วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

86: สภาวะธรรมในเวทนาที่เกิดขึ้นแบบคับขัน

ในค่ำคืน(หนึ่งวัน)ก่อนที่ผมจะเดินทางไปสัมมานาทางวิชาการที่จังหวัดขอนแก่นเมื่อวานนี้(15 กพ. 2555) ผมได้เดินจงกรมและพิจารณาถึงเวทนาที่จะเกิดขึ้นของคนและสัตว์ที่ใกล้จะตายนั้นมันเป็นเยี่ยงใดหนอ เพราะในช่วงที่ผ่านมา ผมได้พบเห็นความเจ็ปป่วยของพี่สาว และยังมีสุนัขที่บ้านตัวหนึ่งเธอกำลังเผชิญกับอาการทุกขเวทนาจากอาการเจ็บป่วยมาเป็นอาทิตย์แล้ว นอกจากนั้น ผมยังได้นึกย้อนไปถึงสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นกับท่านแม่ชมเมื่อคราที่พวกเราเดินทางธรรมสัญจรไปที่แม่สอดเมื่อปลายปีที่แล้ว รวมทั้งยังได้นึกย้อนไปถึงเมื่อคราที่ผมเดินทางไปภูดานไหในวาระมุทิตาสักการะพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ผ่านมาว่า ขณะที่ผมเริ่มนั่งภาวนาอยู่ในเต้นท์ ปรากฏว่าลำตัวของผมเกิดอาการปวดร้าวเหมือนแก้วกำลังแตกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งๆที่ไม่มีสาเหตุใดๆเลย ผมจึงถือโอกาสนั้นในการพิจารณาทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น ไม่ฝืน ไม่บังคับ ไม่ข่มอาการทั้งสิ้น ดูซิว่าความเจ็บปวดนั้นมันจะไปถึงไหน ผมพิจารณาอาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อยู่นานหลายสิบนาที เมื่อปล่อยวางไม่อยากพิจารณา อาการเจ็บปวดนั้นก็ทุเลาลง ผมนึกในใจว่า เอ...ผมยังนั่งลงยังไม่ทันไร(ยังไม่ทันได้ตั้งนะโม) ทำไมอาการนี้ถึงเข้ามาทดสอบเร็วจริงหนอ หรือหลวงปู่ศรีสุโทท่านบันดาลหรืออย่างไร เพราะผมนั่งภาวนาอยู่ใกล้กับพระพุทธรูปนาคปรก (องค์หลวงปู่ศรีสุทโธ)

เมื่อวานนี้ (15 กพ. 2555) หลังจากผมออกจากห้องสัมมนาและได้เข้าไปในห้องรับประทานอาหารของโรงแรมราชาวดี ขอนแก่น จังหวะหนึ่งขณะที่ผมเอี้ยวลำตัวเพื่อยกเก้าอี้ไม้ที่หนักอึ้งให้กับอาจารย์ท่านหนึ่ง ปรากฏว่า ลำตัวผมเกิดอาการแตกร้าวเหมือนกับแก้วแตก เพราะเกิดจากผมบิดลำตัวผิดจังหวะนั่นเอง ท่านทั้งหลาย ผมได้เผชิญกับอาการเจ็บปวดที่แสนทุกขเวทนาเสมือนแก้วที่กำลังแตกร้าวอย่างนั้นทันทีทันใด ความอื้ออึงปั่นป่วนของสภาวะภายในแบบกระทันหัน ทำให้ผมต้องนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น สติระลึกได้ว่า เราต้องกำหนดลมหายใจและพิจารณาอาการเจ็บปวดนั้นทันที ผมเริ่มนึกถึงอาการของท่านแม่ชมที่ท่านเผชิญมาเมื่อครั้งที่อยู่แม่สอดนั้นเป็นอย่างไร ผมคงจะรู้ในครั้งนี้แล้ว เพียงไม่กี่วินาที อาการเจ็บปวดมันเพิ่มทวีขึ้นรวดเร็วมาก ผมตามมันแทบไม่ทัน สิ่งหนึ่งที่ผมยังหลงเหลืออยู่ในขณะนั้นคือ สติ ส่วนคำภาวนานั้นไม่มี มันหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่สติจะเป็นผู้ติดตามดูอาการเจ็บปวดนั้นอยู่ พิจารณาว่า อาการของคนใกล้ตายนั้นมันเป็นอย่างไร ท่านทั้งหลายอาการเจ็บปวดที่มันเกิดขึ้นแบบฉับพลันแบบไม่ได้ตั้งตัวนี้ มันทำให้ผมทรมานมาก กำลังวังชาดับวูบลง เหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาท่วมตัว ผมเริ่มจำคำพูดของแม่ชมได้ว่า อาการของคนหน้ามืดนั้นเป็นอย่างไร เพียงไม่ถึงสิบนาที ตาของผมเริ่มหลับลง ความมืดเริ่มเข้ามาแทนที่จากแสงระยิบระยับค่อยๆมืดดับลง ลมในหูเริ่มอื้อ เสียงของผู้คนเริ่มเบาลง เบาลง คล้ายการเข้าฌานสาม ตัวผมเริ่มเอนลงศรีษะพิงกับพนักเก้าอี้ ผมปล่อยให้อาการมันดำเนินไปโดยไม่เข้าไปปรุงแต่งหรือข่มอาการแต่อย่างใด ผมดูซิว่า มันจะตายไหม เมื่อผมปล่อยวางว่า มันจะเกิดก็เกิด มันจะดับก็ดับ ชั่งหัวมัน ปรากฏว่าอาการค่อยๆดีขึ้น กำลังวังชาก็ค่อยๆเริ่มกลับมา ผมพิจารณามันอยู่สิบกว่านาที เมื่อพิจารณาว่าผมควรจะใช้กำลังและสติดึงร่างกายให้ลุกขึ้นมา ก็ปรากฏว่า สามารถลุกขึ้นพร้อมกับลืมตาขึ้นมาได้ มองไปที่โต๊ะอาหาร ปรากฏว่า อาจารย์ท่านอื่นๆเขารับประทานเกือบจะอิ่มแล้ว อาการของผมกลับมาเป็นปรกติเมื่อเวลาผ่านไปแล้วราวสามสิบนาที

ท่านทั้งหลาย ผมยังจำคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ได้เป็นอย่างดีว่า เวลาคนใกล้จะตายนั้น มันทุกข์ทรมานมากมายมหาศาล ผู้ที่ไม่ได้ฝึกจิตภาวนาแยกกายแยกจิตนั้น อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดอาการคับขันเช่นนี้ ความทุกข์ทรมานทั้งหลายมันจะดึงสภาวะจิตของผู้ไม่เคยภาวนาหรือผู้ที่ทำบาปมาก ไปสู่สภาวะจิตตกและหล่นไปสู่อบายภูมิได้ การได้เผชิญกับสภาวะจริงเช่นนี้ของนักภาวนา จึงนับเป็นโอกาสทองที่เราจักต้องพิจารณามันทันที แม้จะไม่มากมายดั่งเช่นพระอริยเจ้าที่ท่านเผชิญกับความตายในทุกรูปแบบอย่างที่เราทราบกัน แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้เราเห็นสัจธรรมของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้พอสมควร การละวางในสิ่งทั้งหลายก็อาจเกิดขึ้นได้เมื่อเราเห็นสภาวะความจริงมากขึ้นๆทุกวัน จึงขออนุโมทนากับผู้ที่มาอ่านเจอข้อความนี้ทุกท่านเทอญ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
16 กพ. 2555
IT Man:
อ่านไปก็นึกถึงคำสอนที่ว่า "พระอริยเจ้าท่านไม่กลัวการตาย กลัวแต่การเกิด"

ทำให้พวกเราต้องหมั่นระลึกนึกถึงความตาย มรณานุสสติให้มั่น เพราะเมื่อไหร่ที่เขามา ซึ่งจะมาได้ทุกเวลา ทุกเสี้ยวลมหายใจ เราจะตั้งรับได้ทัน แล้วไม่หลงลงสู่อบาย

องค์พ่อแม่ครูอาจารย์สอนต่อว่า...หากยังไม่ถึงทางพ้นทุกข์ ก็ให้ไปที่ มนุษย์ สวรรค์ มนุษย์ สวรรค์ เท่านั้นนะ

เมื่อคราที่ผมเดินทางไปภูดานไหครั้งที่แล้ว ขณะนั่งอยู่บนรถทัวร์ ก็เกิดอาการปวดท้องทรมานอยู่มาก พลอยนึกถึงไปว่า
หากเราตายในขณะนี้ หรือขณะที่หลับอยู่ อบายภูมิน่าจะเป็นที่หมาย เพราะยังไม่ได้แบ่งสมบัติให้ใครเลย เกรงว่าญาติพี่น้องจะมาทะเลาะกันเหมือนทุกวันนี้...

พอไปถึงภูดานไห ผมก็เล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ชมพร้อมกับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ฟังว่า หากผมตายไป บ้านเรือนไทยที่ผมอาศัยอยู่นี้พร้อมวัตถุมงคลต่างๆ
ผมขอถวายเป็นสมบัติพระศาสนา หรือภูดานไห หากเห็นสมควรว่าจะให้ทายาทผมดูแลต่อไปก็ได้ คุณแม่ชมบอกว่า ก็ให้ลูกนั้นแหละดูแลต่อไป หุหุ

ส่วนทรัพย์สมบัติ รถ อาคารพานิชย์ เงินสด ประกันชีวิต ยกให้คู่ครองและทายาท...ที่ดินที่อยู่อิสาน ยกให้น้องชาย ฯลฯ
ผมได้บอกกล่าวเรื่องราวนี้ให้คนใกล้ตัวรับทราบแล้ว เหลือแต่เขียนพินัยกรรมเท่านั้น ผมก็วางใจได้แล้วครับ
สิ่งเหล่านี้...เป็นการเตรียมตัวก่อนตายสำหรับชาวโลกอย่างเราๆ

แต่ทางธรรม ก็คือ การเตรียมใจ ให้ถึงองค์ธรรมแห่งพระบรมศาสดา ปล่อยวาง ละทิ้งทุกอย่าง ให้เป็นของชาวโลก รวบรวมความดีงาม คงไว้ตรึงใจเสมอๆฯลฯ
ภูเบศว์:
สมบัติท่านเยอะนะครับ คิดไว้ก่อนก็ดีครับเพราะเมื่อถึงเวลาจะคิดไม่ทันเพราะหลายรายการ... หุหุ

การระลึกนึกถึงความตายบ่อยๆ ถือว่าเป็นการซ้อม เพราะไม่มั่นใจว่าเมื่อถึงเวลานั้นสติสัมปชัญญะของเราจะเป็นเช่นไร จะทำอะไรถูกหรือไม่ มันจะสับสนอลหม่านในช่วงเวลาที่ทุกขเวทนาบีบคั้น เราจะสามารถแยกกาย แยกจิต แยกใจออกจากความยึดถือว่าเวทนานั้นไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เวทนา ได้หรือไม่
การเตรียมพร้อมก็เพื่อฝึกให้ผ่านขั้นตอนแห่งความยึดถือนี้ ระหว่างกายและจิต การยึดถือในรูป นาม อันมีทุกขเวทนาเด่นชัดในขณะจิตนั้น ตั้งจิตตรงต่อพระนิพพาน
ซ้อมบ่อยๆคงจะดีกว่าไม่ซ้อมเลยนะครับ
คิดเรื่องปลีกย่อยให้มันเสร็จๆไป เคลียร์สิ่งรกรุงรังในจิตให้เหลือน้อยที่สุด
D-Crew:
เป็นสภาวธรรมของการเริ่มต้นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด......อาการดั่งนี้จะปรากฎถี่ขึ้น..และถี่ขึ้น ...ความรวดร้าวเหมือนแก้วแตกจะวิ่งสู่ปลายแขนและจะแน่นหน้าอก...ถ้ามัวแต่ว่ายน้ำเล่นอยู่ก็ตัวใครตัวมันละขอรับท่าน
ไม่อยากเห็นคนดับขันธ์ก่อนนิพพาน....ฮ้าๆๆๆๆๆๆ