วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

80: หน่วยเวลาที่มีปรากฏในพระพุทธศาสนา

หน่วยเวลาที่มีปรากฏในพระพุทธศาสนาเรื่องของหน่วยเวลาที่นับจำนวนเป็นอสงไขยและเป็นจำนวนมหากัป มีปรากฏเฉพาะใน พระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่มีปรากฏในที่อื่น เพราะหน่วยเวลานี้ เป็นหน่วยเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาตรัสแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายให้ทราบ และเป็นหน่วยเวลาที่พระพุทธองค์ทรงดำเนินชีวิตในการสร้างบารมีมาอย่างยาวนานมากจนไม่มีหน่วยเวลาใดที่จะสามารถนับได้ นอกเสียจากหน่วยเวลาที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ เพราะหน่วยเวลานี้พระพุทธองค์ทรงรับรู้มาด้วยพระองค์เองจากการสร้างบารมี ฉะนั้นหน่วยเวลาในพระพุทธศาสนา จึงมีความยาวนานมาก ทำให้ยากที่จะเข้าใจหรือเห็นภาพได้อย่างง่ายดาย เว้นเสียแต่ได้ลงมือปฏิบัติธรรมแล้วบรรลุถึงธรรมะภายในอย่างที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เมื่อใด ก็จะสามารถเข้าใจและเห็นภาพของหน่วยเวลาในพระพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้องแน่นอน

ดังนั้น กาลเวลาที่นับอสงไขยและมหากัปนั้น เป็นเวลายาวนานมาก ก็จะได้อธิบายขยายความ ดังต่อไปนี้

1. กาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขย คือ การกำหนดเวลาที่จะนับจะประมาณไม่ได้ ซึ่งมีอุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า "ฝนตกใหญ่มโหฬารทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลานาน 3 ปี ไม่ได้ขาดสายเลย จนนํ้าฝนท่วมเต็มขอบจักรวาลมีระดับความสูง 84,000 โยชน์ ถ้าสามารถนับเม็ดฝนที่ตกลงมาตลอดทั้ง 3 ปี ที่ท่วมเต็มขอบจักรวาลมีระดับความสูง 84,000 โยชน์ อย่างต่อเนื่อง 1 อสงไขย ได้จำนวนเท่าใด จำนวนเม็ดฝนที่นับได้เป็น 1 อสงไขย"

2. กาลเวลาที่เรียกว่า อสงไขยปี คือ หน่วยนับจำนวนอายุที่ยืนยาวที่สุดของมนุษย์ โดยได้กำหนดค่าของอสงไขยปีไว้ว่า "1 อสงไขยปีเท่ากับ 1 ตามด้วยศูนย์ 140 ตัว"

3. กาลเวลาที่เรียกว่า อายุกัป คือ อายุขัยของสัตว์ที่เกิดในภูมินั้นๆ เช่น โลกมนุษย์เรานี้เมื่อสมัยพุทธกาล มนุษย์ส่วนใหญ่อายุเฉลี่ย 100 ปี เป็นอายุกัป ปัจจุบันอายุมนุษย์เฉลี่ย 75 ปี ก็นับเอา 75 ปีเป็นอายุกัป ส่วนในเทวภูมิ เช่น สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามีอายุขัย 500 ปีทิพย์ ก็นับเอาจำนวนดังกล่าวเป็นอายุกัป แม้ในภูมิอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน

4. กาลเวลาที่เรียกว่า มหากัป คือ หน่วยนับระยะเวลาที่โลกเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไป ระยะเวลาในมหากัปหนึ่งๆ นั้นยาวนานมาก ไม่สามารถกำหนดนับได้ ซึ่งมีอุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า มีภูเขาหินลูกใหญ่กว้าง ยาว สูง อย่างละ 1 โยชน์ ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบ บุรุษพึงเอาผ้าจากแคว้นกาสีมาแล้วปัดภูเขานั้น 100 ปีต่อครั้ง เมื่อใด ภูเขาหินลูกใหญ่นั้น พึงถึงการหมดไป สิ้นไป ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงการหมดไป สิ้นไป กัปนาน อย่างนี้แล

ยังมีอีกอุปมาหนึ่งใน สาสปสูตร2 ว่า "นครที่ทำด้วยเหล็กยาวหนึ่งโยชน์ กว้างหนึ่งโยชน์ สูงหนึ่งโยชน์ เต็มด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ออกจากนครนั้น โดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อเมล็ด เมล็ดพันธุ์ผักกาดกองใหญ่นั้น พึงถึงความสิ้นไปหมดไป เพราะความพยายามนี้ ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงความสิ้นไปหมดไป กัปนานอย่างนี้แล"

มหากัปนั้นมีทั้งหมด 4 ช่วง แต่ละช่วงมี 64 อันตรกัป ดังนั้นช่วงความเปลี่ยนแปลงของโลก จึงรวมเวลาเป็น 256 อันตรกัป คือ



ช่วงที่ 1 เป็นช่วงที่ถูกไฟไหม้ มีชื่อเรียกว่า สังวัฏฏอสงไขยกัป หมายถึง ช่วงที่โลกถูกทำลาย หรือกัปกำลังพินาศ อาจจะเกิดไฟไหม้ เกิดน้ำท่วมหรือเกิดลมพายุอย่างใดอย่างหนึ่ง ใช้เวลาถึง 64 อันตรกัป

ช่วงที่ 2 เป็นช่วงที่ไฟมอด มีชื่อเรียกว่า สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป หมายถึงช่วงที่โลกถูกทำลายเรียบร้อยแล้ว จนเหลือแต่อวกาศว่างเปล่า ใช้เวลาถึง 64 อันตรกัป

ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่แผ่นดินเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่ มีชื่อเรียกว่า วิวัฏฏอสงไขยกัป หมายถึง ช่วงที่โลกกำลังเริ่มพัฒนาเข้าสู่ภาวะปกติหรือกัปที่เจริญขึ้น ใช้เวลาถึง 64 อันตรกัป

ช่วงที่ 4 เป็นช่วงที่โลกเจริญขึ้น มีสิ่งมีชีวิตปรากฏขึ้น มีชื่อเรียกว่า วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป เป็นช่วงที่โลกพัฒนาขึ้นเรียบร้อยเป็นปกติตามเดิม หรือกัปที่เจริญขึ้นพร้อมแล้วทุกอย่าง ตั้งอยู่ตามปกติ คือ มีสิ่งมีชีวิตปรากฏเกิดขึ้น มีต้นไม้ ภูเขา คน สัตว์ สิ่งของ ซึ่งเป็นช่วงที่เรากำลังอยู่นี้ โดยเริ่มจาก อาภัสราพรหมลงมากินง้วนดิน ใช้เวลาถึง 64 อันตรกัป

5. กาลเวลาที่เรียกว่า อันตรกัป คือ ระยะเวลา 1 รอบอสงไขยปี หมายความว่าระยะเวลา ที่กำหนดนับจากอายุมนุษย์ที่ยืนที่สุด คือ 1 อสงไขยปี แล้วอายุค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนเหลือ 10 ปี จากนั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นไปอีกครั้งจนถึง 1 อสงไขยปีอีกครั้ง

เวลา 1 รอบของการเพิ่มและลดของอายุ มนุษย์นี้เรียกว่า อันตรกัป หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น ก็อาจจะสมมุติมหากัปเหมือนเค็ก 1 ก้อน ในหนึ่งก้อนแบ่งออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน คือ ระยะเวลา 4 อสงไขยกัป และในแต่ละชิ้นก็มีระยะเวลาเท่ากับ 64 อันตรกัป คือ สังวัฏฏอสงไขยกัป สังวัฏฏฐายีอสงไขยกัป วิวัฏฏอสงไขยกัปและวิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป และใน 1 มหากัปนั้น เมื่อรวมทั้ง 4 ช่วงระยะเวลา จึงมีทั้งหมด 256 อันตรกัป

ทั้งหมดที่อธิบายมานี้ เป็นหน่วยเวลาที่มีปรากฏในพระพุทธศาสนา ที่จะทำให้นักศึกษาสามารถเห็นภาพในการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก โดยอย่างน้อยที่สุด คือ 20 อสงไขยกับแสนมหากัป ที่จะต้องใช้ความอดทน ความมุ่งมั่นตั้งใจ ตลอดจนกำลังใจที่หนักแน่นมั่นคงอย่างมากถึงจะมาอุบัติขึ้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ดังนั้นคำสอนของพระพุทธองค์จึงมีคุณค่าอย่างมาก เพราะพระองค์ทรงสั่งสมความรู้ที่เต็มเปี่ยมบริสุทธิ์บริบูรณ์มาอย่างมากตลอดหนทางในการสร้างบารมี

ฉะนั้นจึงควรที่จะศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์อย่างจริงจัง แล้วนำมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์กับตนเองและผู้อื่น เหมือนกับที่เป็นประโยชน์กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้วนับพระองค์ไม่ถ้วน และยังเป็นประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย

กัปที่มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้น

ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่า ใน 1 มหากัป มีระยะเวลาที่ยาวนานมาก และกว่าที่จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งมาอุบัติขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จึงทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องเวียนตาย เวียนเกิดหลายภพหลายชาติ กว่าที่จะได้ฟังพระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ไม่แน่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ทุกมหากัปเสมอไป บางมหากัปก็ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ฉะนั้น การที่บุคคลผู้ทรงคุณวิเศษเป็นนิยตโพธิสัตว์ จะเสด็จมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นการยากมาก และกว่าที่สรรพสัตว์ทั้งหลายจะได้ฟังพระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยิ่งยากมากอีกด้วย ดังพระดำรัสของพระองค์ที่ตรัสว่า การฟังพระสัทธรรมเป็นของยาก การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นการยาก 1 แต่เมื่อนิยตโพธิสัตว์เสด็จมาอุบัติขึ้นบนโลกนี้เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าในมหากัปใด มหากัปนั้นย่อมไม่ว่างเปล่าจากคุณวิเศษอันยิ่งใหญ่ คือ มรรคผลนิพพาน และ มหากัปนั้น จะถูกเรียกว่า อสุญกัป เมื่อเป็นอย่างนี้ จึงอาจแบ่งมหากัปออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ สุญกัป และ อสุญกัป

1. สุญกัป หมายถึง มหากัปที่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน คือ ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก แม้เพียงพระองค์เดียว และในสุญกัปนี้ก็ยังไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระเจ้าจักรพรรดิมาบังเกิดขึ้น ในสุญกัปนี้ย่อมว่างเปล่าจากบุคคลผู้ทรงคุณวิเศษ และไม่มีมรรคผลนิพพานปรากฏขึ้น

2. อสุญกัป หมายถึง มหากัปที่ไม่ว่างเปล่าจากมรรคผลนิพพาน คือ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ถึงแม้มีเพียงหนึ่งพระองค์ในมหากัปก็ถือว่าเป็น อสุญกัป และในอสุญกัปนี้ยังมีพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระเจ้าจักรพรรดิมาบังเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีบุคคลผู้ทรงคุณวิเศษปรากฏเกิดขึ้นอีกด้วย และอสุญกัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นนี้ ยังมีชื่อเรียกตามจำนวนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จอุบัติขึ้นในแต่ละมหากัป ดังต่อไปนี้

- สารกัป หมายถึง มหากัปที่มีแก่นสาร เป็นมหากัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น 1 พระองค์
- มัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่มีความผ่องใส เป็นมหากัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น 2 พระองค์
- วรกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐ เป็นมหากัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น 3 พระองค์
- สารมัณฑกัป หมายถึง มหากัปที่ประเสริฐกว่าและมีแก่นสารมากกว่ากัปที่ผ่านมา เป็นมหากัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น 4 พระองค์
- ภัทรกัป หมายถึง มหากัปที่เจริญที่สุดและเกิดขึ้นได้ยากที่สุด เป็นมหากัปที่มีพระสัมมาสัม- พุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น 5 พระองค์ ซึ่งถือว่ามีจำนวนมากที่สุด และจะไม่มีมากกว่าในภัทรกัปนี้อีกแล้ว จึงทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายในกัปนี้มีโอกาสจะกระทำอาสวะให้สิ้นไปได้มากกว่ากัปอื่น

ปัจจุบันนี้เรากำลังอยู่ในยุคของพระสมณโคดมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระองค์ที่ 4 ในภัทรกัปนี้ อยู่ในอันตรกัปที่ 12 ของวิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป ในยุคหน้าเป็นสมัยของพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ที่จะเสด็จอุบัติขึ้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้ ซึ่งอยู่ในอันตรกัปที่ 13

ดังนั้น การเสด็จอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้เสด็จอุบัติขึ้นในคราวเดียวกันหลายพระองค์ ขึ้นอยู่กับว่า การสร้างบารมีของแต่ละพระองค์ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์เมื่อใด ซึ่งถ้าบารมียังไม่เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ก็จะต้องสร้างบารมีกันต่อไป จนกว่าจะเต็มเปี่ยมและพร้อมที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ส่วนเสริม

1 กัปมี 4 อสงไขยกัป (แต่ละอสงไขยกัปมี 64 อันตรกัป รวม 256 อันตรกัป) แต่มีเพียง 1 อสงไขยกัปที่มนุษย์และสัตว์สามารถมีชีวิตอยู่ได้คือ วิวัฏฏฐายีอสงไขยกัป มี 64 อันตรกัป

แบ่งเป็น อันตรกัปที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ได้แก่ (ต้องเป็นกัปไขลงเท่านั้น)
อันตรกัปที่ 9 พระกกุสันธพุทธเจ้า ----- พระชนมายุ 40,000 ปี
อันตรกัปที่ 10 พระโกนาคมนพุทธเจ้า ----- พระชนมายุ 30,000 ปี
อันตรกัปที่ 11 พระกัสสปพุทธเจ้า ----- พระชนมายุ 20,000 ปี
อันตรกัปที่ 12 พระสมณโคดม (องค์ปัจจุบัน) ----- พระชนมายุ 100 ปี (80)
อันตรกัปที่ 13 พระศรีอริยเมตไตรย (อันตรกัปหน้า) ----- พระชนมายุ 80,000 ปี

ภูเบศว์
ความรู้ที่ท่านIT Man นำมาให้ศึกษา เป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญานมากเลยครับ ต้องขออนุโมทนา เป็นสิ่งที่ผมอยากรู้มานานแล้ว เคยได้รับทราบมาบ้างแต่ไม่ละเอียด กระจ่างอย่างนี้ ทำให้ได้รู้ความเป็นมาเป็นไปของดวงจิต ขอยกนิ้วโป้ง

ระยะเวลาของมหากัปหนึ่ง ก็มีเพียง1ใน4 ของมหากัป ที่อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่เรียกว่าวิวัฏฏฐายีกัป อันจะพอเปิดโอกาสให้ดวงจิตทั้งหลายได้เรียนรู้ ปลดปล่อยดวงจิต ให้หลุดพ้นไปจากวัฏฏสงสาร

หากเรานำวงรอบของมหากัปหนึ่ง มาเปรียบกับระยะเวลาชีวิตของเรา ซึ่งอายุของมนุษย์ยุคปัจจุบัน เฉลี่ยประมาณที่80ปี ก็คงมีเพียง1ใน4 ของชีวิตเราคือประมาณ 20ปี ที่เปิดโอกาสให้เราเรียนรู้ปฏิบัติ เพื่อชำระจิตของเรา ด้วยวงชีวิต หากแบ่งเป็นช่วงๆ แบบคร่าวๆคือ

ช่วงที่1 ช่วงอายุ 1-20ปี เป็นช่วงกำเนิด พัฒนาการทางกาย เรียนรู้ชีวิต
ช่วงที่2 ช่วงอายุ21-40ปี เป็นช่วงสร้างชีวิต และเริ่มหันมามองชีวิตในมุมแห่งความเป็นจริง
ช่วงที่3 ช่วงอายุ40-60ปี รู้สึกตัว เห็นความจริงในชีวิต และค้นหา ปฏิบัติเพื่อเข้าถึง..
ส่วนช่วงที่4 ช่วงอายุ61-80ปี เป็นช่วงที่ชีวิต ร่างกายกำลังเสื่อมสภาพและถูกทำลายไปเรื่อยๆ เว้นแต่ผู้ปฏิบัติได้เริ่มต้นปฏิบัติมาก่อนหน้า ก็เหมือนได้ต่อเวลาในการปฏิบัติเพิ่มขึ้นไปอีก

นำมาเทียบเคียงเล่นๆ ไม่ได้หมายรวม ก้าวล่วงผู้อาวุโสที่อายุอยู่ในช่วงที่4ว่าล่วงเลยเวลาที่ดีไป หากสุขภาพกายและจิตของท่านได้รักษาให้ดีอยู่เสมอ ระยะเวลาช่วงท้ายอาจเป็นช่วงทองในการปฏิบัติก็เป็นได้

ทั้งนี้ทั้งนั้นคงพอทำให้เราได้เห็นว่า ช่วงชีวิตที่มีคุณค่าต่อจิตวิญญานของเรา หรือเวลาที่เปิดโอกาสให้ดวงจิตของเราในภพชาติหนึ่งนั้นสั้นนัก เราคงต้องใช้ช่วงเวลาอันแสนสั้นนั้น สร้างสิ่งดีดีที่ก่อเกิดประโยชน์แก่ดวงจิตวิญญานอย่างคุ้มค่าที่สุด