วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

41: บารมี 30 ทัศ

.... การเจริญพระกรรมฐานทุกคนหวังพระนิพพานนี่ถูกต้อง แต่ว่าความจริงนิพพานนี่ถ้าจะไปได้จริงๆ ต้องมีบารมีเต็ม ถ้ามีบารมีบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่สามารถไปนิพพานได้ ตายไปเป็นพรหมได้ เป็นเทวดาเป็นนางฟ้าได้ แต่ยังเข้าพระนิพพานไม่ได้

องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ให้เราสร้างให้มันเต็มนั้น ก็คือสร้างกำลังใจ ปลูกฝังกำลังใจให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์ เราก็มาวัดดูกำลังใจของเราว่าอยู่ในระดับใด เพราะการสร้างบารมีก็มีอยู่ ๓ ขั้นด้วยกัน

ขั้นที่ ๑ บารมีต้น
ก็จะขอเรียงกำลังบารมีให้ฟังสักนิดหนึ่ง บารมีนี่มี ๑๐ แบ่งเป็น ๓ ขั้น จึงเรียกบารมี ๓๐ แต่ความจริงก็มี ๑๐ อย่าง บารมีต้น พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า บารมีเฉย ๆ บารมี ท่านแปลว่า เต็ม แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ควรจะแปลว่า กำลังใจเต็ม

ถ้าคนที่มีบารมีต้นยังมีการบกพร่องในศีลอยู่มาก ถ้าบังเอิญบารมีต้นเต็มจะเคร่งครัดในศีล เริ่มมีการเคร่งครัด ก็ยังมีการพลาดอยู่ เพราะยังไม่เป็นพระโสดาบัน แต่ทว่า เราจะชวนให้ทาน ชวนรักษาศีลเขาทำได้ ถ้าชวนเจริญกรรมฐาน พวกนี้บอกไม่ไหว กำลังใจไม่พอที่จะเจริญกรรมฐาน แม้แต่กรรมฐานเบื้องต้นเขาก็ไม่ไหว คือพอใจขั้นศีลกับทาน

ขั้นที่ ๒ อุปบารมี
พอบารมีอย่างกลางที่เรียกว่าอุปบารมี อุป แปลว่า เข้าไปใกล้มั่น คือว่าเข้าไปใกล้จะเข้าเขตนิพพาน ท่านที่มีบารมีเป็นอุปบารมี นี่พร้อมในการเจริญกรรมฐาน พร้อมในการทางฌานโลกีย์ แต่ว่าถ้าแนะนำว่าปฏิบัติอย่างนี้ไปนิพพานได้ เขาบอกว่าไม่ไหว ฌานโลกีย์พร้อม แต่ว่าทำเพื่อไปนิพพานทำไม่ได้ ทำไม่ไหว กำลังใจไม่พอ คือจะพอใจแค่ฌานสมาบัติ

ขั้นที่ ๓ ปรมัตถบารมี
ทีนี้ถ้าบารมีของบุคคลใดเป็นปรมัตถบารมี อันดับแรกจะยังไม่เข้าใจเรื่องนิพพาน หรือความเข้าใจว่านิพพานสูญ อาจจะขี้เกียจไป ต่อ ๆ มาเริ่มมีความเข้าใจนิพพานขึ้น คิดว่านิพพานเป็นแดนของความสุข เราต้องการนิพพานโดยเฉพาะ นี่เป็นปรมัตถบารมี ก็เป็นอันว่า ถ้าถึงปรมัตถบารมี จะพอใจพระนิพพาน อันนี้เราก็ต้องไปวัดกำลังใจของเราเองว่า พอใจในระดับหรือขั้นใด ถ้าหากว่าเรามีบารมีถึงขั้น “อุปบารมี” เราก็เร่งรัดเป็น “ปรมัตถบารมี” ได้ ไม่ใช่ต้องจมอยู่แค่นั้น มันสามารถสร้างต่อไป ที่ท่านเรียกว่า บารมี ๓๐ ประการ คนที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องมีบารมีทั้ง ๑๐ ประการนี้ครบถ้วน และถึงขั้นที่สุดเต็มอัตรา

ดังนั้น คนที่มีบารมีต้นนี่จะเก่งแค่ทานกับศีลเป็นอย่างเก่ง
ถ้าอุปบารมีก็จะเก่งแค่ฌานสมาบัติ จิตใจพอใจมาก แต่พูดเรื่องนิพพานไม่เอา
แต่คนที่มีบารมีเข้าถึงปรมัตถบารมีเท่านั้น จึงจะพอใจในพระนิพพาน
อย่างถ้าเรามีแค่เพียงอุปบารมี ก็เกิดเป็นเทวดาและพรหมนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว ถ้าเป็นปรมัตถบารมียิ่งหนักมากขึ้น เป็นอันว่าอุปสมานุสสติ นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ คือนึกไว้ว่าเราเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ก็หาที่สุขไม่ได้เหมือนกัน คือมันไม่จบ เป็นเทวดา ไม่อยู่เป็นเทวดาตลอดไป เป็นพรหมก็ไม่ได้อยู่เป็นพรหมตลอดไป เมื่อหมดบุญวาสนาบารมี ก็ต้องลงจุดที่ดีที่สุด มีจุดเดียวคือนิพพาน เราต้องการไปนิพพาน

ดังนั้น เนื่องจากบารมี ๑๐ เป็นเครื่องมือสำคัญมาก หรือเป็นบันไดสำคัญในการก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยะบุคคล 


ทีนี้คนที่ไปนิพพานจริงๆ ในสังโยชน์ ๑๐ ตัดข้อเดียวคือข้อต้นที่เรียกว่า สักกายทิฏฐิ หรือตามศัพท์ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสาวก เช่น ท่านพระพาหิยะว่า “พาหิยะ เธอจงอย่าสนใจในรูป” นี่ตัดรูปตัวเดียว หรือที่ท่านตรัสกับพระติสสะว่า “ติสสะ ร่างกายนี้ในไม่ช้าก็จะมีวิญญาณไปปราศแล้ว เป็นฯของที่เขาทอดทิ้งเหมือนกับท่อนไม้ไร้ประโยชน์” ฟังเพียงเท่านี้พระติสสะก็เป็นพระอรหันต์ ก็รวมความว่าการเป็นพระอรหันต์ นี่ตัดที่รูปตัวเดียว คือที่ร่างกาย ....

พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน