียงพอ

ยิ่งเราเป็นผู้มีบุญมาก เทวดาท่านก็ยิ่งจะสื่อสาร ดลใจช่วยเหลือเราได้มากขึ้น เพราะเข้าออกในจิตใจเราได้สะดวกไม่มีกรรมชั่วมาขวางกั้นเอาไว้


เคล็ดวิธีการบูชาเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นก่อนที่จะบูชาเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ตามขอให้พึงระลึกเรื่องหนึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญก่อนครับ เรื่องสำคัญที่ว่านี้ก็คือเรื่อง “กรรม” พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้และมีบันทึกในพระไตรปิฎกที่ปรากฏอยู่ในจูฬกรรมวิภังคสูตรในมัชฌิมนิกาย พระสุตตันตปิฎกมีใจความว่า

“สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนกำเนิด มีกรรมเป็นเครื่องติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์เลวและประณีตแตกต่างกัน”

การที่บอกว่าเทวดาท่านช่วยให้รวย ช่วยให้สุข ช่วยให้พ้นภัยนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ท่านจะช่วยในเวลาที่คนนั้นมีบุญและกรรมดีกำลังจะส่งผลเท่านั้น เป็นการช่วยให้คนๆ นั้นเร่งสร้างกรรมดีอย่างถูกต้องที่จะส่งผลให้บุญใหม่นั้นรวมกับบุญเก่าทันเวลา ไม่ใช่ท่านเนรมิตหรือทำอะไรก็ตามให้เองโดยที่คนๆ นั้นไม่ต้องทำอะไร แบบนี้มีแต่ในนิยายเท่านั้น

การที่พิธีสำคัญต่างๆ รวมถึงการที่ทุกครั้งก่อนสวดมนต์มีการอัญเชิญเทวดามาร่วมพิธีนั้น ที่มีบทคาคาชุมนุมเทวดานั้น เป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการวมผู้มีบุญบารมีมาสร้างบุญกุศลร่วมกัน จะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น เป็นการวมพลังงานฝ่ายดี เหมือนกับรวมน้ำจากที่ต่างๆ การเป็นมหาสมุทรจะพัดพาไปที่ใดก็ร่มเย็นแล้วก็เกิดผลดี


ขั้นตอนการบูชาให้ได้ผลอย่างแท้จริง

1.ทำตนเองให้เป็นคนดี
ก่อนอื่นต้องรู้ว่า การเกิดเป็นเทวดาต้องมาจากบำเพ็ญบารมีอย่างมาก เทวดาจึงมีคุณงามความดีมากกว่ามนุษย์หลายเท่า การจะหวังให้เทวดามาดูแลมนุษย์คนใดคนหนึ่งจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ที่มนุษย์เรายังรู้สึกว่ามีความเกี่ยวข้องหรือสัมผัสถึงเทวดาได้อยู่อาจเป็นเพราะมีความสัมพันธ์กันมาในอดีต

การที่เทวดาจะมาช่วยเหลือหรือคอยติดตามนั้นเทวดาจะคอยตามโมทนาคุณงามความดีของคนที่ได้สร้างบุญกุศลให้และดลจิตดลใจให้กระทำความดี ที่จะน้อมนำไปสู่ความสำเร็จหรือภาษาชาวบ้านก็คือ เรียกว่า “มอบโชคลาภ” ให้นั่นเอง

แปลว่าการที่เราจะได้รับแรงสนับสนุนหรือส่งเสริมใดๆ ให้ประสบความสำเร็จ คนที่จะไปขอความช่วยเหลือก็ต้องมีคุณงามความดีมากพอด้วยไม่อย่างนั้นเทวดาท่านก็ช่วยไม่ได้

การที่จะขอให้ท่านช่วยเหลืออะไรนั้น มีเคล็ดสำคัญมากก็คือ เราผู้ซึ่งเป็นผู้ที่ขอต้องทำการ “เชื่อมบุญกุศลคุณงามความดีส่งไปให้ท่านเสียก่อน” เพื่อแสดงความเคารพยอมรับและให้กระแสบุญนั้นผูกพันกัน เมื่อจะมีเหตุการณ์ใดท่านจะได้ช่วยเหลือหรือดลใจได้




การเชื่อมบุญคืออะไร ทำไมต้องเชื่อม ?

การเชื่อมบุญหากจะแปลความให้พอเข้าใจง่ายๆ ก็คือ การที่เอาบุญนั้นเป็นตัวเชื่อมให้ของสองสิ่งหรือมากกว่านั้นเข้าหากัน เหมือนดังคนที่เคยมีบุญร่วมกันมาตั้งแต่ครั้งในอดีต ตอนแรกๆ คนเราเมื่อยังไม่รู้จักกันเดินสวนกัน เจอหน้ากันอย่างดีก็ได้แค่ยิ้มแล้วก็เดินผ่านเลยไป

เชื่อว่าต้องมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้รู้จักกันถึงจะมาพูดคุยกันได้ อย่างน้อยก็คำทักทายว่า สวัสดี หรือการช่วยเหลือกันเล็กๆ น้อยๆ สักอย่างทำให้ ต่างคนต่างจำกันได้ พอเวลาพบกันครั้งต่อไปก็กลายเป็นคนรู้จักหลังจากนั้น พอทำความสนิทสนมกันมากเข้าก็กลายเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ต่อกัน พัฒนาจนไปเป็นเพื่อนสนิท หรือไม่ก็กลายเป็นแฟนเป็นคู่ชีวิตกัน

เรื่องของเทวดานี่ก็เหมือนกันครับ ตอนนี้เราอาจหาอ่านข้อมูลต่างๆ จากหนังสือหลายๆ เล่ม ว่าท่านมีลักษณะอย่างไรอยู่สวรรค์ชั้นไหนรายละเอียดเป็นอย่างไร แต่เราก็ยังไม่ได้ทำความรู้จักท่านจริงๆ ท่านก็มองเห็นเราเหมือนกัน แต่ท่านก็ยังไม่รู้จักเรา คนไม่รู้จักกันจะให้มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็คงจะเป็นไปได้ยาก

เทวดากับเรา อาจจะยังคงเป็นคนแปลกหน้าหรือญาติห่างๆ ที่ความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดยังไม่ถึงขั้นที่พร้อมจะช่วยเหลือหรือเต็มใจช่วยในเรื่องสำคัญบางอย่างได้

เพราะฉะนั้น “การเชื่อมบุญ” นี่แหละที่จะเป็นตัวที่สามารถทำให้ เราสามารถรู้จักกับเทวดาได้และท่านก็จะรู้จักเรา กระชับสายใยแห่งความผูกพันและสายในแห่งบุญทั้งบุญเก่าและบุญใหม่เข้าหากัน เพื่อให้บุญนั้นมีกำลังพอที่จะส่งผล ช่วยให้พบกรรมดีได้เร็วขึ้นและช่วยคลายวิบากกรรมไม่ดีได้

ในเมื่อเรายังเป็นมนุษย์ยังอยู่ในโลกมนุษย์ ต่างภพภูมิกับท่าน ด้วยพลังบุญเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์ติดต่อสื่อสารและมีบุญที่ร่วมกันกับเทวดา ยิ่งเราเป็นผู้ชอบทำบุญกุศลแล้ว เทวดจะพึงพอใจมากถ้าลองพิจารณาคำสอนของท่านกุมารกัสสปะเถระที่ท่านสั่งสอนพระเจ้าปายาสิธิราชว่า

“เทวดานั้นไม่ชอบมาอยู่ใกล้มนุษย์ เพราะว่ากลิ่นสาบกิเลสที่มีในมนุษย์มีมากเกินไป ท่านจึงไม่อยากมาเข้าใกล้เหมือนคนที่ตกบ่อโคลนมาใหม่ๆ มาเจอกับคนที่เพิ่งอาบน้ำปะแป้ง หอมๆ มาใหม่ๆ แล้วต้องมาเจอกัน”

อีกเรื่องนี้ที่สำคัญมากคือ หากเราอยากจะรู้จักและเข้าใกล้เทวดาได้ และทำให้ท่านเข้าใกล้เราได้ก็ต้องทำตัวให้เป็นผู้มีบุญมากเหมือนกับเทวดาที่ต้องมีบุญมากไปด้วย แม้ว่าจะยังเป็นไม่ได้ในทันทีแต่อย่างน้อยก็ต้องพยายามทำให้ใกล้เคียงความเป็นเทวดาให้มากที่สุด พอเราเป็นคนดีมีคุณธรรมที่ใกล้เคียงหรือเสมอพอกับท่าน ก็จะทำให้รู้จักกันได้ง่ายขึ้น

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แห่งวัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย ท่านได้กรุณามอบธรรมะข้อหนึ่งที่จะเป็นแนวทางที่ทำให้คนเราใกล้เคียงกับความเป็นเทวดา เรียกว่า “เทวตานุสสติ”

คำว่า “เทวตานุสติ” หมายความว่า การระลึกถึงธรรมอันทำบุคคลให้เป็นเทวดา คนเราทุกคนย่อมอยากเป็นคนดี อยากเป็นเทวดา หรือแม้กระทั่งเป็นไปถึงชั้นอินทร์ชั้นพรหมมีความบริสุทธิ์ พ้นจากทุกข์ทั้งหลายไปเพื่อให้ได้เสวยแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว

แต่เมื่อเราได้เกิดมาได้เพียงเป็นเพียงมนุษย์ ก็ต้องทำความเข้าใจและพยายามที่จะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ มนุษย์โดยสมบูรณ์คือ มีทั้งอวัยวะครบบริบูรณ์ทุกประการไม่เป็นบ้าใบ้ หูหนวก ตาบอด หรือเสียจริตผิดความเป็นมนุษย์ไป

ขอให้ตั้งหลักฐานมนุษย์ที่ได้แล้วนี่ให้มั่งคงไว้ก่อนแล้วจึงค่อยนำธรรมะที่เป็นเครื่องตกแต่งให้กลายเป็นหรือใกล้เคียงกับความเป็นเทวดาต่อไป

คำพระท่านในภาษาบาลีจึงเรียกว่า “มนุสโส” เมื่อเกิดขึ้นมาเป็น มนุสโส แล้วจึงค่อยพัฒนาเป็น “มนุสสะเทโว” ต่อไป ถ้าไม่เป็น “มนุสโส” เสียก่อนแล้ว ก็เป็น “มนุสฺสะเทโว” ไม่ได้

เปรียบง่ายๆ เหมือนกับคนที่มีอาชีพต่างๆ ถ้าทำการค้าขายก็เรียกพ่อค้าแม่ค้า ถ้าทำไร่ทำนา ก็เรียกว่าชาวไร่ ชาวนา ถ้าทำราชการก็เรียกว่าข้าราชการ ฉะนั้น การที่เป็นเทวดาได้ ก็เพราะมีธรรมอันทำให้เป็นเทวดาธรรม นั้น คือ “หิริ” ความละอายแก่ใจในการทำชั่ว และ “โอตตัปปะ” ความเกรงกลัวต่อบาปนั่นเอง

ธรรมะ 2 ข้อนี้ มีความสำคัญ ผู้ที่มีความละอายต่อบาปและกลัวมัน จะงดเว้นการทำชั่วทุกประการ เพราะระลึกได้อยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ก็ตาม แม้แต่เพียงคิดเฉยๆ ว่าจะทำความชั่วอะไรสักอย่างเพียงเล็กน้อย สมมติว่าคิดจะขโมยของเขาก็ให้คิดละอายขึ้นมาในใจแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำ ยังไม่มีใครรู้ใครเห็น แต่ว่าตัวเรารู้ตัวเองอยู่ จึงละอายต่อบาปจึงไม่กล้าทำมัน เท่านี้คุณก็มีคุณสมบัติเป็น “มนุสสะเทโว” หรือเป็นเทวดาในร่างมนุษย์แล้ว

แต่ว่ามีหิริ โอตตัปปะ ที่เป็นธรรมที่ทำให้เหมือนเทวดาแล้วยังไม่พอครับ ขนาดเราเป็นมนุษย์เหมือนกันเห็นหน้ากันทุกวันบางทียังไม่เคยทักทายหรือมีโอกาสได้ทำความรู้จักกันเลย การที่เราจะทำความรู้จักสนิทสนมกันเพื่อให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันในทางต่างภพนี้ต้องมี “บุญ” เสริมเข้าไปด้วย

หลักการสำคัญที่จะทำให้การเชื่อมบุญกับเทวดานั้นสำเร็จ ตามที่เราปรารถนานั้น คือ ตัวเราเองต้องมีบุญเสียก่อน ถึงจะเชื่อมบุญได้ การที่จะมีบุญได้มีอยู่วิธีทางเดียว คือการที่เราต้องสร้างบุญขึ้นมา

การสร้างบุญใหญ่ๆ ในทางพระพุทธศาสนามีหลักสำคัญก็คือการบำเพ็ญบุญ 3 อย่างที่กล่าวไปแล้ว คือ ให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา

จากวิธีการสร้างบุญดังกล่าวทั้ง 3 วิถีทางตามแนวทางหลักของพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะทำอะไรก็ได้บุญที่ยิ่งใหญ่แตกต่างกันไป ลองทบทวนดูครับว่าตอนนี้เราได้ประกอบคุณงามความดีพร้อมที่จะเป็นผู้มีความดี มีบุญในตัวแล้วหรือยัง


หลังจากที่ได้ทำบุญคือเป็นทั้งผู้ที่เกือบมีความดีเสมอท่านแล้ว รู้จักหน้าค่าตากันแล้วอย่างสุดท้ายที่ต้องทำก็คือเอาส่งไปให้ท่านเทวดาทั้งหลายครับ เหมือนกับเวลาที่เรารู้จักคนหนึ่งคนที่คิดว่าเขาจะให้ความช่วยเหลือเราได้ เขาต้องมีอะไรดีๆ มากกว่า, รู้จักหน้าค่าตารู้หัวนอนปลายเท้าแล้วว่าเราเป็นใคร สุดท้ายก็ต้อง หยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้เขาก่อนเขาถึงจะช่วย ดังคำกล่าวที่ว่า “ผู้ที่ให้จึงจะเป็นผู้ที่ได้รับ”

การเชื่อมบุญหัวใจสำคัญก็ตรงนี้แหละครับยื่นส่งบุญให้เทวดาอย่างไร ก็คือการ “อุทิศ”ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ท่าน การอุทิศบุญกุศลนี้จะว่าไปก็เป็นหนึ่งบุญและคุณงามความดีอีกอย่างหนึ่งตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการข้อที่ว่าด้วย “ปัตติทานมัย” เป็นการบอกให้ทราบและรับเอาบุญนั้นไปใช้ได้ทันที

คุณผู้อ่านเคยได้ยินพระท่านบอกใช่หรือเปล่าครับว่าทำบุญเสร็จแล้วให้รีบอุทิศบุญให้คนอื่นไปด้วยทั้งคนทำทั้งคนรับได้เหมือนกันหมด เหมือนจุดเทียนไว้เล่มหนึ่งแล้วต่อเทียนกันไปคนให้บุญก็ไม่หมดและเป็นแสงสว่างให้คนอื่นใช้ประโยชน์ได้ด้วย

ผู้ที่เราควรจะส่งบุญไปให้ได้ก็ได้แก่ พ่อแม่,ญาติพี่น้อง, ครูบาอาจารย์, เหล่าเทพเทวดาและเทวดาประจำตัว เหล่าเปรตและภูตผีปิศาจ เจ้ากรรมนายเวร และสุดท้ายคือสัตว์โลกทั้งหลายอีกมากมายที่ไม่อาจกล่าวถึงได้หมดให้ได้รับบุญไปด้วย

“อิทัง สัพพะเทวานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา” ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข

ประโยคนี้แหละครับเป็นจุดสำคัญและจุดสิ้นสุดของการเชื่อมบุญให้เทวดาได้รับบุญนั้นไป ทีนี้ทั้งฐานะ ทั้งรูปร่างหน้าตาหัวนอนปลายเท้า และคุณงามความดีที่มอบส่งให้แก่กันเราก็ได้ทำไปหมดแล้ว ท่านเหล่าเทวดาได้รู้จักเราแล้ว เวลาที่เราเกิดเรื่องราวเดือดร้อนอะไรก็ตาม ท่านก็จะมาช่วยเราได้อย่างแน่นอน

เสริมตรงนี้ทิ้งท้ายไว้อีกหน่อยครับ เรื่องการส่งบุญให้เทวดาท่านนั้นหากคุณไม่แน่ใจว่าจิตของตนเองจะมีกำลังไม่กล้าแข็งพอ ก็มีอุปกรณ์เสริมในการส่งบุญไปให้ ซึ่งไม่ใช่ของหายากอะไรเลยนั่นคือ “น้ำ” ครับ

การหลั่งน้ำหรือกรวดน้ำมีความหมายว่า ผลบุญที่เราส่งไปให้ท่านเทวดานี้จะได้ไหลติดต่อกันแบบไม่ขาดสายผู้รับก็จะรับบุญได้อย่างไม่ขาดระยะเป็นไปได้ด้วยความราบรื่นเปรียบเหมือนกระแสน้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทรที่ไม่มีวันขาดสายครับ ทีนี้ผลบุญก็จะส่งไปถึงเหล่าเทวดาได้เต็มๆ ไม่มีการขาดห้วง

การกรวดน้ำที่ต้องใช้น้ำกรวด เพราะถือกันตามประเพณีนิยมที่ได้ปฏิบัติสืบๆ กันมาเวลา ที่เราทำบุญสร้างบุญแล้ว พระภิกษุท่านก็จะโมทนาบุญว่า

“ยะถา วาริวหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง ห้วงน้ำที่เต็ม, ย่อมยังมหาสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด

เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ ทานที่ท่านได้อุทิศให้แล้วแก่โลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ละโลกนี้ไปแล้วฉันนั้น

อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สมิชฌะตุ ขออิฐผลที่ท่านได้ปรารถนาแล้วตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยพลัน

สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา ขอให้ความดำริทั้งปวงจงเต็มที่ เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ

มะณี โชติระโส ยะถา เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสว ควรยินดี”


พิจารณาจากคำที่พระท่านกล่าวทุกทีที่เราทำบุญใส่บาตรหรือถวานสังฆทานหรือทำบุญใดๆ แล้วความหมายตรงกันเลยใช่หรือไม่ครับ คาถานี้เรียกว่า อนุโมทนารัมภะคาถาหรือว่า “บทกรวดน้ำ” นั่นเอง

ถ้าเราเองไม่แน่ใจว่าจิตเราจะมีพลังกล้าแข็งพอจะส่งบุญให้ท่านเทวดาทั้งหลายถึงหรือไม่ก็ใช้การอธิษฐานจิตพร้อมกับการกรวดน้ำไปให้ท่านครับรับรองว่า บุญกุศลนั้นได้ไปถึงแน่นอน




หลักการขอพรจากเทวดาประจำตัวให้ได้ผล

เมื่อทำการเชื่อมบุญ ทำให้กระแสบุญผูกพันกันแล้ว เชื่อมกันแล้ว ในเวลาเราจะไปขอพรหรือขอความช่วยเหลือนั้น เราต้องไม่ลืมว่าอย่างไรก็ตามท่านก็เป็นเทวดาท่านมีภพที่อยู่สูงกว่าเราที่เราต้องไปสักการบูชาทำความเคารพ ขอโมทนาคุณความดีของตัวท่านให้ช่วยคุ้มครองและดลใจให้เราไม่เดินทางผิดและทำดีต่อไป ไม่ใช่การไปขอร้องให้ช่วยด้วยการ “ติดสินบน” โดยการเอาของไปเซ่นไหว้หรือล่อใจท่าน

อย่าลืมว่าเทวดา ท่านก็เป็นภพภูมิที่ยังมีกิเลส การไปสร้างกิเลสให้ท่านก็นับว่าเป็นบาปอย่างหนึ่งทำให้กลายเป็นว่า ท่านจะไปสร้างกรรมร่วมกับเราแทนซึ่งแน่นอนว่าเหล่าเทวดาผู้ต้องการความดีคงไม่ปรารถนาเช่นนั้น

ที่สำคัญคือ หากเราเป็นคนหนึ่งที่ไปชักชวนให้ท่านเกิดกิเลสให้ท่านร่วมก่อกรรมไม่ดีเพราะเอาสิ่งของไปล่อไปติดสินบน เราก็จะต้องพลอยรับผลกรรมไม่ดีไปด้วย คิดใหม่ว่า ที่ท่านช่วยให้พรและให้ความเมตตานั้นท่านไม่ได้หวังเครื่องเซ่นไหว้ใดๆ ท่านได้ช่วยเราด้วยความบริสุทธิ์ใจเช่นเดียวกับการที่เราบริสุทธิ์ใจไปขอท่านจะทำให้ท่านได้สร้างบุญเพิ่ม

การขอพรนั้นเป็นสิ่งที่ดีครับและขอได้ทุกโอกาสขอได้กับเทวดาทุกองค์ (เพราะอย่าลืมว่า ไม่มีเทวดาองค์ไหนมาคอยอยู่ประจำตัวดูแลเราตัวต่อตัว แน่นอน) เมื่อเรายังคงอยู่ในศีลมีบุญติดตัว มีความตั้งใจมั่นและศรัทธาในความดี รับรองว่าความสำเร็จบังเกิดขึ้นกับเราแน่ๆ

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ในขณะที่กำลังขอพรหรือขอความช่วยเหลือนั้นสิ่งที่ขอก็ต้องเป็นเรื่องที่ดีด้วยหากจุดประสงค์ในการขอไม่บริสุทธิ์ จิตก็จะไม่สะอาดไม่อาจก่อพลังงานที่ดีขออะไรไปก็ไม่ได้ผลไม่เกิดอะไรขึ้นและท่านเทวดาก็คงไม่อำนวยผลให้เกิด เพราะถ้าท่านทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าท่านได้ทำบาป แล้วของที่ไม่ดีอย่างกรรมชั่วและบาปนั้นไม่มีใครเขาอยากได้

เมื่อจุดประสงค์ดี จิตใจสะอาดและสิ่งที่ขอกำลังจะเป็นผลให้ลองสังเกตดูว่า ช่วงเวลาที่จิตใจสะอาดจะมีมีความกล้าแข็งทางจิตขึ้นด้วยจะมีความรู้สึกโล่งโปร่งสบาย อาจมีอาการขนลุก น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวหรือมีแสงสว่างวาบขึ้นมาในจิตแสดงว่า เทวดาท่านรับรู้แล้วในสิ่งที่เราต้องการและท่านจะช่วยอำนวยพรให้ส่วนเรื่องจะประสบผลสำเร็จดังที่ตั้งใจหวังหรือไม่ ก็อยู่ที่กรรมลิขิตตามหลักของ “กฎแห่งกรรม” อีกทีหนึ่งครับ

การบูชาด้วยอามิสบูชาหรือด้วยสิ่งของต่างๆ นั้น คงไม่จำเป็นอะไรสำหรับเทวดาประจำตัว เพราะโดยทั่วไปแล้วเทวดาทั้งหลายนั้น ท่านมีกายทิพย์ สิ่งที่ท่านใช้ในประจำวันล้วนเป็นของทิพย์ทั้งสิ้น ท่านปรารถนาบุญกุศล ที่เป็นสุดยอดของทิพย์ทั้งปวง

ดังนั้นการบูชาด้วยสิ่งของนั้นท่านที่อยากจะทำก็ทำได้ ไม่ได้ผิดแต่ประการใด ถือว่าเป็นแสดงความเคารพ ขอให้บูชาด้วยน้ำสะอาด ดอกไม้หรือเครื่องหอมก็พอจะได้ไม่สิ้นเปลืองอะไรมาก เทวดาท่านดูที่เจตนานะครับ ไม่ได้ดูด้วยสิ่งของนั้นมีราคาค่างวดหรือต้องแพงอะไร ขอให้บูชาท่านด้วยการปฏิบัติบูชา การทำกรรมดี อุทิศบุญไปให้ท่านทุกครั้งที่เราสร้างบุญเท่านี้ท่านจะรักและเมตตาเรายิ่งขึ้นแน่นอน

เชื่อมั่นว่า เมื่อท่านได้รับความรู้ในเรื่องการบูชาเทวดาแล้วอย่างครบถ้วน แล้วลองนำไปปฏิบัติดู ชีวิตของท่าจะพบกับเรื่องดีๆ ที่จะมาตัวท่านนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://torthammarak.wordpress.com/2011/06/02/หมั่นบูชาเทวดาประจำตัว/
http://www.palungjit.org,http://www.dmc.tv,http://www.icygang.com,http://file.siam2web.com