วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

79: ความเป็นไปของโลก

ความเป็นไปของโลก

ในสมัยต้นกัป มนุษย์ทั้งหลายมีอายุขัยถึงอสงไขยปีทั้งสิ้น หมายความว่านับประมาณอายุกันแทบไม่ได้ นั่นเป็นเพราะจิตใจของคนในสมัยนั้นมีกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ น้อยและเบาบางมาก ถึงแม้จะมีก็เป็นกิเลสอย่างละเอียด ไม่ใช่ชนิดหยาบที่ปรากฏออกมาเป็นทุจริต จิตใจจึงมีกุศลเจตนาเกิดอยู่มาก เมื่อมนุษย์เปี่ยมด้วยคุณธรรม อุตุ (ดินฟ้าอากาศ) และอาหารที่เป็นเครื่องอาศัยของมนุษย์จึงสมบูรณ์ดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง จึงเป็นเหตุให้มนุษย์มีอายุยืนอยู่ได้ถึงอสงไขยปี

ครั้นต่อมาเหล่ามนุษย์มีอกุศลจิตขึ้นในสันดานเพิ่มขึ้น ๆ อำนาจของอกุศลทำให้อุตุ (ดินฟ้าอากาศ) และอาหารต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงผิดปกติไปจากเดิม กล่าวคือ เมื่อหนาวก็หนาวเกินควร เมื่อร้อนก็ร้อนเกินควร ฤดูฝนก็ตกผิดปกติมากไปบ้างน้อยไปบ้าง คุณค่าที่มีอยู่ในอาหาร (โอชารส) ลดน้อยลง สิ่งเหล่านี้กระทบกระเทือนทำให้ความเป็นอยู่ของมนุษย์เสื่อมถอยลง เป็นเหตุให้มีอายุขัยลดลงเรื่อย ๆ ตาม ลำดับ เพราะมีกิเลสเพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุด และจะลดลงจนกระทั่งมีอายุขัยเหลืออยู่เพียง ๑๐ ปี

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในสุตตันตมหาวรรคว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลใดมีอายุยืน ผู้นั้นย่อมมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และบางคนก็เกินกว่า ๑๐๐ ปี ไปเล็กน้อยก็เป็นได้ แต่ไม่ถึง ๒๐๐ ปี”

ในสมัยพุทธกาลเรานี้ อายุขัยของมนุษย์ในโลกเรามีกำหนด ๑๐๐ ปี และถือกันว่า อายุขัยจะลดลง ๑ ปี ทุก ๆ ระยะ ๑๐๐ ปี ขณะนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานล่วงไปแล้ว ๒,๕๐๐ ปีเศษ อายุขัยจึงลดลงประมาณ ๒๕ ปี ยุคปัจจุบันมนุษย์โลกเราจึงน่าจะมีอายุขัยประมาณ ๗๕ ปี ถ้าจะมีผู้ใดอายุยืนกว่านั้นได้ก็คงไม่เกิน ๒ เท่า

ในเวลาใกล้พุทธศักราชที่ ๕,๐๐๐ ขององค์สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเราองค์ปัจจุบันนี้ พระศาสนาจะค่อย ๆ เสื่อมลงไปในที่สุด ตอนช่วงปลายของพระพุทธศาสนา พระสงฆ์องค์เจ้าก็จะพากันร่อยหรอและหดหายลงไป จนกระทั่งถึงวาระเวลาที่พระพุทธศาสนาเสื่อมลงไปจนหมดสิ้นพอดี ๕,๐๐๐ ปี ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพระพุทธฎีกากำหนดระยะเวลาเอาไว้

เมื่อสิ้นศาสนาแห่งพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแล้ว ในกาลนั้นหมู่สัตว์ทั้งหลายก็จะพากันมืดมนนัก ไม่มีการทำบุญสร้างกุศลใด ๆ แม้คำว่าบุญหรือกุศลก็ไม่มีใครรู้จัก มีแต่อกุศลกรรมบถ ๑๐ ครอบงำสันดานของสัตว์ทั้งหลาย พากันทำบาปหยาบช้าทารุณ ปราศจาก หิริ โอตตัปปะ ผู้คนมีความเป็นอยู่เช่นเดียวกับสัตว์เดรัจฉาน ลูกกับพ่อแม่ก็จะอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน พี่สาวน้องชาย พี่ชายน้องหญิง ตลอดถึงพี่ป้าน้าอา ลุงกับหลาน ต่างก็พากันสมัครสังวาสอยู่ด้วยกัน กิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ ของหมู่สรรพสัตว์ก็จะหนาแน่นขึ้นทุกเวลา อายุขัยก็จะลดน้อยถอยลงไป

จนกระทั่ง ประมาณพุทธศักราชที่ ๙,๐๐๐ อายุขัยของมนุษย์จะลดลงจนเหลือ ๑๐ ปี อาหารทั้งปวงที่มีรสชาติดีจะหมดไป อาหารที่เป็นข้าวสำหรับนกกินในยุคนี้ จะกลายเป็นอาหารอันประเสริฐในยุคนั้น เด็กหญิงเกิดมาอายุได้ ๕ ปี จะมีสามีและบุตรได้



ในยุคนั้นมนุษย์ทั้งหลายมีความอาฆาตเบียดเบียนกันยิ่งนัก เข่นฆ่ากันเองได้หมดทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นญาติมิตรสนิทสนมกันเพียงใด ไม่รู้จักความเมตตาปราณี เป็นเวลาที่ในสันดานสัตว์เต็มไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ

ในเวลาดังนี้ มหาภัย ๓ อย่างจะบังเกิดขึ้นคือ
๑. ทุพภิกขันตรกัป ความอดอยากยากแค้น
๒. สัตถันตรกัป รบราฆ่าฟันกัน
๓. โรคันตรกัป โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายเบียดเบียน

โดยเฉพาะในสมัยอายุขัยมนุษย์เพียง ๑๐ ปีนั้น ผู้คนปรากฏมีโทสะกล้าแข็งที่สุด สัตถันตรกัปย่อมบังเกิดขึ้น เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกันเป็นโกลาหล จับสิ่งของใดได้แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็จะถูกใช้เป็นอาวุธไปจนสิ้น มนุษย์ในโลกจะพากันล้มตายนับประมาณมิได้ สัตถันตรกัปบังเกิดขึ้นเป็นเวลา ๗ วัน เป็นไปทั่วทุกแห่งหน ส่วนผู้พอมีปัญญาอยู่บ้าง จะหาเสบียงจนพอเพียง ๗ วัน หลบหนีซ่อนตัวอยู่ตามห้วยหุบเขาที่ห่างไกล จนรอดพ้นจากภัยอันตรายนั้น



ในระหว่าง ๗ วันที่ผู้คนทำการเข่นฆ่ากันอยู่ พื้นแผ่นดินทั้งสิ้นนองไปด้วยโลหิต ซากศพเกลื่อนกลาดน่ากลัว

เมื่อพ้น ๗ วันไปแล้วสงบสงัดจากเสียงการสู้รบ คนทั้งหลายที่หนีไปซ่อนเร้นจึงพากันออกมา เมื่อเห็นกันเข้าเกิดความสังเวชสลดใจ รักใคร่เอ็นดูสงสารซึ่งกันและกัน มีจิตใจอ่อนโยน เห็นโทษของอกุศลมีโทสะเป็นต้น จึงร่วมปรึกษาหารือกันเริ่มประกอบกุศลกรรม แรกทีเดียวเริ่มเว้นจากการฆ่าฟันคือปาณาติบาตก่อน เพราะเห็นโทษภัยจากการเข่นฆ่าที่ผ่านมา

เมื่อคนทั้งหลายเว้นจากการฆ่าสัตว์ บุตรหลานของคนเหล่านี้จึงมีอายุขัยยืนขึ้นเท่าตัวคือ ๒๐ ปี และบุตรหลานของผู้คนเหล่านี้ ก็ชักชวนพากันประกอบกุศลกรรมอื่น ๆ เพิ่มขึ้น มีเว้นจากอทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท พูดส่อเสียด พูดหยาบช้า พูดเพ้อเจ้อ ตลกคะนองไร้ประโยชน์ เว้นจาก อภิชฌาวิสมโลภะ ไม่ยินดีอยากได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นโดยไม่ชอบธรรม เว้นการพยาบาทปองร้ายผูกเวรซึ่งกันและกัน เว้นจากมิจฉาทิฏฐิ ผู้คนพากันสมาทานรักษากุศลกรรมบถ ๑๐ ละเว้นอกุศล ๓ ประการคือ ความกำหนัดยินดีในสิ่งผิดประเพณี, ยินดีในเครื่องอุปโภคบริโภคที่ไม่ชอบธรรม และมีความเห็นผิดที่เป็นมิจฉาธรรม

ทั้งชวนกันปฏิบัติต่อบิดามารดา สมณพราหมณ์เป็นอันดี กระทำความเคารพในผู้เฒ่าผู้แก่ของตระกูล คนทั้งหลายบำเพ็ญกุศลธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปประการดังนี้

อายุของผู้คนเหล่านั้นจึงเพิ่มขึ้นรุ่นละเท่าตัวเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึง ๘๐,๐๐๐ ปี เมื่ออายุขัย ๘๐,๐๐๐ ปี สตรีจะเป็นสาวมีสามีได้เมื่ออายุประมาณ ๕๐๐ ปี โรคภัยในยุคนี้มีเพียง ๓ ประการ คือ ความหิว ความง่วง และความแก่ชรา และอายุขัยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงอสงไขยปี

เมื่ออายุขัยของมนุษย์ถึงอสงไขยปี ทำให้ไม่ใคร่ได้เห็นความแก่ ความเจ็บ ความตาย โดยง่าย จึงเกิดความประมาท มีทิฏฐิ และมานะบังเกิดขึ้น กิเลสเริ่มเกิดตามมา อกุศลกรรมต่าง ๆ ก็เกิดมีขึ้นเป็นลำดับ อายุขัยของมนุษย์จึงเริ่มลดลงอีกจนกระทั่งเหลือ ๘๐,๐๐๐ ปี

ในเวลาอายุขัยของมนุษย์เหลือ ๘๐,๐๐๐ ปีนี้เอง พระศรีอาริยเมตไตรย จะมาอุบัติบังเกิดขึ้นในโลก ดังมีพระพุทธภาษิตแสดงไว้ในจักกวัตติสูตรในสุตตันตปาฏิกวรรคว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในยุคที่มนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าเมตเตยะเป็นผู้มีโชค จะอุบัติขึ้นในโลกฉะนั้น”

พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ อันเป็นองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้.

หมายเหตุ

กัปปัจจุบันนี้ คือ ภัทรกัป มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ คือ
๑. พระกกุสันธะ สัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. พระโกนาคมน์ สัมมาสัมพุทธเจ้า
๓. พระกัสสปะ สัมมาสัมพุทธเจ้า
๔. พระศรีศากยมุนีโคดม สัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าองค์ที่พุทธศาสนิกชนกราบไหว้บูชาอยู่ในปัจจุบันนี้
๕. พระศรีอาริยเมตไตรย สัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระศรีอาริย์ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายของภัทรกัปนี้

เมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยเสด็จปรินิพพานไปแล้ว ต่อจากนั้นอีก ๕๑ อันตรกัป ก็จะถึงเวลาพินาศของโลก

ก่อนที่โลกจะถูกทำลาย จะมีมนุษย์ เทวดา และพรหมที่อยู่ในชั้นต่ำ ๆ ส่วนหนึ่งพากันขวนขวายเจริญฌานจนตาย แล้วไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นสูง ๆ ที่ไม่ถูกทำลาย รอจนกระทั่งโลกก่อตัวขึ้นมาใหม่จึงค่อยพากันลงมาเกิดด้วยกำเนิดของ โอปปาติกะ คือผุดขึ้นมาโดยโตเต็มตัวทันใด ไม่ต้องมีบิดามารดา เป็นการเริ่มกัปใหม่กันต่อไป

ส่วนผู้ที่ไม่สามารถเจริญฌานจนตาย แล้วไปบังเกิดยังพรหมโลกชั้นที่ไม่ถูกทำลายได้นั้น พวกเขาเหล่านั้นจะถูกทำลายไปพร้อมกับโลก แล้วไปเกิดเป็นอบายสัตว์อยู่ในจักรวาลอื่น ที่ยังไม่มีการถูกทำลายกันต่อไป ซึ่งจักรวาลนี้มีมากมายนับจำนวนไม่สิ้นสุด



การก่อตัวขึ้นใหม่ของจักรวาล

ในขณะที่โลกกำลังพินาศอยู่ เหล่าสัตว์ที่ไม่ถูกทำลายส่วนมากไปบังเกิดเป็นพรหมอยู่ในชั้น อาภัสสราภูมิ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกาย อยู่ในวิมานงดงาม สัญจรไปได้ในอากาศ มีอายุยืนยาวช้านาน

ครั้นแผ่นดินปรากฏเกิดขึ้นแล้ว พรหมบางรูปในชั้นอาภัสสราภูมิที่สิ้นบุญ สิ้นอายุ ก็จุติลงมาเกิด ด้วยกำเนิดของ โอปปาติกะ มนุษย์พวกนี้มีเพศเหมือนพรหม ไม่มีอวัยวะแสดงเพศ ร่างกายมีรัศมีเปล่งประกายมีแสงรุ่งเรืองสว่างไสว เหาะเหินเดินอากาศเที่ยวไปมาในเวหา ไม่ต้องกินอาหาร คงมีปีติเป็นอาหารดังเช่นในสมัยอยู่พรหมโลก อยู่กันเป็นสุขดังนี้ สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน

จนกระทั่งต่อมา มีมนุษย์คนหนึ่งนับเป็นคนแรก แลเห็นแผ่นดินมีสีสันสวยงาม มีกลิ่นหอม นึกอยากลองลิ้มรสดูว่าจะเป็นอย่างไร จึงหยิบดินขึ้นมานิดหนึ่งวางที่ปลายลิ้น รสดินนั้นมีโอชาแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย รู้สึกอร่อยชอบใจยิ่งนัก เกิดตัณหาในรสเข้าครอบงำ จึงบริโภค ง้วนดิน ซึ่งมีลักษณะเป็นวุ้นนุ่มคล้ายนมสดที่เคี่ยวให้งวด ทิ้งไว้ให้เย็นจับเป็นฝาอยู่ข้างบน มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี มีรสชาติอร่อยดุจรวงผึ้งเล็กที่สะอาด คนอื่นเห็นก็พากันเอาอย่าง และก็พากันติดใจเกิดตัณหาพากันบริโภครสแผ่นดินกันทุกคน เมื่อบริโภคง้วนดินอันเป็นอาหารหยาบดังนั้นแล้ว รัศมีกายก็อันตรธานหายไป ร่างกายก็ไม่ละเอียดสวยงามดังเดิม ปรากฏให้เห็นแตกต่างกันออกไป บางพวกมีสีสันวรรณะดีกว่าอีกพวก จึงเกิดการดูหมิ่นดูแคลน เกิดกิเลสขึ้นอีก ๒ ชนิดคือ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นเป็นเหตุให้ถือตัวตน) และ มานะ (ความถือตัว) เมื่อบาปธรรมทั้งสองมีแรงกล้าขึ้นในหมู่มนุษย์ รสแผ่นดินที่โอชานั้นก็พลันสูญหายไป แผ่นดินกลายเป็นสะเก็ดคล้ายเห็ด แต่ยังคงมีกลิ่นหอม มีรสเป็นอาหารมนุษย์ได้อยู่ มีสี กลิ่น รส เหมือนเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี รสอร่อยเหมือนรวงผึ้งเล็ก แม้จะไม่อร่อยเลิศเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นง้วนดินก็ตาม

เมื่อบริโภคสะเก็ดดินเป็นเวลาช้านาน ร่างกายก็แข็งกล้าขึ้นทุกที ผิวพรรณก็ยิ่งแตกต่างกันออกไปมาก เกิดการดูหมิ่น ไว้ตัว ทะนงตน เหยียดหยามกัน เพราะมีสาเหตุมาจากผิวพรรณ ทำให้สะเก็ดดินค่อยหายไป ต่อมาเป็นเวลานานเข้า สันดานของคนหนาแน่นไปด้วยบาปกรรมเพิ่มขึ้น ๆ สะเก็ดดินก็อันตรธานหายไปหมดในตอนนั้น มีเครือดินบังเกิดขึ้นแทน เครือดินนี้คล้ายผลมะพร้าว มีสี กลิ่น รส คล้ายเนยใสหรือเนยข้นอย่างดี เมื่อเครือดินหายไป ข้าวสาลีขาวก็งอกขึ้นเอง ไม่มีเมล็ดลีบ ไม่มีรำ มีกลิ่นหอม เกิดเป็นรวงข้าวสาลีขึ้นจากต้นทันที เมล็ดไม่มีเปลือก ไม่ต้องรอเวลา มนุษย์ทั้งหลายไปรูดเก็บเอามาหุงกินได้ทันที สุดแต่ต้องการบริโภคเวลาใดก็ไปรูดเอามาจากต้น นำใส่ไว้ในภาชนะ ตั้งไว้บนแผ่นศิลา ข้าวจะเดือดสุกไปเอง กินโดยไม่ต้องใช้กับข้าว หรือเครื่องแกล้ม เมื่อพอใจให้เป็นรสอย่างใด ข้าวก็จะมีรสดังต้องการ รวงข้าวที่ถูกเก็บในเวลาเช้า ตอนเย็นก็โตเท่าเดิม ถ้าเก็บตอนเย็น ตอนเช้าก็โตเท่าเดิม มีรวงแก่สุกพร้อม

ในสมัยเมื่อมนุษย์บริโภคง้วนดิน สะเก็ดดิน เครือดิน ถือเสมือนสุธาหาร ไม่ต้องย่อย แต่เมื่อบริโภคข้าวสาลีเป็นวัตถุหยาบ จึงต้องย่อยเกิดมีอุจจาระ ปัสสาวะ ปากแผลที่ทำให้สิ่งเหล่านี้ไหลทิ้งออกมานอกร่างกาย เกิดเป็นอวัยวะเพศขึ้น ในอดีตชาติใครเคยเป็นชายก็เป็นเพศชาย ใครเคยเป็นหญิงก็เป็นเพศหญิง

แต่เดิมสมัยเป็นพรหมแล้วลงมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น อุปจารสมาธิ (สมาธิจวนจะแน่วแน่) ยังต่อเนื่องมาในสันดาน ยังข่มกามราคะไว้ได้ แต่เมื่อบริโภคข้าวสาลีจนทำให้เกิดสภาวะความเป็นเพศชายหญิงกันขึ้น จึงเป็นปัจจัยกระตุ้นเตือนอุปนิสัย (ความประพฤติที่เคยชินเป็นพื้นมาในสันดาน) ให้เกิดกามราคะตามมา ทั้งชายหญิงต่างก็เพ่งเล็งดูกันและกันไปมา กามราคะเกิด อุปจารสมาธิก็ขาดจากสันดาน เหล่ามนุษย์เมื่อกระวนกระวายด้วยราคะดำกฤษณาก็ส้องเสพซึ่งเมถุนธรรม จึงต้องขวนขวายหาเคหะสถานที่อยู่อาศัยให้มิดชิด ในการประกอบอสัทธรรมนั้น เมื่อคนทั้งหลายครองเหย้าเรือนดังนี้ คนที่เกียจคร้านก็เกิดการเก็บสะสมข้าวสาร คือไปรูดเอามาไว้คราวละมาก ๆ คนอื่นเห็นตัวอย่างก็ทำตาม เมื่อความโลภเจริญขึ้น ข้าวสาลีก็ไม่ออกรวงเป็นข้าวสารให้อีก แต่กลับออกรวงมีเปลือกมีรำ ข้าวที่รูดที่เกี่ยวแล้วก็หายไป ไม่มีต้นและรวงงอกแทนให้ใหม่ดังเดิม

ขณะนั้นคนทั้งหลายก็พากันเป็นทุกข์ ทอดถอนใจที่เห็นความแปรปรวนทั้งหลายเกิดขึ้น จึงจัดแจงปักปันแบ่งเขตข้าวสาลีกันขึ้น เขตใดของใครเป็นสัดส่วน

ต่อมามีคนใจอกุศลกระทำอทินนาทาน ลักขโมยเอาส่วนของผู้อื่น เมื่อมีการจับได้ แรก ๆ ก็เพียงตำหนิติเตียน แต่เมื่อถึงครั้งที่ ๓ จึงกลุ้มรุมทำร้ายด้วยไม้ค้อน และก้อนดิน

เมื่อเกิดการลักขโมย การครหาติเตียน การกล่าวมุสา การปรับสินไหม และอาชญาก็เกิด ความเป็นอยู่ของผู้คนเริ่มเดือดร้อนกันขึ้น จึงประชุมปรึกษาหารือกัน แสวงหาผู้มีปัญญาให้เป็นหัวหน้าหมู่คณะ คนอื่น ๆ มีหน้าที่ส่งส่วยให้ เพื่อให้ผู้เป็นหัวหน้านั้นดูแลปกครองให้พวกตนอยู่เป็นสุข

เฉพาะในต้นภัทรกัปของเรานี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ไม่ได้ระบุว่าพระองค์ใด) บังเกิดเป็นพระโพธิสัตว์ มีรูปร่างแข็งแรงกำยำ มีสติปัญญาดี มีท่วงทีกิริยาน่าเกรงขาม สามารถว่ากล่าวสั่งสอนคนทั้งปวงได้ จึงได้รับเชื้อเชิญกระทำราชาภิเษก มีพระนามว่า พระเจ้าขัตติยมหาสมมุติเทวราช ให้เป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองดูแลพวกตน นับเป็นการเกิดขึ้นครั้งแรกของวรรณะกษัตริย์

แต่ยังมีคนอีกบางพวกที่เห็นโทษของบาปอกุศลธรรม ว่าเป็นสิ่งทำให้เกิดความทุกข์ร้อนในหมู่มนุษย์ คิดกันว่าพวกตนสมควรไปลอยบาปอกุศลเหล่านี้ทิ้งเสีย จึงพร้อมใจพากันเข้าไปอยู่ในป่า สร้างบรรณศาลาอาศัยอยู่ เว้นจากเมถุนธรรมและบาปอกุศลทั้งปวง มีปกติเที่ยวไปในหมู่บ้านเพียงเพื่อขออาหารกิน คนเหล่านี้ได้ชื่อว่า พราหมณ์

คนจำพวกใดพอใจเสพเมถุน ยินดีในการครองเรือน ก็จำต้องวุ่นวายไปด้วยเรื่องการทำมาหากิน มีทำการกสิกรรม ค้าขาย เลี้ยงสัตว์ และอื่น ๆ เป็นพ่อค้า ชาวนา กรรมกร และอื่น ๆ มาจนทุกวันนี้

ทั้งหมดนี้คือความเป็นไปที่สรรพสัตว์ทั้งปวง ผู้ยังมีกิเลสอยู่ในสันดาน ต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เรียกกันว่า วัฏสงสาร ตราบใดที่ยังไม่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้ฟังพระสัทธรรม แล้วนำไปปฏิบัติตามจนบรรลุผล เข้าพระนิพพานได้แล้วนั้น จะไม่สามารถหลุดพ้นออกจากวงเวียนแห่งวัฏสงสารนี้ได้เลย.