วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

31: นะโม พระศรีอาริยะเมตไตรโย โพธิสัตโต

นะโม พระศรีอาริยะเมตไตรโย โพธิสัตโต
นะโม พระศรีอาริยะเมตไตรโย โพธิสัตโต
นะโม พระศรีอาริยะเมตไตรโย โพธิสัตโต


เมื่อวานนี้, 11:00 AM#5275
ศรีอาริยะ.....ยุคแห่งการบรรลุธรรม

ตั้งแต่กึ่งกลางพุทธกาล ปีพุทธศักราช 2500 เป็นต้นมา นับเป็นช่วงของเหล่าบรรดาเทพเทวาทั้งหลาย บ้างก็ได้จุติลงมาเพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนา บ้างก็ลงมาบำเพ็ญผ่านร่างสังขารของมนุษย์ที่เรียกกันว่า ผู้มีองค์บารมี รวมทั้งจะเห็นปรากฏการณ์เกี่ยวกับพญานาคที่เปิดเผยขึ้นมามากมายในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นแบบเปิดเผย ไม่ปิดบังกันต่อไปอีกแล้ว ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นไปตามพุทธทำนายที่พระสมณโคดม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้พุทธพยากรณ์ไว้

ท่านเคยสงสัยหรือไม่ว่า ก่อนช่วงกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ซึ่งนับเป็นช่วงปลายของเหล่าสาวก ยุคของพระสงฆ์และอุบาสกอุบาสิกาเป็นผู้อาสาดูแลพระพุทธศาสนา เราจะเห็นผู้ที่สำเร็จพระอรหันต์มีจำนวนน้อย และดูตามประวัติแล้ว แต่ละท่านต้องใช้วิริยะอุตสาหะอย่างยิ่งยวดกว่าจะบรรลุอรหันต์ได้ และมีจำนวนน้อยมาก

แต่ในช่วงเริ่มต้นกึ่งกลางพุทธกาลนี้ จะเป็นวงรอบคล้ายกับเมื่อตอนเริ่มต้นยุคพุทธกาล เมื่อครั้งสมัยพระพุทธองค์ยังพระชนชีพ และหลังพระนิพพานเล็กน้อย จะพบผู้บรรลุอรหันตผลจำนวนมากมาย 

ซึ่งในช่วงเริ่มกึ่งพุทธกาลนี้ก็เช่นกัน ผู้ที่บำเพ็ญในขั้นปรมัตถบารมี ล้วนเป็นหัวกระทิ ส่วนใหญ่เป็นสายพญานาค(ผู้บำเพ็ญ) ซึ่งเป็นเทพที่อาสามาในช่วงต้นกึ่งพุทธกาล (ช่วงท้ายจะเป็นเทพฝ่ายมารเป็นผู้ดูแล) เทพที่ลงมาในช่วงนี้จึงเป็นผู้ที่มีบุญบารมีที่เต็มแล้ว บ้างก็อาสาลงมา หรือได้เวลาลงมาจุติ เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวสืบไปนับ 5,000 ปี ดังนั้น การจะบรรลุธรรมนั้นจะง่ายมากกว่าช่วงปลายก่อนปี 2500 และจะบรรลุธรรมตั้งแต่ระดับโสดาบันถึงอรหันต์จำนวนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฆราวาส ผู้ภาวนา พระสงฆ์ หรือที่เรียกว่า ผู้บำเพ็ญชุดขาว (ฆราวาสแม้จะสวมเสื้อผ้าสีอะไรก็ตาม) ซึ่งหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็เคยทำนายไว้แล้วว่า จะมีผู้ที่สำเร็จอภิญญาเกิดขึ้นมากมายหลังจากปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นไป ก็ลองสังเกตตัวเองและผู้อยู่รอบข้างให้ดีนะครับ อย่าได้ปรามาสกัน แม้แต่ในเว็บบล็อกนี้ ก็ปรามาสกันไม่ได้เชียวนะครับ

ยุคนี้ จึงเรียกว่า ยุคศรีอาริยะ ยุคของพระอริยเจ้า ยุคของอภิญญา

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
5 ตุลาคม 2554

ข้อความจากเว็บบล็อก http://dr-nontayan.blogspot.com/2011/09/blog-post.html

.......................................................................................................
สมาชิกธรรม:
โมทนาสาธุครับ.....ยินดีกับทุกๆท่านที่มีความก้าวหน้าในการปฎิบัติและเกิดความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ.....ได้อ่านบทความนี้แล้วยิ่งเพิ่มกำลังใจมากขึ้นมีความมั่นใจและมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสุ่จุดหมายที่วางไว้.....กำลังใจยังเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อผู้ที่กำลังปฎิบัติ.....ขอบคุณมากครับท่านดร.นนต์
.......................................................................................................
สมาชิกธรรม

IT Man:
กำลังใจมีให้ ไปถึงไม่ขาดสาย ดุจเดียวกับกระแสแห่งอริยะมรรคก็ไหลไปไม่หวลกลับอีกแล้ว...

ยินดีและโมทนาบุญด้วยครับผม

.......................................................................................................
Phoobes:เมื่อวานนี้, 10:19 PM #5288
ข้อความของดร.นนท์ สอดคล้องกับสิ่งที่ผมได้รับรู้มาเช่นกัน จึงขอเล่าสู่กันฟัง และโปรดถือว่าเป็นเรื่องราวอีกเรื่องราวหนึ่ง จากหลายเรื่องราวที่ท่านเคยได้ยินได้ฟังมา ไม่ต้องเชื่อ และวางเฉยไว้หากเรื่องราวต่อไปนี้ไม่เกิดประโยชน์อันใดกับท่าน

ประมาณปี2537 ผมได้โอกาสรับรู้เรื่องราวดังจะเล่าสู่กันฟัง...

นโม พระศรีอาริยะเมตไตรโย โพธิสัตโต

นับแต่กึ่งพุทธกาล ปีพ.ศ.2500 เป็นต้นมา พระศรีอาริยะเมตไตรย โพธิสัตว์เจ้า ประทับอยู่ ณ เบื้องบนสวรรค์ ได้ทรงเล็งเห็นถึงความเดือดร้อนต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ในกึ่งพุทธกาลหลัง ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติ โรคภัยไข้เจ็บ หรือความเดือดร้อนต่างๆ
ด้วยพระเมตตา และพระบารมีอันเปี่ยมล้นของท่านที่ทรงบำเพ็ญมาถึง 16อสงไขย แสนมหากัปป์ (เบื้องบนจะให้ความเคารพที่บุญบารมีและความดี) จึงทรงบัญชาให้เหล่าพรหมเทพทุกชั้นฟ้า และพระองค์เอง ได้แบ่งภาคแบ่งญานลงมาคุ้มครอง สงเคราะห์ ช่วยเหลือมนุษย์ ทั้งนี้ด้วยทรงเห็นว่ามนุษย์ก็เป็นลูกหลานของเบื้องสวรรค์ จะสงเคราะห์ได้มากน้อยขึ้นอยู่กับบุญกรรมของแต่ละบุคคลเป็นเหตุปัจจัย
มนุษย์ที่เกิดนับแต่พุทธกาลหลังที่ลงมานั้น บ้างมาจากดวงจิตที่เป็นภาคส่วนขององค์เทพที่มีบารมีมากแบ่งลงมา บ้างก็มาจากดวงจิตที่เป็นผู้บำเพ็ญทั้งดวง ทั้งนี้เพื่อมาทำหน้าที่ตามบัญชาขององค์พระศรีอาริยะเมตไตรย

เรื่องราวที่ได้รับรู้และเล่าสู่กันฟัง ด้วยเป็นผู้หนึ่งที่องค์ญานบารมีของเทพพระองค์หนึ่ง เคยให้ทำหน้าที่ร่วมกับองค์ญานบารมี 
ด้วยเพราะความเกี่ยวข้อง เกี่ยวพัน กับองค์ญานบารมีพระองค์นั้น ในการช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน โดยไม่ได้หวังประโยชน์ใดๆจากผู้นั้นเลย นอกเสียจากให้เขาประพฤติและกระทำความดี
ซึ่งในส่วนนั้นก็ได้ทำหน้าที่อยู่ประมาณ5-6ปี จึงขอลามาทำหน้าที่ในส่วนตน หรือต่อไปในอนาคตอาจจะต้องทำหน้าที่ต่อในส่วนอื่นอีก ก็คงจะเป็นไปในรูปแบบอื่นที่ไม่เหมือนเก่า
การสื่อสารกับองค์ญานบารมีมีหลายแบบ บ้างด้วยสัมผัสทางหู(ได้ยินเสียง) บ้างสัมผัสทางตา(เหมือนตาทิพย์) หรือสัมผัสรับรู้ทางใจ แต่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการปฏิบัติแบบได้อภิญญา เกิดขึ้นจากองค์ญานบารมีท่านเปิดให้ คงไม่กล่าวอะไรลงรายละเอียดไปมากกว่านี้
ผมเคยปรารภกับกลุ่มสายธรรม เรื่องนัยแห่งรหัส16 (ความรู้ความเห็นส่วนตน) ในความหมาย คือ ผู้ที่มีหน้าที่หมุนกงล้อแห่งธรรม ดำเนินตามรอยบาทแห่งองค์พระศรีอาริยะเมตไตรย ไปจวบจนถึงยุกาลศาสนาของพระองค์ 
การรับรู้ถึงหน้าที่และจุดมุ่งหมาย จึงเป็นสิ่งรับรู้ที่น่าปลื้มปิติ และภาคภูมิใจ มิพักต้องสงสัยอะไรอีกต่อไป จะด้วยความผูกพัน เกี่ยวพัน หรือตั้งจิตปรารถนาไว้ก็ตาม มันคือปณิธานของดวงจิตนั้น เป็นเหมือนพันธะสัญญาทางใจ
ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งสำคัญในปัจจุบันคือทำหน้าที่ในส่วนตนให้ถึงพร้อมในเบื้องต้น พร้อมกับยังประโยชน์ในส่วนท่านหรือส่วนรวมต่อไปจวบจนถึงที่สุด...
ขอเจริญในธรรม

.......................................................................................................
IT Man:
...อาการเต็มไปด้วยความปลื้มปีติยินดี เอิบอิ่มในใจแต่เช้า ไม่รู้เพราะอะไรกันหนอ? 

...ที่แท้ก็เป็นเพราะจักได้กล่าวคำบูชาสรรเสริญพระคุณแห่งพระศรีอาริยเมตไตรย 
พระพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายในภัทรกัป ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมียาวนานที่สุด ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้เอง

...ข้อความของท่านภูเบศวร์ ทำเอาใจผมสะเทือนด้วยความปีติยิ่งครับ

...โมทนาสาธุ สาธุ สาธุ

.......................................................................................................
ดร.นนต์: วันนี้, 08:31 AM#5293
เรื่องนัยแห่งรหัส16

รหัส 16 คือ บุคคลที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว 16 อสงไขย และแสนมหากัป ไม่ว่าจะเป็นอัครสาวกหรือสาวกที่ปรารถนาตามพระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า ก็ย่อมบำเพ็ญมาแล้ว 16 อสงไขยและแสนมหากัปเช่นเดียวกัน และทั้ง 16 บุคคลแรกก็กำลังไต่เต้าระดับอริยบุคคลเพื่อให้ทันการวาระปี 2555 ที่กำลังจะมาถึง (บางท่านกำลังรอเวลาหลุดพ้น บางท่านก็ไม่รู้ตัวเองว่าอยู่ระดับใด) ที่เหลือจาก 16 ก็จะตามกันมาในภายหลัง ไม่ธรรมดานะครับ (นี่คือการรับรู้ในสภาวะจิตของผมไม่เกี่ยวกับผู้ใด)

เรื่องของอจินไตย เรื่องเหนือโลก นั้นต้องเข้าใจในวงแคบ พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านกล่าวเสมอว่า สามัญชนไม่สามารถรู้ระดับของอริยบุคคล พระโสดาบันไม่รู้ระดับของพระสกิทาคามี พระสกิทาคามีไม่รู้ระดับของพระอนาคามี พระอนาคามีไม่รู้ระดับของพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่รู้วิสสัยของพระนิยตโพธิสัตว์ พระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมเข้าไม่ถึงวิสสัยของพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้ารู้แจ้งแทงตลอดไม่ว่าจะเป็นใครในสามภพนี้ก็ตาม ผู้ที่อยู่เหนือกว่าย่อมรู้ระดับของผู้ที่อยู่ต่ำกว่า

น้ำตุ่มหนึ่ง ตักแบ่งออกมาเป็นขัน ก็ยังเรียกว่าน้ำอยู่ การแยกจิตหรือญาณลงมาบำเพ็ญนั้น ก็ยังเรียกว่าเป็นของผู้นั้นอยู่ แต่เรื่องของเจตสิกนั้น มันเกินวิสสัยของผู้คนธรรมดา เป็นเรื่องของนิยตโพธิสัตว์เจ้า เหล่าสาวกมิอาจเข้าถึงได้ เจตสิกที่ตกค้างในนามสมมุติหนึ่ง ภพหนึ่ง เจตสิกนั้นก็ย่อมกลับมาเก็บตกเจตสิกของตัวเองกลับคืนไปเบื้องบน เจตสิกนั้นมีมากเพียงใดหนอ คนธรรมดาไม่มีสิทธิ์รู้ได้ โอ้...มันเป็นเรื่องของอจินไตย ที่ค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ จะปวดหัวหรือเป็นบ้าไปเสียก่อน พระพุทธเจ้าท่านจึงต้องตรัสสั่งไว้ว่า เรื่องของอจินไตยนั้น มันเป็นเรื่องเหนือโลก มันเกินวิสสัยของบุคคลธรรมดา อย่าไปค้นหามันเลย เพราะเรื่องอจินไตยเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า และพระผู้พ้นแล้วเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ความศรัทธาของเหล่าสาวกที่ได้ตั้งจิตปณิธานไว้นั้น เพียงได้รับรู้เรื่องราวบางอย่าง (จริงบ้างไม่จริงบ้าง) ก็ย่อมส่งผลต่อกำลังใจอย่างแน่นอน และย่อมส่งผลต่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้ถึงแล้ว จะรู้เอง เห็นเอง

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์

.......................................................................................................
chantasakuldecha :
สาธุ สาธุ "ผู้ถึงแล้ว จะรู้เอง เห็นเอง" โมทนาบุญ โมทนาบุญ โมทนาบุญ กับพี่เลี้ยงของกลุ่มสายธรรมด้วยครับ(อ่านจบมีความปีติมากๆครับ) 1-2วันที่ผ่านมานี้ มีความรู้สึกแปลกๆ(ในทางดีนะครับ)
.......................................................................................................
ดร.นนต์:
อนุโมทนาด้วยครับ
ผมเคยกล่าวไว้แล้วว่า หลังจากที่ท่านจัดห้องพระถูกต้องแล้ว ภายในเจ็ดวัน ท่านจะประสบความสำเร็จในทางธรรมและทางโลกแบบก้าวกระโดด เพียงแต่ว่าท่านยังไม่แน่ใจในระดับของตัวเอง ไม่ธรรมดานะครับ ขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง ลูกของพระพุทธเจ้าก็เป็นเยี่ยงนี้แหละ สิ่งเหลือเชื่อจึงบังเกิดขึ้น สาธุ

ส่วนท่านสมบัติ ผมเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านั้นว่า หลังจากจัดห้องพระเสร็จและถูกต้อง ท่านจะพบกับความสำเร็จทั้งทางธรรมและทางโลกภายในหนึ่งเดือน ซึ่งก็ล้วนส่งผลมาแล้ว ก็ขออนุโมทนาด้วยครับ รวมถึงนักรบธรรมอีกหลายๆท่าน ท่าน ดร.ณัฐชัย ท่านภูเบศร์ก็ไม่ธรรมดา ท่านสมาชิกธรรม ท่านสันติ ท่านร่วมชาติ ฯลฯ ก็ล้วนก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดแบบเหลือเชื่อ และยังมีอีกหลายๆคนที่ผมไม่รู้จัก ก็ล้วนไม่ธรรมดา จึงอย่าได้ปรามาสกันเชียวนะครับ
ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์

.......................................................................................................
ผู้หมวดซุป:
ขออนุโมทนากับท่าน อ.นนต์ พี่สมบัติ ครูร่วมชาติ คุณภูเบส คุณซึ้งบน และพี่พิเชษ ด้วยนะครับที่พวกท่านได้ก้าวขึ้นสูงไปได้เรื่อยๆ ส่วนผมก็จะพยายามตามพวกท่านไป ซึ่งผมก็พึ่งจะเริ่มปฏิบัติมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แค่ได้ไปกราบและฟังธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์ก็ถือว่ามีบุญวาสนาแล้ว และก็จะพยายามเร่งสร้างครับ ยังไงก็ช่วยแนะนำด้วยนะครับ พี่เลี้ยงสายธรรม ทุกท่าน
.......................................................................................................
IT Man:
ขอบพระคุณครับ,

เรียนตามตรงว่า...ไม่ได้รู้ตัวอะไรเลย หุหุ แต่ก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไปเรื่อยๆเสมือนหนึ่งว่า...เราทานข้าว หายใจ ฯลฯ...พบเห็นกิเลสวิ่ง,เดินผ่านหน้า ก็เกิดมีอุบาย ระงับดับหาย คลายถอนไปเองแบบ auto. 

คิดว่า...จิตบรรลุธรรมในระดับต่างๆ เขาก็จิตดวงเดียวกับจิตดวงเก่าที่เกลือกกลั้วไปมากับกิเลสเดิมๆ เพียงแต่จิตดวงนี้เขาไม่อยาก เขาไม่เอา เขาไม่เล่น เขาไม่สนใจใยดีกับกิเลสในระดับต้น กลาง ปลาย ประมาณนี้ครับ

เอาน่า...ไปด้วยกันนะ เดี๋ยวก็ถึงครือกัน อย่าท้อเสียก่อนเด้อพี่น้อง..

.......................................................................................................
สมาชิกธรรม:
โมทนาสาธุ.....คมครับ.....ขนาด"ไม่ได้รู้ตัวอะไรเลย" นะเนี่ย หึ
.......................................................................................................
IT Man:
ล่าสุดได้รับคำยืนยัน/รับรองเมื่อคืนนี้เช่นกัน (ตรงกัน) จนตกกะใจไปทั้งสองฝ่าย 
หุหุ กระทบไปถึงอีกท่าน ที่อยู่ในระดับเดียวกัน...แต่ท่านอาจจะยังไม่รู้ตัว

หุหุ...เป็นกบกันหรือไงเนี่ย...เหล่า นรธ.ศิษย์ท่าน พ.สุรเตโช เอ๋ย...

.......................................................................................................
ฤทธิ์อภิญญาและการบรรลุธรรมนั้น เป็นเยี่ยงใดหนอ?

พระพุทธปฐวีธาตุ รุ่นจักรพรรดิมณีนาคา ที่พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ได้บรรจงสร้างขึ้นมาให้กับเหล่านักรบธรรมนั้น ไม่ว่าจะมีรูปแบบใด ท่านก็มีเจตนาสร้างไว้เพื่อการเจริญภาวนาสมาธิเป็นด้านหลัก แต่พลานุภาพแบบครอบจักรวาลและประมาณมิได้อีกนั้น เป็นของแถมที่ท่านให้มา

ผมขอยืนยันในสิ่งที่ผมพูด เพราะเมื่อคืนก่อน (5ตุลาคม2554) ผมได้อัญเชิญพระพุทธปฐวีธาตุ (องค์ในรูป) มาไว้บนมือขณะนั่งภาวนาสมาธิ ปรากฏว่าจิตสงบดิ่งเร็วมาก เมื่อจิตสงบปรากฏว่า องค์พระพุทธปฐวีธาตุได้ส่งพลังมหาศาลจนองค์พระดิ้นอยู่ในมือ พร้อมกับปรากฏแสงสว่างสีขาวนวลตาขึ้นมาในจิต ความเยือกเย็น ความอิ่มเอิบก็ปรากฏขึ้น นั่นคือ ความมหัศจรรย์ทางจิตที่บังเกิดขึ้นจากองค์พระพุทธปฐวีธาตุ พ่อแม่ครูอาจารย์พูดถึงเรื่องแสงโอภาสสีต่างๆนั้นๆ มักจะเกิดกับผู้ที่มีดวงจิตที่เข้าสู่เส้นทางของสมาธิแล้ว และจะปรากฏไปเรื่อยๆตามจิตที่เข้มแข็งขึ้น แต่ท่านไม่ให้ยึดติดในแสงเหล่านั้น เพราะมันไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งค้นหามันยิ่งหลั่งไหลเข้ามาไม่สิ้นสุด ดังนั้นมันจะเกิดก็ให้มันเกิด เราเห็นแล้วก็วางมันลงเสีย เพราะมันเป็นแค่ของเล่นเท่านั้น

อนึ่ง การที่ผู้ใดจะบรรลุธรรมนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับฤทธิ์ทั้งหลายที่ปรากฏขึ้นหรอก ผู้มีฌานมีญาณทัศนะที่เลอเลิศ ก็มิได้มีความหมายว่าท่านได้บรรลุธรรมแล้ว แต่ผู้บรรลุธรรมนั้น เขาดูตรงสภาวะของจิตที่ผุดรู้ด้วยปัญญาญาณแบบอัตโนมัติ เกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ปรุงแต่ง เมื่อรู้แจ้งในธรรมข้อนั้นแล้ว ก็ละวางไม่ยินดียินร้ายหรือติดในอารมณ์นั้นอีกต่อไป ตัดมันลงได้อย่างสิ้นเชิงในชั่วเวลาแว๊บเดียว ยังคงเหลือแต่สัญญาจำได้ว่ามันเคยเกิดขึ้นแล้ว และจะไม่เกิดการวิปัสสนาในธรรมข้อนั้นได้อีกเลย เพราะมันละวางแล้วตัดแล้วนั่นเอง อาการสั่นสะเทือนในข้อธรรมที่ได้บรรลุนั้น มันเป็นอาการที่บอกใครไม่ได้ แต่ในจิตของผู้นั้นจะบอกเองและจบลงเอง ถึงแล้ว รู้เอง (ถ้าเป็นวิปัสสนูปกิเลสนั้น อาการติดในอาการนั้นจะยังคงอยู่ และมักเกิดจากการปรุงแต่งของจิตในข้อธรรมนั้นเอง)

ท่านทั้งหลาย สภาวะของการบรรลุธรรมนั้น มันก็เป็นอาการสมมุติ ใครจะเรียกอะไรก็ช่างเถอะ เมื่อเราเข้าสู่สภาวะนั้น รู้แล้วในสภาวะนั้น ตัดมันได้เองโดยไม่ได้เสแสร้งในสภาวะนั้นแล้ว อาการสั่นสะเทือนในมิติของจิตเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในสภาวะนั้น จิตผุดรู้บอกสภาวะของจิตเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในสภาวะนั้น ความว่างเปล่าไม่สนใจในสภาวะนั้นก็บังเกิดขึ้น กระแสแห่งความเย็นก็แผ่เข้าสู่ธาตุขันธ์มิเสื่อมคลายก็บังเกิดขึ้น กระแสความเย็นแห่งพุทธะก็เกิดขึ้นและไม่สามารถย้อนกลับไปสู่กระแสร้อนได้อีกต่อไป ขณะเดียวกันผู้ที่อยู่ใกล้ผู้ที่เข้าสู่กระแสเย็นแล้วก็ย่อมได้รับคลื่นความเย็นจากผู้นั้นอย่างไม่รู้ตัว ขอให้ทุกท่านจงพิจารณา มหาพิจารณาในสิ่งที่บังเกิดขึ้นกับตัวท่านเถิด

ปรมัตถบารมี ที่เต็มแล้วนั้น การบรรลุธรรมย่อมเกิดขึ้นได้ตามเหตุและกาลอันควร ปิดกั้นไว้ก็ไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่อยู่เหนือโลกเกินกว่าผู้คนทั่วไปจะเข้าใจได้ เมื่อท่านได้เข้าสู่สภาวะนั้นแล้ว จงตระหนักต่อหน้าที่ที่ตัวเองตั้งปณิธานไว้เถิด ลูกพระพุทธเจ้าไม่เคยเบื่อหน่ายต่อการบำเพ็ญบุญบารมี แม้จะเต็มแล้วเต็มอีกก็ตาม เมื่อพ้นไปแล้วก็ยังต้องกลับลงมาช่วยผู้ที่ยังติดค้างอยู่ นี่คือ พันธะสัญญาของเหล่าพุทธวงศ์ และเป็นพันธะสัญญาของศิษย์ พ.สุรเตโช

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
7 ตุลาคม 2554

.......................................................................................................