วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

45: ทอดกฐินวัดพระธาตุดอยหัวฝาย

ทอดกฐินวัดพระธาตุดอยหัวฝาย
อาทิตย์ที่ 30 ต.ค. '54
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000507.jpg
Views: 0
Size: 199.3 KB
ID: 1743228  คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000503.jpg
Views: 0
Size: 147.7 KB
ID: 1743227 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000508.jpg
Views: 0
Size: 235.5 KB
ID: 1743229คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000509.jpg
Views: 0
Size: 219.1 KB
ID: 1743230 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000510.jpg
Views: 0
Size: 239.6 KB
ID: 1743231 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000512.jpg
Views: 0
Size: 284.5 KB
ID: 1743232

44: ทอดกฐินวัดโพธิคุณ

ทอดกฐินวัดโพธิคุณ (วัดห้วยเตย)
เสาร์ที่ 29 ต.ค. '54


ทอดกฐินวัดโพธิคุณ (วัดห้วยเตย)
เสาร์ที่ 29 ต.ค. '54
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000481.jpg
Views: 0
Size: 183.4 KB
ID: 1743207 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000482.jpg
Views: 0
Size: 197.9 KB
ID: 1743208 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000483.jpg
Views: 0
Size: 166.9 KB
ID: 1743209คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000484.jpg
Views: 0
Size: 150.3 KB
ID: 1743210 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000485.jpg
Views: 0
Size: 169.1 KB
ID: 1743211 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000486.jpg
Views: 0
Size: 169.7 KB
ID: 1743212คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000487.jpg
Views: 0
Size: 171.2 KB
ID: 1743213  คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000491.jpg
Views: 0
Size: 151.3 KB
ID: 1743215คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000492.jpg
Views: 0
Size: 166.3 KB
ID: 1743216 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000493.jpg
Views: 0
Size: 144.1 KB
ID: 1743217 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000495.jpg
Views: 0
Size: 141.5 KB
ID: 1743218 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000499.jpg
Views: 0
Size: 174.5 KB
ID: 1743220 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000500.jpg
Views: 0
Size: 218.9 KB
ID: 1743221 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000501.jpg
Views: 0
Size: 187.1 KB
ID: 1743222 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: WP_000502.jpg
Views: 0
Size: 156.7 KB
ID: 1743223
ท่านพระพุทธทาสสอนว่า...

ลูกที่ดี ย่อมเป็นอนุสาวรีย์ที่งดงามแห่งพ่อและแม่
ความดีงามของลูก ย่อมสะท้อนถึงความงามแห่งพ่อและแม่ที่ปลูกฝังให้ลูกเช่นกัน

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

43: พิษร้ายแห่งอวิชชา

ดร.นนต์:เมื่อวานนี้, 12:51 PM:#5604
ธรรมนิมิต
เรียนทุกท่าน
ตอนแรกผมคิดจะไม่เผยแพร่ "ธรรมนิมิต" ออกสู่สาธารณชนบนเว็บบอร์ดนี้ แต่พอมาอ่านเจอข้อความของคุณมานพ (เก๋) ดังข้างต้น ทำให้ผมต้องเปลี่ยนใจนำเอาเรื่องเล่านิมิตที่เกิดขึ้นเมื่อวาน และเคยส่งไปให้นักรบธรรมบางท่านอ่านเป็นการภายใน ซึ่งผมเล็งเห็นว่า แม้มันจะเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริงในนิมิตนั้นก็ตาม แต่สิ่งที่น่าจะเกิดประโยชน์ต่อสาธารณชนนั้นก็คือ การนำเอานิมิตนั้นมาเป็นอุบายธรรมให้เราพิจารณาต่อไป เรื่องเล่าต่อไปนี้ แม้ข้อความทั้งหมดอาจไม่ถูกต้องทุกอย่างตามในนิมิต(จำไม่ได้ทั้งหมด) แต่เนื้อหาหลักยังถูกต้องและพอเป็นแนวเรื่องได้ จึงขอให้ทุกท่านลองพิจารณาเอาเองนะครับ
เมื่อคืนตอนตีสามถึงตีสามสิบนาที เป็นวันพระใหญ่แรม 14 ค่ำ เดือน 11 (26 ตค. 2554) ผมได้นิมิตเห็นคณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรน่าจะครบทั้งห้าพระองค์ ผมจำได้แม่นยำสี่พระองค์คือ พระโสณเถระ พระอุตรเถระ ขรัวขี้เถ้า พระอิเกสโร ส่วนอีกองค์จำหน้าไม่ได้ เพราะท่านหันหลังให้ ท่านได้มาแสดงปริศนา(สอน)ธรรมให้กับผม องค์แรกเรียกให้ผมไปเอาคำหมากเมื่อเข้าไปใกล้ท่านกลับหายตัวไป เหลือเห็นเนินดินเป็นขี้เถ้า พร้อมกับเหลือคำหมากกองโตคล้ายขี้ช้าง มีทั้งเก่าและใหม่ ต่อมาผมเรียกหาท่านกลับเห็นพระอีกองค์เดินหันหลังให้ ผมจึงเดินตามไปอย่างรวดเร็วจนไปถึงกุฏิหลังเล็กๆในป่าแล้วท่านก็หายไป ผมเดินอ้อมกุฏิไปทางด้านข้างกลับพบพระรับใช้รูปหนึ่งท่านพาไปด้านหน้ากุฏิ แล้วมีพระรูปหนึ่งผมจำได้ว่าเป็นพระโสณเถระเจ้า ท่านถามผมประโยคหนึ่งและผมก็ตอบท่านไปแต่จำไม่ได้ (ประมาณว่าอยากรู้อะไร) แต่ที่จำได้คือ ท่านได้โยนพระรูปหนึ่งลงจากกุฏิมาที่ผม ผมจึงรับไว้ ปรากฏหน้าคล้ายกับพระอุตระเถระเจ้า หน้าตานิ่งเฉยร่างกายเหมือนกำลังจะเน่า พระโสณเถระถามว่า จะพิจารณาอย่างไร ผมตอบไปว่า พิจารณาอสุภะข้าน้อย(ขอรับ) ท่านตอบว่า "จงพิจารณาอวิชชานะ" ผมตอบท่านว่า "พิจารณาอวิชชาข้าน้อย(ขอรับ)" ต่อมาผมเห็นสตรีท่านหนึ่งนั่งอยู่ข้างเรือเก่าข้างกุฏิพยายามให้ผมดูข้างในเรือ ผมเห็นคำภีร์เก่าๆวางอยู่บนเรือ เสมือนให้ผมรู้ว่า เรือนั้นเปรียบเสมือนพาหนะบรรทุกพระธรรม(พระไตรปิฎก) เมื่อเรานั่งเรือ(ศึกษาพระธรรม)ไปถึงฝั่งแล้ว ไม่มีใครแบกเรือไปด้วย พระธรรมก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราเข้าใจแล้วก็ไม่จำเป็นต้องแบกพระธรรมนั้นไปด้วย เพราะพระธรรมเป็นของโลก เราก็คืนไว้กับโลกนั่นเอง ซึ่งพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ท่านบอกว่า ผู้บรรลุอรหันต์แล้ว ดวงจิตดับแล้ว ท่านไม่เอาอะไรไปอีกแล้ว ท่านทิ้งไว้แต่คุณธรรมให้แก่โลก และเมื่อถึงวาระหนึ่งคุณธรรมนั้นก็เงียบหายไป(อนิจจัง) ไม่มีผู้ใดจดจำได้อีก เฉกเช่นพระอรหันต์หรือแม้แต่กระทั่งพระพุทธเจ้าในยุคต้นที่นับแสนๆพระองค์ที่พวกเราไม่ทราบพระนามของท่านนั่นเอง (อนึ่ง ขณะที่ผมกำลังพิจารณาเรือและคำภีร์เก่าอยู่นั้น ภายในจิตของผมก็รำพึงรำพันออกมาพร้อมๆกันกับสตรีนางนั้นว่า ยังมีพระแบบนี้อยู่อีกหรือ รำพึงรำพันออกมาด้วยความเคารพนอบน้อมและด้วยความปีตินั่นเอง)

ผมขอขยายความจากอุบายธรรมข้อนี้คือ เมื่อผมโน้มไปถึงคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ขณะอยู่ในช่วงธรรมสัญจรที่จันทบุรี ท่านชี้ให้เห็นว่า ธรรมทั้งหลายมีมาก พระพุทธเจ้านำมาเพียงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ย่อลงมาอีกเหลือมรรคมีองค์แปด ย่อลงมาอีกเหลือ ทาน ศีล สมาธิ ย่อลงมาอีกเหลือกายกับจิต สุดท้ายแม้แต่จิตก็ไม่เหลือ จึงเข้าสู่สภาวะสุญญตานั่นเอง ผู้ที่ปฏิบัติจนละเอียดเข้าสู่การละวางจิตได้จึงมีแต่พระอรหันต์ขึ้นไปเท่านั้น นั่นจึงแสดงว่า พระผู้พ้นแล้วไม่มีใครเอาพระธรรมไปด้วยนั่นเอง

หลังจากนั้น ผมได้เดินวนไปอีกที่หนึ่งได้พบกับพระหนุ่มรูปหนึ่ง ท่านพาผมเดินไปหาพระรูปหนึ่งหน้าเหมือนกับพระอิเกสโรเถระเจ้า แล้วพระหนุ่มองค์ที่พาผมไปพูดขึ้นว่า เออยังหนุ่มและเอาจริงเช่นเดียวกับกระผม(ตัวท่าน)เมื่อตอนเป็นหนุ่มเมื่อสองร้อยกว่าปี พระที่เหมือนพระอิเกสโรหันมามองแล้วก็พูดว่า เออยังหนุ่มและเอาจริงเดี๋ยวจะสงเคราะห์ แล้วท่านบอกให้ผมไปยังบริเวณใต้น้ำตก หลังจากนั้น ผมก็รู้สึกตัวขึ้นมาเนื่องจากจิตและกายเกิดปีติซาบซ่านสั่นไปทั้งตัว ผมจึงต้องลุกขึ้นมาเดินจงกรมและนั่งสมาธิตอนตีสามสิบนาทีทันที จนถึงตีห้า ผมจึงพยายามนำมาเป็นอุบายในการพิจารณาธรรมตามที่ท่านเมตตาลงมาสอน

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะนิมิตเห็นคณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ผมได้นิมิตเห็นผู้หญิงเปลือยในหลายลักษณะ และรู้ในจิตว่ากำลังถูกทดสอบ ขณะเดียวกัน ก็เกิดภาพให้เห็นแม่ พี่สาวสองคน และน้องสาวของผมอีกหนึ่งคน ซึ่งเป็นการนิมิตที่ต่อเนื่องมาถึงคณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรแบบรวดเดียว การนิมิตเห็นภาพแม่พี่และน้องสาว จึงเป็นนัยสอนให้ผมพิจารณาหากเกิดกามราคะ ก็ขอให้พิจารณาว่า ผู้หญิงก็เป็นเพศแม่และเป็นเช่นเดียวกันกับพี่สาวและน้องสาวของเรานั่นแหละ มันเป็นอุบายธรรมให้เราคลายกำหนัดได้อีกวิธีหนึ่งนอกจากสุภะและอสุภะ ซึ่งในช่วงเวลานี้ ผมกำลังต่อสู้อยู่กับกามราคะแบบจะหักดิบเสียให้ได้ ทั้งที่ความจริงผมไม่เคยได้ยุ่งเรื่องนี้มานานนับปีๆแล้ว แต่มันมักจะโผล่ขึ้นมาทดสอบอยู่เรื่อยๆ ข้อนี้จึงน่าจะเป็นแนวทางให้กับทุกท่านได้

อนึ่ง ความจริง ผมไม่ค่อยฝันหรือนิมิตใดๆเลย นานๆถึงจะมีนิมิตสักครั้ง และสิ่งต่างๆมักจะเกิดขึ้นในวันพระหรือวันโกนแรม 14 ค่ำ ซึ่งมันตรงกับวันเกิดของผมที่เกิดวันโกนแรม 14 ค่ำ และเมื่อนิมิตก็จะรู้ว่าคือนิมิต เพราะเรื่องราวจะตรงกับนิมิตแทบทุกครั้ง(ที่ผ่านมา) เรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมเพียงแต่อยากให้ทุกท่านเป็นพยานในสิ่งที่ผมได้นิมิต เผื่อวันข้างหน้าอาจเกิดประโยชน์ต่อนักภาวนา ผมจึงตัดสินใจนำมาเล่าสู่กันฟัง แม้สิ่งที่นิมิตจะจริงหรือไม่จริงก็ช่าง แต่สิ่งที่ผมได้จากนิมิตคือ อุบายธรรมที่ผมจะได้นำมาพิจารณาให้เห็นอวิชชาตามที่พระเบื้องบนได้เมตตาสอนมา

หนทางของผมยังอีกยาวไกล สิ่งใดจะสามารถเรียนรู้ร่วมกันได้ ก็จงพิจารณาเอาเองนะครับ
ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
27 ตุลาคม 2554

.........................................................................................................
คุณอ๊อด:
กระผมให้ความ "เคารพ"และ "นับถือ" ท่านอ.นนต์นั้นเป็นพี่ใหญ่แห่งกลุ่มสายธรรม ดังนั้นนิมิตหรือการบอกเล่าสิ่งต่างๆ ของอ.นนต์นั้น ผมถือว่าเป็น "ครู" ของกระผม
และเนื่องจากศิษย์คนนี้ยังด้อยปัญญานักและยังไม่สามารถคิดพิจารณาในบางสิ่งที่บารมีตัวเองยังไม่ถึง ดังนั้น สิ่งที่ครูได้บอกมานั่นคือ "สิ่งที่กระผมควรเคารพเชื่อฟังและนำไปปฏิบัติ" เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองเสียก่อน จึงจะได้เกิดความ "เชื่อ" ได้เต็มร้อย
กราบขอบพระคุณ "ครู" ด้วยอาการคารวะอย่างสูง

.........................................................................................................
ดร.นนต์:#5611
โปรดระวัง
วิชชาจิตรู้ พระเบื้องบนนั้นเที่ยง
แต่ตัวเรา(ผู้ถามจิต) นั้นไม่เที่ยง

จงอย่านำไปเป็นมาตรฐานหรือรับรองในทุกกรณี หรืออย่านำไปถามในสิ่งที่เกินวิสสัยของเรา (เพราะเรายังเป็นแค่นักปฏิบัติที่ยังอยู่ในขั้นธรรมดาหรือยังเป็นสามัญบุคคลอยู่) และขอให้รู้ว่า วิชชาจิตรู้นี้ มิสามารถเข้าไปล่วงเกินหรือรู้เห็นวิสสัยของพระอริยเจ้าหรือผู้ที่อยู่เหนือโลกได้เป็นอันขาด เพราะวิชชาจิตรู้ เป็นแต่เพียงเราถามในจิต โดยอาศัยผู้อื่นเป็นผู้ตอบ (จริงหรือไม่ก็ไม่รู้) บางครั้งจิตเราอาจอุปทานตอบเองก็ได้ ดังนั้นมันจึงไม่เที่ยง จิตอุปทานจะตอบว่า เราเองหรือผู้อื่นนั้น ได้เข้าสู่ภูมิธรรมในระดับอริยบุคคลแล้ว ในระดับนั้น ระดับนี้ ทั้งที่ความจริงนั้น การที่บุคคลจะเข้าสู่อริยบุคคลตั้งแต่ระดับโสดาบันจนถึงอรหันต์นั้น เป็นเรื่องยากมากๆๆๆ เมื่อเข้าถึงแล้วโลกธาตุจะสั่นไหว ผู้ที่อยู่ในระดับอริยบุคคลแล้ว แม้จะอยู่ตรงไหน ก็รับรู้ร่วมกันได้ว่า มีอริยบุคคลเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น วิชชาจิตรู้จึงไม่สามารถนำมาถามภูมิธรรมของอริยบุคคลได้ ขอพึงโปรดระมัดระวัง เพราะจิตมารจะเข้ามาแทรก ทำให้เราหลงได้ (วิปัสสนูกิเลส)

ส่วนพระอริยเจ้าที่รู้แจ้งด้วยญาณทัศนะของท่านเองนั้น จึงแจ่มแจ้งและแน่นอนกว่าวิชชาจิตรู้นี้ จึงขอให้ผู้ที่มีจิตรู้นี้ พึงระวังในความผิดพลาดจากจิตของเราเอง ซึ่งอาจจะทำให้เราก้าวเข้าไปล่วงเกินพระอริยเจ้าได้โดยไม่รู้ตัว และอาจทำให้เราก้าวไปสู่อบายภูมิได้จากอาการหลงในจิตรู้นั้น

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
27 ตุลาคม 2554

.........................................................................................................
เหตุแห่งถ้อยแถลงที่ออกมาจากหัวจิตหัวใจของผมในครั้งนี้ เป็นการยอมรับสารภาพในความหลง "อวิชชา" โดยเฉพาะเกิดจากอาการ "จิตรู้" ที่เราเออออเองหรือเกิดจากอาการผสมโรงกับพยานรับรู้ร่วมกันของท่านอื่นๆ ซึ่งความจริงมันอาจมีทั้งจริงหรือไม่จริงก็ได้ หรืออาจเกิดจากอุปทานก็ได้

อวิชชา ตัวนี้กระมัง ที่ทำให้พ่อแม่ครูอาจารย์ต้องเหน็ดเหนื่อยเดินทางมาโปรดพวกเราถึงที่ โอ้หนอ...ตัวอวิชชานี้ มันช่างเหลือร้ายจริงหนอ มันเนียนจริงหนอ มันนุ่มนวลจริงหนอ มันเกาะกุมจิตใจของเราได้รวดเร็วจริงหนอ จิตของมารมันเสแสร้งเป็นจิตพุทธะมันเป็นอย่างนี้หนอ อาการวิปัสสนูกิเลสมันเป็นอย่างนี้หนอ

โอ้หนอ...อวิชชาตัวนี้ นอกจากมันจะพาเราลงนรกแล้ว มันยังจะพาผู้เดินตามและหมู่พวกของเราเดินหลงทางไปด้วยหนอ มันช่างเหลือร้ายจริงๆ

บุญของเราและเหล่านักรบธรรมยังมี จึงทำให้ได้รับความเมตตาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช ได้มาโปรดให้พวกเราหลุดพ้นจากอาการหลงต่างๆได้ทันเวลา แม้จะยังไม่เกลี้ยงเกลาก็ตาม คงต้องใช้เวลาพอสมควร นี่คือผลจากการแสวงธรรมในวาระธรรมสัญจรครั้งที่ 1 ธรรมที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้สั่งสอนตลอดเวลาและตลอดเส้นทางในครั้งนี้ แม้ท่านไม่ได้บอกตรงๆ แต่อาการรับรู้และอาการสำนึกของผมหรือท่านอื่นๆได้บังเกิดขึ้นตลอดเวลา แม้ผมจะมิได้เอ่ยปากขึ้นมาก็ตาม แต่พ่อแม่ครูอาจารย์หรือคุณแม่ชมก็คงรับรู้ พ่อแม่ครูอาจารย์พยายามเน้นตัว "อวิชชา" ท่านเน้นว่า ผู้หลงผิดนั้นแก้ง่าย แต่ผู้ที่หลงถูกนั้นแก้ยาก โอ้หนอ ตัวเรากำลังหลงถูก หลงถูก หลงถูก ตายแล้ว...เรากำลังหลงถูก... ความสำนึกนี้จึงได้บังเกิดขึ้น และด้วยเหตุจากการสำนึกผิดนี้กระมัง ที่ทำให้คณะหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรได้เสด็จมาโปรดผมในนิมิตเกี่ยวกับการพิจารณา "อวิชชา" เมื่อวันพระแรม 14 ค่ำที่ผ่านมา

พ่อแม่ครูอาจารย์สอนว่า การพูดหรือการแสดงออกมาจากหัวจิตหัวใจ คือการพูดความจริงทั้งที่ถูกและผิด ทั้งที่เป็นความจริงและไม่จริง ออกมาทั้งกาย วาจา และใจ จึงจะได้พบกับความจริง ถ้อยแถลงของผมในครั้งนี้ จึงออกมาจากหัวจิตหัวใจ ไม่ละอายต่อผู้ใดทั้งสิ้น ขอเหล่านักรบธรรมโปรดพิจารณาและน้อมรับการขออภัยจากผมด้วยนะครับ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
27 ตุลาคม 2554

.........................................................................................................
คุณอ๊อด:
ท่านอ.นนต์อย่าได้โทษตนเองเลยครับ เหล่านักรบธรรมทุกท่านมีสติปัญญาตามบารมีแต่ละท่านที่สะสมมา มิได้หลงถูกไปทันทีทันใดจนไม่นำมาตรึกตรองก่อน ผมเชื่อมั่นว่าทุกท่านต้องใช้หลักกาลามสูตร 10 ประการประกอบการพิจารณาใคร่ครวญอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตามผมเองคงยังคง "เคารพ" และ "นับถือ" อ.นนต์ อ.ณัฐชัย และท่านสมบัติ อยู่เสมอครับ
โชคดีเท่าไหร่แล้วที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้มาให้สติปัญญาโดยที่ยังไม่สายจนเกินไป ส่วนผมนั้นก็รู้ตนอยู่ตลอดว่าเป็นแค่ "ปุถุชน" เท่านั้น แต่การก้าวเดินระยะสั้นๆ ไปข้างหน้าดีกว่าหยุดเฉยๆ หรือทำตนลงสู่อบาย นั่นยิ่งห่างไกลความจริงแท้ตลอดกาล

.........................................................................................................
กิเลสซ้อนกิเลส คือ อวิชชา
อัตตาซ้อนอัตตา คือ อวิชชา
รู้ซ้อนรู้ คือ อวิชชา

วิชชา คืออะไร
อวิชชา คืออะไร
ใครเป็นผู้รู้อวิชชา
สิ่งใดจะพาให้พ้นอวิชชา

วิปัสสนาและปัญญาญาณเท่านั้น ที่จะพาให้หลุดพ้นจากอวิชชาได้ โดยอาศัยกำลังจากสมถะสมาธิเป็นกองหนุน ภายใต้การดูแลของพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งจากทางโลกทิพย์และโลกปัจจุบันเป็นผู้สั่งสอน และต้องเป็นผู้ที่รู้จริง เป็นของจริงเท่านั้น จึงจะทำให้เราหลุดพ้นจากอวิชชาได้ บัดนี้ ความจริง ของจริง ผมและเหล่านักรบธรรมได้ค้นพบแล้ว คือ พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโชเจ้า ผู้มาโปรดโลกในช่วงกึ่งกลางพระพุทธศาสนานี้ สิ่งใดที่ผมพอจะตอบแทนบุญคุณของท่านได้ก็คือ ความพยายามที่จะถ่ายทอดธรรมที่ท่านได้แสดงออกมาในวาระต่างๆให้ถูกต้องมากที่สุด พร้อมกับการปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของท่านให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

โชคยังดี ที่ผมยังไม่ได้ล่วงเกินผู้ใดเลย นอกจากล่วงเกินภายในจิตของตัวเอง และไม่มีอาการเสียใจ ดีใจ หรือน้อยใจในสิ่งที่ผ่านมา เพราะเข้าใจในสภาวะของการปฏิบัติธรรม หากเราไม่หลงแล้วจะไปเข้าใจไปรู้อาการหลงนั้นได้อย่างไร จะไปแนะนำคนอื่นได้อย่างไร จะละวางได้อย่างไร มันเป็นอาการของการสำนึกในธรรมที่สมควรต้องแสดงออกมาจากใจ ขอเหล่านักรบธรรมอย่าได้กังวลในอากัปกริยาของผมนะครับ

ดังนั้น ถ้อยแถลงฉบับนี้ จึงเรียนให้ทุกท่านทราบว่า สิ่งใด คำพูดใด ข้อเขียนใด การกระทำใดๆ ของผมในอดีต หากเป็นประโยชน์ผมก็ขออนุโมทนา แต่หากสิ่งใดไม่เกิดประโยชน์หรือทำให้ท่านลุ่มหลงตาม ก็จงตัดมันออกไปเสีย สิ่งที่จะบังเกิดขึ้นในกาลข้างหน้า ผมจะพยายามกระทำให้เป็นไปตามคำสอนของพระพุทธองค์และพ่อแม่ครูอาจารย์ให้มากที่สุด ผมจะแยกระหว่างความเห็น ประสบการณ์ และความจริงจากคำสอนให้ชัดเจน จะได้ไม่สับสน แต่มิได้หมายความว่า จะทำให้ทุกคนเกร็งจนไม่กล้าเขียนข้อความใดๆออกมานะครับ ขอให้เป็นไปตามปรกติ ในความคิด ความเห็นของเราก็แสดงได้เต็มที่เหมือนเดิม แต่หากเป็นคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์เราค่อยระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเดิมนะครับ

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
27 ตุลาคม 2554

.........................................................................................................
นาคน้อย:
คงเป็นสิ่งที่ให้เราเรียนรู้ครับ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ครับ ยังให้ความเคารพเหมือนเดิมทุกประการครับ
.........................................................................................................
ซึ๊งบน
เพียงแค่ 1 นาทีก็เป็นอดีตไปแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านสอนเราให้อยู่ กับชั่วขณะจิตหนึ่งคือปัจจุบันครับ ยังไงท่านดร.นนต์ก็เป็นพี่ใหญ่ในกลุ่มนักรบธรรม ที่ทุกคนให้ความเคารพนับถือเหมือนเดิมครับ พวกเราทุกคนต้องการให้ท่าน ดร.นนต์เป็นผู้นำ เป็นกำลังหลักในการที่จะช่วยพ่อแม่ครูอาจารย์ สร้างศาลาปฏิบัติธรรม วัดภูดานไห ครับผม

ขอน้อมนำคำสั่งสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ เพื่อจักเป็นกำลังใจให้กับลูกศิษย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์ทุกๆท่านครับ (รวมทั้งผมด้วย)

จิตที่ยึดติดกับอดีตเป็นทุกข์ เพราะแก้ไขไม่ได้
จิตที่ยึดติดกับอนาคตเป็นทุกข์ เพราะยังมาไม่ถึง
จิตที่รู้อยู่กับปัจจุบัน ที่เกิดขึ้นแล้ว
ไม่ยึดติดเท่านั้น ที่จะไม่ทุกข์

.........................................................................................................
สมาชิกธรรม:
เหมือนเดิมครับท่านดร.นนต์.....ท่านผู้เป็นพี่เลี้ยงพี่ใหญ่ใจดีของเหล่านักรบธรรมแห่งภูดานไหมิเปลี่ยนแปลง.....ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเครื่องทดสอบกำลังใจของนักปฎิบัติซึ่งต่างคนต่างพบเจอในเหตุการณ์ที่แตกต่างกันไป เมื่อพบแล้ว ผ่านแล้วก็ยังจะมีสิ่งใหม่ๆเข้ามาเพื่อทดสอบกำลังใจอยู่เรื่อยไปไม่จบสิ้นจนกว่าปัญญาญาณเราจะกล้าแกร่งสามารถตัดกิเลสและอวิชชาให้สิ้นไป.....ซึ่งเป็นจุดที่เหล่านักรบธรรมปราถนายิ่งนัก

เนื่องด้วยในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาทราบว่าภูมิธรรมของหลายๆท่านได้เลื่อนไหลไต่ระดับขึ้นไปแบบเร็วมากๆ..... ก็ต้องยอมรับว่าเกร็งมากๆครับในการที่จะพูดจะเขียนข้อความอะไรออกไปต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเกรงว่าจะเกิดบาปโดยไม่ตั้งใจ.....มาถึงวันนี้รู้สึกโล่งใจผ่อนคลายลงมากเลยหละครับท่านดร.นนต์(พี่ใหญ่ใจดี)ปีใหม่นี้ขึ้นภูปฎิบัติธรรมจะแจกอะไรดีคร๊าบ.......
...
ต้องขอบคุณและอนุโมทนากับมุฑิตาจิตของเหล่านักรบธรรมทุกท่าน ที่แสดงออกต่อผมด้วยความบริสุทธิ์แห่งจิตใจของทุกท่าน
.........................................................................................................
ดร.นนต์:
ถ้อยแถลงทั้งหลายที่ผมได้แสดงออกไปนั้น เป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง เป็นการพัฒนาทางจิตอีกอย่างหนึ่ง เป็นการตีกิเลสหรือกวนกิเลสให้มันฟูขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง เพื่อจะได้เลือกตัดกิเลสในส่วนที่มันฟูขึ้นมาเสียก่อน ก้อนใดโผล่ขึ้นมาจะจะเราก็รีบตัดมันออกอย่างจะจะเช่นเดียวกัน ส่วนก้อนใหญ่ที่เหนียวหนืดเราก็ค่อยกวนค่อยกระเทาะมันออกมา สักวันหนึ่งก้อนใหญ่นั้นมันต้องพ่ายแพ้เราอย่างแน่นอน ผมกำลังเรียนรู้ "อวิชชา" คือ กิเลสซ้อนกิเลส อัตตาซ้อนอัตตา รู้ซ้อนรู้

นักรบธรรมทั้งหลาย อย่าได้กังวลใดๆเลยเกี่ยวกับตัวผม อาการที่ผมแสดงออกไปนั้น มันเป็นเพียงอาการที่เกิดจากการเรียนรู้สภาวะทางธรรม เป็นอาการสะเทือนทางธรรม เป็นวิทยาทาน และเป็นธรรมทาน ตามสติปัญญาของผมที่มีอยู่ในขณะนี้ ความเศร้าโศกเสียใจหรือดีใจในสิ่งต่างๆนั้น มันหายไปจากผมนานแล้ว ยังเหลือไว้แต่อาการสั่นสะเทือนทางธรรมเป็นระลอกๆเท่านั้น เพราะจุดดำในดวงจิตของผมมันได้เลือนหายไปนานแล้ว

ท้ายสุด ผมต้องขอบคุณทุกท่าน ที่เป็นส่วนหนึ่งในการแสดงออกทางธรรมจากหัวจิตหัวใจ สมกับเป็นศิษย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช การยกแหขึ้น ต้องยกพร้อมๆกัน แหนั้นจึงจะไม่หย่อนยาน เช่นเดียวกัน สภาวะทางธรรมและสภาวะทางจิตของพวกเราก็ต้องถูกยกไปพร้อมๆกัน ไม่มีใครเป็นผู้นำ ไม่มีใครเป็นผู้ตาม เราจะเดินไปพร้อมๆกัน

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
28 ตุลาคม 2554

.........................................................................................................
แจกใจเป็นลำดับหนึ่ง
แจกวัตถุมงคลเป็นลำดับสองครับ

.........................................................................................................
คุณอ๊อด:
หลวงปู่ดู่ วัดสะแก เคยกล่าวกับศิษย์ว่า
ติดวัตถุมงคลดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล
สำหรับผมตอนนี้ อะไรที่เป็นมงคล ผมเลือกไว้ก่อนล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นทางรูปหรือทางนาม

ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ผมถือเป็นหลักการดำรงชีวิต ซึ่งปุถุชนอย่างผมสามารถทำได้อย่างไม่ลำบาก และที่แน่ๆ ไม่ตกนรก แต่จะให้ถึงพระนิพพานเมื่อไหร่นั้น ก็ต้องค่อยๆ เก็บหน่วยกิตไปเรื่อยๆ ครับ อาจจะเป็นหลายล้านชาติก็ได้

.........................................................................................................
IT Man:
อาการหลงดี อาการติดในอวิชชาทั้งหลายนั้น หากไม่ได้ครูบาอาจารย์ ผู้เคยเคี่ยวเข็ญกันมานับภพชาติไม่ถ้วน (ดั่งช้างพลาย ย่อมกลัวนายควาญช้าง) ยากยิ่งนักที่จักได้สติกลับคืนมา คงเป็นบุญของผมกับท่าน ดร.นนต์ที่ท่านสู้อุตส่าห์หนี...ลงมาช่วย ลงมาโปรดเหล่าศิษย์ที่จักก้าวล่วงสู่อบายภูมิโดยไม่รู้ตัว

ท่านพูดเปรยๆในเช้าวันแรก (ที่ 21 ต.ค.) ที่ผมคุยกะครูชาติแบบทีเล่นทีจริงโดยไม่รู้ตัวว่า "ระวังเด้อโยม อาตมาเคยเห็นมามากแล้ว ที่ความคิดพาคนลงนรก มันไม่ต้องรอให้ตายไปก่อนค่อยลงนรก มันพาลงไปนรกตั้งแต่ขณะคิดกันเลย"

ผมพะวงและตกใจอย่างยิ่ง เพราะเราไม่ได้เดินทางไกลมาเพื่อจะลงนรกนะ จึงสบโอกาสถามท่านว่าจักทำอย่างไรดีขอรับ ท่านก็ได้เมตตาสอนว่า "อย่าทำอีก! ธรรมดาของเหม็น แม้มือเราไปแตะต้องเพียงนิดหน่อยเราก็รู้ว่าเหม็น เมื่อรู้แล้วต้องรีบชำระล้าง อย่าไปแตะต้องมันอีก อย่าไปเล่นกับมัน ดุจดั่งไฟ เมื่อเรารู้ว่ามันร้อน ก็อย่าไปแตะต้องมัน บุญกับบาปแยกแยะกันชัดเจน "บาป" แม้เราจักไม่รู้(อวิชชา) ว่าที่เราคิดหรือกระทำมันเป็นบาป อย่างไรมันก็เป็นบาป ดังนั้นการนำเรื่องราวของพระอริยะเจ้า พระโพธิสัตว์ หรือคุณธรรมทางพระพุทธศาสนามาพูดเล่นนั้นไม่ได้" (เรียบเรียงคำพูดใหม่จากความทรงจำ)

ในเช้าวันนั้นท่านโปรดต่อว่า... พุทธพยากรณ์นั้น พระองค์ทรงตรัสแล้วเป็นหนึ่ง ไม่มีสอง ผู้ที่ทำเหตุให้สมควรจักได้ตามเหตุ ท่านถึงจักพยากรณ์ให้ได้ว่าผู้นั้นจักได้ตามนั้น(สัจจะอธิษฐาน) วาจาของท่านไม่มีเหลาะแหละเหลวไหล ตรัสอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฯลฯ

เรื่องฤทธิ์เรื่องเดชนั้น มันเป็นของโลก มันเป็นของเล่น มันเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วมากของพระอริยะเจ้า เมื่อท่านได้ปริญญามาแล้ว จักไปสนใจเล่นอะไรกะเด็กอนุบาล คุณธรรมเพียงขั้นพระโสดาบัน ท่านไม่จำเป็นต้องห้อยพระ หาเครื่องรางของขลังดอก เพราะกายของท่านเป็นธาตุกายสิทธิ์อยู่ในตัวอยู่แล้ว พระโสดาบันจึงไม่ใช่เพียงละสังโยชน์ 3 ตามตำรา ความจริงมีมากกว่านั้นยิ่งนัก อารมณ์เคืองโกรธ ขุ่นมัวแทบไม่มีเลย ฯลฯ

คุณแม่ชมถาม(กิเลส)ผมบ่อยๆระหว่างการเดินทางกลับ ว่า...ตื่นหรือยังลูก? ตื่นหรือยัง? ทั้งๆที่ผมเบิกตาลืม ผมก็บอกว่าตื่นแล้วครับแม่ - เมื่อท่านรับรู้ว่าเราตื่นแล้วและอาจจะกังวลใจ ท่านถึงได้พูดปลอบประโลมว่า ธรรมดาต้นไม้นั้นรากฐานแข็งแรง ลำต้นตรงสวยเด่นงามดีอยู่ เพียงแต่มีบางกิ่งที่ยื่นออกนอกแนวทางไปหาขวากหนาม ตอนนี้...ได้ดัด ได้แต่ง ให้กลับมาเป็นปกติแล้ว ขอให้มีกำลังใจมุ่งมั่นปฏิบัติต่อไปนะลูก
(ปรับปรุงมาจากคำพูดของคุณแม่ชม)

ธรรมดาคนเรา หากพูดถึงอดีตชาติก็พูดถึงแต่ความยิ่งใหญ่ของตัวเอง กลับไม่สอดส่องดูเลยว่า ตัวเองเคยตกนรกขุมไหน เคยเป็นสัตว์อะไรมาบ้าง มัวแต่ทะนงตนว่าอยู่สูง เปรียบดั่งภาชนะ แม้ทำด้วยทองคำกลับแตกหักง่าย สู้ภาชนะที่ทำด้วยกะลามะพร้าวก็ไม่ได้ น่าแปลกใจดีแท้...
(ปรับปรุงมาจากคำพูดของคุณแม่ชม)

การก้าวเดินในการปฏิบัติธรรมของนักรบธรรม ภายใต้พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช จักต้องสง่างาม ทั้งภายนอกและภายใน เหมือนปฏิปทาของท่าน ทำอะไรอย่าให้กระเทือนถึงท่าน เปรียบดั่งการหลอมทองคำให้เป็นพระพุทธรูป จักต้องมีแต่ทองคำเท่านั้น อย่าให้มีสิ่งแปลกปลอมเจือปนนะลูก
(ปรับปรุงมาจากคำพูดของคุณแม่ชม)

ธรรมะสั่งผม ราวๆตี 2 ครึ่ง (ก่อนลงไปนอน แล้วเดินทางต่อในตี 3 ครึ่ง)
พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านพูดอย่างอิดโรยจนผมสะเทือนใจมาถึงตอนนี้...ที่ท่านยังไม่ยอมพักหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวันและคืนที่ 23-24 ต.ค. ว่า...
การแสดงความคิด ความเห็นในระหว่างที่เรายังไม่รู้ทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง ต้องใช้คำพูดที่ว่า ตัวเราเป็นเพียงผู้ศึกษา ยังไม่ใช่นักปฏิบัติ หรือผู้รู้ เพราะมีคนที่คอยติดตาม คอยปฏิบัติตามเราอยู่ ในขณะเดียวกันก็มีผู้ที่คอยจ้องจักทำร้ายหรือกระทืบซ้ำเติมเราอยู่ มีทั้งเทพบุตรมาร มีทั้งมนุษย์ที่ใช้คำพูดดีๆแต่ใจเป็นมาร มารมันไม่ยอมให้เราหลุดพ้นจากอำนาจของมันไปได้ง่ายๆ นรก มนุษย์ สวรรค์ พรหม ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้อำนาจของมารทั้งนั้นเลย

กราบนอบน้อมบูชาพระคุณถึงพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโชด้วยความเคารพสูงยิ่ง

กราบ กราบ กราบ
กราบ กราบ

IT Man / 28 ต.ค. 2554
.........................................................................................................
ครูชาติ:
เช้าวันนี้ผมรู้สึกดีใจปิติจนขนลุกซู่ เมื่อมาอ่านข้อความต่างๆ ของแต่ละท่าน จึงขออนุญาตยกข้อความของท่าน ดร.นนต์ และของคุณสันติ มาประกอบ
ยินดีกับท่าน ดร.นนต์ ด้วยนะครับที่ท่านเข้าใจสภาวะธรรม สามารถเข้าใจคำว่า "อวิชชา" และหันมาใช้ปัญญาพิจารณาธรรมตามสภาวะที่เป็นจริง ตอนแรกผมและนักรบธรรมหลายท่านก็ลุ้นอยู่ว่าท่านจะผ่านได้หรือเปล่า หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าคุณสันติ และคุณพิเชษฐ์หายไปจากเว็บบอร์ดไปเลย ซึ่งผมก็ได้กราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์เป็นระยะ ท่านก็บอกว่าท่าจะพยายามลองดู หากเขามีวาสนา และบุญบารมียังมีอยู่ คุณงามความดีทั้งหลายจะทำให้เขามีความเห็นไปในทางที่ถูกต้องได้ ก็เป็นจริงดังที่ท่านกล่าว เพราะพ่อแม่ครูอาจารย์ได้เดินทางไปโปรดโดยตรง และก็มีคณะหลวงปู่เทพโลกอุดรมานิมิตให้อีก นี่แหละพระธรรมมารักษาคุณดีย่อมมีสิ่งรักษา... ลองถามดูคุณอ้าน ดูนะครับบุญกุศลได้ช่วยให้เขาผ่านพ้นวิกฤตเหตุการณ์สูนามิที่ญี่ปุ่น เห็นพ่อแม่ครูอาจารย์เล่าให้ฟังว่า ตอนแรกก็งงว่าทำให้เขาให้ออกจากงานที่ญี่ปุ่น พอกลับมาอยู่ที่บ้านได้ไม่นานก็เกิดเหตุการณ์สูนามิที่ญี่ปุ่น จากนั้นก็มาสมัครสอบและได้ทำงานที่ ม.ราชภัฏมหาสารคาม รายละเอียดคงให้เจ้าตัวคือคุณอ้านมาเล่าให้ฟังอีกที....ท่าน ดร.นนต์ ก็เช่นกันหากหลงผิดผิดแล้วกลับตัวทันยังไม่สาย เพราะเป็นอดีตไปแล้ว ให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น อดีตเก็บเอาไว้เตือนตนไม่ให้ทำอีกเท่านั้น ต่อไปนี้กองทัพธรรมของเราก็เดินหน้าต่อไปได้แล้ว...พวกเรานักรบธรรมทุกคนจะถือเอาเหตุการณ์นี้มาเป็นคติเตือนตน และต้องใช้ปัญญาให้มาก และพวกเราทุกคนยังเคารพและนับถือท่านดร.นนต์ เช่นเดิม พร้อมที่จะให้ท่านดร.นนต์ เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรมที่จะร่วมกันสร้างบารมี โดยมีพ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช เป็นผู้นำ คอยชี้แนะแนวทางถูกผิด เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมก็มีถูกบ้างผิดผิดผู้ที่อยู่สูงกว่าเราเท่านั้นจะรู้....
ขออนุญาตนำข้อความของคุณสันตที่กล่าวว่า "พ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าฯ ชื่อ พ.สุรเตโช ข้าฯขอตั้งจิตอธิษฐาน ไม่ว่าจะเกิดหรือดับอีกกี่ภพกี่ชาติ จะขอกราบเป็นศิษย์ของท่านและจักเดินตามรอยบาทของท่าน ทุกภพทุกชาติ ตราบจนกระทั่งถึงซึ่งความหลุดพ้นทั้งหลายทั้งปวงจากกิเลส เหตุแห่งทุกข์" ข้าพเจ้าก็ขอตั้งจิตอธิษฐานเช่นเดียวกับคุณสันติดังข้อความข้างต้น และผู้ที่จะช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์ได้มีเพียงพ่อแม่ครูอาจารย์เท่านั้น ข้าพเจ้าขอมอบกาย ถวายแด่ท่าน และจะไม่อะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าธรรม จะยึดเอาคุณพระพุทธ คุณพระธรรม และคุณพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งตลอดไป....
การประพฤติปฏิบัติต้องประกอบด้วยสติปัญญา ปัญญาเท่านั้นที่จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญาและทำเหตุให้สมผล ทำไปเรื่อยๆ ไม่ท้อรับรองคงได้รับผลแน่นอน....ขอให้ทุกท่านจงเจริญในธรรม.... 
.........................................................................................................
IT Man:2 พ.ย.'54,09:27 AM 
การปฏิบัติสมาธิของผมภายหลังออกพรรษารู้สึกจะรวนๆ พ่ายแพ้ต่อกิเลสนั้นง่าย(แต่ก็ถือว่ายากกว่าปกติแต่ก่อนมา) ตั้งแต่ได้ตั้งหลักใหม่ ก็ได้ศึกษาทบทวนจุดบกพร่องของตนเองที่ผ่านมาช่วงเข้าพรรษา เห็นการปฏิบัติก้าวหน้าเข้าถึงระดับองค์ฌาน ตอนนั้น...การจะคิดหรือทำอะไรมันเป็นไปดั่งใจคิด(แค่คิด ยังไม่พูดนะ)ประดุจดั่งพรหมประกาศิตหรือวาจาสิทธิ์เลยทีเดียว การนั่งภาวนาก็เกิดนิมิตสอนตัวเอง แสงสีต่างๆ การสามารถมองเห็นหรือสัมผัสสิ่งลึกลับทั้งในปัจจุบันและในอดีตชาติหรือกายทิพย์ จึงทำให้มีกำลังใจในการฝึกปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นอาการของกิเลสตัณหาราคะมันก็แทบไม่ปรากฏมีหรือเหลือศูนย์เลยทีเดียว ทำให้เกิดอาการที่ปัจจุบันที่เรียกว่าอาการหลงดี ติดดี เกิดอวิชชาไม่รู้แจ้ง รู้เพียงบางส่วนก็คิดว่ารู้มาก คิดว่าตัวเองก้าวหน้าไปบ้างแล้ว แท้ที่จริงมันเป็นเพียงทางผ่าน ของแถมของการปฏิบัติธรรมระดับสมาธิ มันยังไม่ใช่ระดับวิปัสสนา หรือการซักฟอก ซักล้างกิเลสที่มันถูกหมักถูกดองไว้ในดวงจิตนี้เลย

ในเมื่อตั้งหลักใหม่ได้แล้ว จึงเข้าใจแล้วว่าสมาธิเป็นหนึ่งองค์ประกอบในการวิปัสสนา โดยมีรากแก้วคือศีล หากศีลบริสุทธิ์จริงๆ จักทำให้มีความมั่นใจและปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้าไปในทางที่ดี การพิจารณาธรรม ธรรมชาติ ทั้งจากกายของเราเอง สิ่งรอบข้าง จักต้องตั้งอยู่ในบรรทัดฐาน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เสื่อมไปเรื่อยๆ ไม่ยึดติด รู้สมมุติ แลสรรพสิ่งไม่ใช่ของเรา ทั้งมิใช่ของเขา แต่เป็นของโลกในที่สุดก็จักเป็นอนัตตาทั้งสิ้นไป

การพูดหรือเขียนออกไปโดยความเข้าใจว่าเช่นนี้ เกิดจากการทบทวนตัวเองใน 2-3 เดือนที่ผ่านมา ประกอบกับศึกษาประวัติหลวงพ่อทูล ธรรมะหลวงปู่เครา (โยคีดำ) แล้วมาประมวลกับธรรมะพ่อแม่ครูอาจารย์และคุณแม่ชม จึงได้เข้าใจว่าตามที่ว่ามานี้

การตั้งหลักของแต่ละคนต้องใช้เวลาปรับปรุงแก้ไข ดังนั้นโปรดอย่าได้ตกกะใจว่าบอร์ดทำไมมันเงียบเหงา (อาจจะเหงาเพราะญาติธรรมหลายๆท่านหนีน้ำอยู่ก็มีส่วนด้วย) ก็อยากให้กำลังใจสำหรับทุกๆท่านที่ประสบทุกข์ที่เป็นของจริงอยู่นี้ อันที่จริงไม่ต้องรอให้น้ำท่วม พวกเราก็ทุกข์ของมันอยู่แล้วตามธาตุขันธ์ ตามสภาวะการณ์ต่างๆ น้ำท่วมจึงถือว่าเป็นของแถม ให้เราเรียนรู้ เข้าใจ เบื่อ! ไม่อยากกลับมารับทุกข์นี้อีก จึงขอปฏิเสธ นรก สวรรค์ พรหม แต่ขอกลับมาเป็นมนุษย์ผู้เป็นปฏิปักษ์กับกิเลส เพื่อจะกำจัดไอ้ตัวอาสวะตัวเหนียวหนืดแต่มวลมันเล็กกว่าอะตอม(เพราะไม่รู้จะเปรียบกับอะไรดี)นี้ให้สิ้นซากไปจากใจเรา จึงขอจองเวรมันไปทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะตายไปข้างใดข้างหนึ่งทีเดียวเพื่อนเอย...

ลืมบอกไปว่า อาวุธที่จักใช้ประหัตประหารกิเลสนั้นคือความมี ศีล-สติ-สมาธิ-ปัญญา-ความเพียร ความรู้เท่าทันกิเลส
ปัญญา: มิใช่ปัญญาในตำราใดๆในโลก แต่เป็นปัญญาอันแหลมคมที่เกิดจากการปฏิบัติ เรียนรู้ ฝึกฝนของเราเอง เอวัง.

.........................................................................................................

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

42: ภาพดวงจิตในห้องพระ

บันทึกภาพไว้เมื่อ 19 ต.ค. '54 เวลาประมาณ 18:00 ก่อนออกเดินทางไปร่วมธรรมะสัญจร

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

41: บารมี 30 ทัศ

.... การเจริญพระกรรมฐานทุกคนหวังพระนิพพานนี่ถูกต้อง แต่ว่าความจริงนิพพานนี่ถ้าจะไปได้จริงๆ ต้องมีบารมีเต็ม ถ้ามีบารมีบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่สามารถไปนิพพานได้ ตายไปเป็นพรหมได้ เป็นเทวดาเป็นนางฟ้าได้ แต่ยังเข้าพระนิพพานไม่ได้

องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ให้เราสร้างให้มันเต็มนั้น ก็คือสร้างกำลังใจ ปลูกฝังกำลังใจให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์ เราก็มาวัดดูกำลังใจของเราว่าอยู่ในระดับใด เพราะการสร้างบารมีก็มีอยู่ ๓ ขั้นด้วยกัน

ขั้นที่ ๑ บารมีต้น
ก็จะขอเรียงกำลังบารมีให้ฟังสักนิดหนึ่ง บารมีนี่มี ๑๐ แบ่งเป็น ๓ ขั้น จึงเรียกบารมี ๓๐ แต่ความจริงก็มี ๑๐ อย่าง บารมีต้น พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า บารมีเฉย ๆ บารมี ท่านแปลว่า เต็ม แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ควรจะแปลว่า กำลังใจเต็ม

ถ้าคนที่มีบารมีต้นยังมีการบกพร่องในศีลอยู่มาก ถ้าบังเอิญบารมีต้นเต็มจะเคร่งครัดในศีล เริ่มมีการเคร่งครัด ก็ยังมีการพลาดอยู่ เพราะยังไม่เป็นพระโสดาบัน แต่ทว่า เราจะชวนให้ทาน ชวนรักษาศีลเขาทำได้ ถ้าชวนเจริญกรรมฐาน พวกนี้บอกไม่ไหว กำลังใจไม่พอที่จะเจริญกรรมฐาน แม้แต่กรรมฐานเบื้องต้นเขาก็ไม่ไหว คือพอใจขั้นศีลกับทาน

ขั้นที่ ๒ อุปบารมี
พอบารมีอย่างกลางที่เรียกว่าอุปบารมี อุป แปลว่า เข้าไปใกล้มั่น คือว่าเข้าไปใกล้จะเข้าเขตนิพพาน ท่านที่มีบารมีเป็นอุปบารมี นี่พร้อมในการเจริญกรรมฐาน พร้อมในการทางฌานโลกีย์ แต่ว่าถ้าแนะนำว่าปฏิบัติอย่างนี้ไปนิพพานได้ เขาบอกว่าไม่ไหว ฌานโลกีย์พร้อม แต่ว่าทำเพื่อไปนิพพานทำไม่ได้ ทำไม่ไหว กำลังใจไม่พอ คือจะพอใจแค่ฌานสมาบัติ

ขั้นที่ ๓ ปรมัตถบารมี
ทีนี้ถ้าบารมีของบุคคลใดเป็นปรมัตถบารมี อันดับแรกจะยังไม่เข้าใจเรื่องนิพพาน หรือความเข้าใจว่านิพพานสูญ อาจจะขี้เกียจไป ต่อ ๆ มาเริ่มมีความเข้าใจนิพพานขึ้น คิดว่านิพพานเป็นแดนของความสุข เราต้องการนิพพานโดยเฉพาะ นี่เป็นปรมัตถบารมี ก็เป็นอันว่า ถ้าถึงปรมัตถบารมี จะพอใจพระนิพพาน อันนี้เราก็ต้องไปวัดกำลังใจของเราเองว่า พอใจในระดับหรือขั้นใด ถ้าหากว่าเรามีบารมีถึงขั้น “อุปบารมี” เราก็เร่งรัดเป็น “ปรมัตถบารมี” ได้ ไม่ใช่ต้องจมอยู่แค่นั้น มันสามารถสร้างต่อไป ที่ท่านเรียกว่า บารมี ๓๐ ประการ คนที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องมีบารมีทั้ง ๑๐ ประการนี้ครบถ้วน และถึงขั้นที่สุดเต็มอัตรา

ดังนั้น คนที่มีบารมีต้นนี่จะเก่งแค่ทานกับศีลเป็นอย่างเก่ง
ถ้าอุปบารมีก็จะเก่งแค่ฌานสมาบัติ จิตใจพอใจมาก แต่พูดเรื่องนิพพานไม่เอา
แต่คนที่มีบารมีเข้าถึงปรมัตถบารมีเท่านั้น จึงจะพอใจในพระนิพพาน
อย่างถ้าเรามีแค่เพียงอุปบารมี ก็เกิดเป็นเทวดาและพรหมนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว ถ้าเป็นปรมัตถบารมียิ่งหนักมากขึ้น เป็นอันว่าอุปสมานุสสติ นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ คือนึกไว้ว่าเราเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ก็หาที่สุขไม่ได้เหมือนกัน คือมันไม่จบ เป็นเทวดา ไม่อยู่เป็นเทวดาตลอดไป เป็นพรหมก็ไม่ได้อยู่เป็นพรหมตลอดไป เมื่อหมดบุญวาสนาบารมี ก็ต้องลงจุดที่ดีที่สุด มีจุดเดียวคือนิพพาน เราต้องการไปนิพพาน

ดังนั้น เนื่องจากบารมี ๑๐ เป็นเครื่องมือสำคัญมาก หรือเป็นบันไดสำคัญในการก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยะบุคคล 


ทีนี้คนที่ไปนิพพานจริงๆ ในสังโยชน์ ๑๐ ตัดข้อเดียวคือข้อต้นที่เรียกว่า สักกายทิฏฐิ หรือตามศัพท์ที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสาวก เช่น ท่านพระพาหิยะว่า “พาหิยะ เธอจงอย่าสนใจในรูป” นี่ตัดรูปตัวเดียว หรือที่ท่านตรัสกับพระติสสะว่า “ติสสะ ร่างกายนี้ในไม่ช้าก็จะมีวิญญาณไปปราศแล้ว เป็นฯของที่เขาทอดทิ้งเหมือนกับท่อนไม้ไร้ประโยชน์” ฟังเพียงเท่านี้พระติสสะก็เป็นพระอรหันต์ ก็รวมความว่าการเป็นพระอรหันต์ นี่ตัดที่รูปตัวเดียว คือที่ร่างกาย ....

พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

40: ศรัทธา ความหวัง การอนุรักษ์:เขาคิชฌกูฏ

ศรัทธา ความหวัง การอนุรักษ์:เขาคิชฌกูฏ
Last Updated on Thursday, 11 February 2010 04:13
Written by Green
Thursday, 11 February 2010 01:19
ยอดเขาสูงราว 1,085 เมตรจากระดับน้ำทะเล อยู่สูง อยู่กลางป่าอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ กับเรื่องราวปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สอดคล้องกับ ตำนานทางพระพุทธศาสนา”ยอดเขาพระบาทแห่งเขาคิฌชกูฏ”

Khitchakut hd 001 ศรัทธา ความหวัง การอนุรักษ์:เขาคิชฌกูฏ
…ยอดเขาสูงราว 1,085 เมตรจากระดับน้ำทะเล อยู่สูง อยู่กลางป่า เป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ และมีเรื่องราวของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทางธรณีวิทยาที่กลายมาสอดคล้องกับ ตำนานทางพระพุทธศาสนา“ยอดเขาพระบาทแห่งเขาคิชฌกูฏ”
…ตัวผมเองได้มีโอกาสได้เดินทางไปเขาคิชฌกูฏเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องสถานที่ความนิยมและศรัทธาของเขาคิชฌกูฏแห่งนี้คงไม่ต้องบรรยายให้มากความ หลายคนไปแล้วสมหวังหลายคนไปแล้วก็ยังหวังอยู่วันนี้ในฐานะ หนึ่งนักท่องเที่ยวหนึ่งความเห็นผมจึงอยากนำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ของเขาคิชฌกูฏแห่งนี้มาเล่ามาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน รวมทั้งขอสอดแทรกความรู้สึกนึกคิดของผมเองที่เห็นทั้งแนวโน้มของปัญหาและการ ดำรงไว้ซึ่งความเชื่อและศรัทธา…
khaokhitchakut s 001 ศรัทธา ความหวัง การอนุรักษ์:เขาคิชฌกูฏ
…หลายคนคงจะพอทราบกันบ้างว่าเขาคิชฌกูฏแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของ “อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ” โดยพื้นที่อุทยานแห่งนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวและมุมพักผ่อนสวย ๆ ที่น่าสนใจอยู่หลายแห่งเช่น น้ำตกกระทิง, น้ำตกคลองช้างเซ, น้ำตกคลองไพบูลย์ หรือจะเป็นมุมของบึงน้ำขนาดย่อม ๆ ที่อยู่บริเวณสถานที่กางเต๊นท์ให้นักท่องเที่ยวได้มาพักผ่อนกัน ซึ่งโดยมากแล้วนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเลยไปยังเขาคิชฌกูฏทันทีโดยไม่ค่อย ได้แวะมาที่อุทยานแห่งนี้ ครั้งหน้าหรือใคร ๆ หากมีเวลาเหลือพอก็อย่าลืมแวะมาเข้าตัวอุทยานแห่งชาติกันสักหน่อยนะครับ บรรยากาศที่ตัวอุทยานแห่งนี้ร่มรื่นจริง ๆ… (ขอโทษที่ไม่ได้ถ่ายภาพมา เนื่องจากไปฟังบรรยายจากเจ้าหน้าที่) ^ ^
…เดิมที่พื้นที่ของเขาคิชฌกูฏแห่งนี้นั้นไม่ได้ เป็นของอุทยานแห่งชาติมาแต่แรก โดยพื้นที่เหล่านั้นเป็นของชาวบ้านมาก่อนแต่เนิ่นแต่นาน และขนบธรรมเนียมประเพณีสักการะนมัสการนั้นชาวบ้านก็ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็น เวลานานแล้ว.แต่เนื่องจากสมัยก่อนการเข้าถึงยังเป็นไปได้ยาก ลำบาก ปัญหาและแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดผลเสียต่อสภาพแวดล้อมจึงยังไม่น่าส่งผลมาก สักเท่าไหร่ ผิดกับปัจจุบันที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและจากการที่ผมได้เข้าฟังบรรยายรับ รู้เรื่องราวจากเจ้าหน้าที่อุทยานจึงได้พบว่าปัญหาที่เลี่ยงไม่ได้และได้รับ ผลกระทบมากที่สุดก็คือ “ขยะ” O_o
khaokhitchakut s 004 ศรัทธา ความหวัง การอนุรักษ์:เขาคิชฌกูฏ
…ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ตามวันเวลาและสภาพเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันหมด ส่งผลให้ปริมาณขยะสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกเช่น ห้องน้ำ ซึ่งยากต่อการควบคุมแม้ว่าจะมีการจัดให้อยู่ในพื้นที่ของอุทยานฯแล้วก็ตาม แต่การดำเนินงานต่าง ๆ ก็ทำได้แค่เพียงส่วนหนึ่งเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับจำนวนและปริมาณของผู้มาเยือนและที่สำคัญไปกว่านั้นคือ “การเข้ามาทีหลังของอุทยานที่มาหลังชาวบ้าน”…
…ว่ากันง่าย ๆ เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ พื้นที่และหลายสิ่งหลายอย่างรวมทั้งวิถีรูปแบบเป็นของชาวบ้านมาก่อน ดังนั้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเข้ามาของอุทยานฯ การดำเนินงานประสานงานบางอย่างจึงติดขัดไม่ลื่นไหลอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งในการร้องขอจากชาวบ้านในการดูแลควบคุมปัญหาปริมาณขยะ หรือในด้านต่าง ๆ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ยอดเขาพระบาทเปิดให้ผู้ศรัทธาได้มานมัสการสักการะ นั้นมีเพียงแค่ “2 เดือนเท่านั้น”
khaokhitchakut s 005 ศรัทธา ความหวัง การอนุรักษ์:เขาคิชฌกูฏ
…จากเดิมทีก่อนจัด 15 วันตามแบบปกติทั่วไป จนต้องเพิ่มเป็น 30 เป็น 45 วันและสุดท้ายปัจจุบันที่ 60 วัน… จึงเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านจะมีรายได้มากที่สุดเลยทำให้มองเรื่อง “การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” เป็นเรื่องถัด ๆ ไปรองจากรายได้และผลตอบแทน จะมีวิธีไหนบ้างที่จะช่วย ให้สภาพแวดล้อมและการอนุรักษ์เป็นไปได้ในลู่ทางที่ดีขึ้น
…สำหรับในมุมมองผมแล้วงานนี้ถ้าจะให้รอแต่ทางอุทยานฯช่วยเหลือฝ่ายเดียวคงใช้ เวลาอีกสักร้อยปีเป็นแน่ เพราะอุทยานฯ ทุกวันนี้เองก็ยอมรับแบบตรง ๆ ว่าที่มีนักท่องเที่ยวมาเข้าอุทยานฯ มากขึ้นก็เพราะเป็นผลพลอยได้จากการเดินทางมาสักการะของนักท่องเที่ยวจากเขาคิชฌกูฏ จากคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ “ขนาดอุทยานฯ ยังต้องพึ่งชาวบ้านเลย “…
khaokhitchakut s 010 ศรัทธา ความหวัง การอนุรักษ์:เขาคิชฌกูฏ
….ดังนั้นสิ่งที่ตอบได้ดีที่สุดน่าจะมีอยู่ 2 ข้อในความคิดของผมคือ นักท่องเที่ยวคุณภาพ และ ทางวัดที่เป็นเหมือนแหล่งศูนย์กลางของชาวบ้านและผู้มาสักการะ
...นักท่องเที่ยวคุณภาพสำหรับผมไม่ต้องมีอะไรมากขอแค่ 3 ข้อก็พอ…
-1. ไม่ทำลาย – แค่นี้ก็เข้าข่ายอนุรักษ์แล้ว
-2. ดูแลและใส่ใจ – ช่วยกันสอดส่องหาหนทางแก้ไขเพื่อบอกต่อไปสู่หนทางที่ดีขึ้น
-3. มีสำนึกในการท่องเที่ยว – ข้อนี้ยิ่งง่ายใหญ่เพราะแค่ขยะในมือ 1 ชิ้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่าคุณจะทำอย่างไร มีสำนึกแค่ไหนกับขยะชิ้นนั้น
…ทั้งหมดนี้คือปัญหาแรกที่เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงและผมเองก็ได้เห็นได้เจอกับตัวเองตลอดทางเดินขึ้นเขาคิชฌกูฏแห่งนี้…
khaokhitchakut s 007 ศรัทธา ความหวัง การอนุรักษ์:เขาคิชฌกูฏ
…ประการ ที่สองที่จะทำให้สภาพแวดล้อมเสื่อมลงอย่างช้าที่สุด(เพราะจะให้ดีขึ้นคงยาก) ผมมองว่าทางวัดน่าจะเข้ามามีบทบาทมากกว่านี้ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของทั้งชาวบ้านและผู้มีแรงจิตศรัทธาการบอกกล่าวหรือ ขยับตัวอะไรสักนิดน่าจะส่งผลดีกลับมาบ้าง แต่เหตุผลนี้คงจะเป็นไปได้โคตรยากเพราะทางวัดเองคงไม่มาเปิดกระทู้นี้อ่าน รวมทั้งชาวบ้านก็คงไม่ได้มาเข้าอ่านอะไรในอินเตอร์เนทอยู่แล้ว ทุกอย่างเลยต้องย้อนกลับไปที่ข้อแรกคือ คุณภาพของนักท่องเที่ยว ถือซะว่าเราช่วยเพิ่มอีกสักคนหรือบอกต่อกันไป Pay It Forward นี่แหละครับคือหนทางที่ดีที่สุดแล้ว ปลูกฝังที่ตัวเองและคนของเรานั่นแหละ …
khaokhitchakut s 011 ศรัทธา ความหวัง การอนุรักษ์:เขาคิชฌกูฏ
…ย้อนมองข้ามปัญหาเรื่องขยะและสิ่งแวดล้อมไป ผมขออีกสักเรื่องที่ คาใจ ผมมากคือเรื่องของ “ความหวังและศรัทธา” จากคำบอกเล่าและสถิติที่ได้มาจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เมื่อปี 2551 ยอดนักท่องเที่ยวที่เดินทางสู่เขาคิชฌกูฏโดยประมาณ 690,000 คน ตลอดช่วงเวลา 60 วัน และล่าสุดปี 2552 ที่ผานมายอดเพิ่มเป็น 800,000 คนด้วยระยะเวลาเท่ากัน…คงไม่ต้องคิดนะครับว่ายอดต่อไปจะเฉียดใกล้ล้านอีก สักแค่ไหน หากสภาพเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น รายได้และสภาพกระเป๋าของชนชั้นรากหญ้าลดลง…ความหวังและศรัทธาจึงสวนทางเพิ่มขึ้น …เนื่องจากไม่มีอะไรให้หวัง หมดหวัง ไม่มีอะไรให้มั่นใจได้ จึงต้องหันเข้าหาสิ่งยึดเหนี่ยวยึดมั่นทางใจ แต่จะมีสักกี่คนที่ได้อย่างที่หวังแลศรัทธาไว้ …
…สิ่งที่จะทำให้ความหวังและศรัทธาเป็นจริงขึ้นมาคง จะดีที่สุดคือ “หันมามองตัวเอง ก้มหน้าก้มตา ทำมาหากินกันต่อไป โดยมีชาติให้ยืน มีศาสนาให้นับถือ มีพระมหากษัตริย์ไว้เคารพ” เพื่อไว้เป็นความหวังและกำลังใจในวันที่ไร้ที่พึ่งพิง เพื่อว่าสักวันวงล้อแห่งความหวังและศรัทธาจะหมุนมาลงที่เราบ้าง
khaokhitchakut s 014 ศรัทธา ความหวัง การอนุรักษ์:เขาคิชฌกูฏ
…จากการบริจาคร่วมทำบุญปัจจัยตามกำลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชนและผู้มีแรงจิตศรัทธา จะมาพร้อมด้วยเสียงตอบกลับแทบทุกครั้งไปว่า “บริจาคเงินวันนี้ 500 บาท กลับบ้านไปขอให้ร่ำให้รวยได้เงิน 500 ล้าน นะแม่ ๆ นะหนู ๆ ” ฟังดูเผิน ๆ อาจไม่ต้องคิดอะไรมากแค่คำอวยพรกลับมา…แต่สำหรับผมมันเหมือนเป็นการทำร้าย และเป็นการปลูกฝังให้คนพลั้งเผลอและหวังเชื่องมงายกันแบบผิด ๆ ต่อไป… ลองคิดดูนะครับว่าเด็ก ๆ หากได้ยินแบบนี้ถูกปลูกฝังแบบนี้มาจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า จะมีบ้างไหมที่จะได้ยินว่า “บริจาค 500 วันนี้ ขอให้ร่างกายแม่ ๆ หนู ๆ แข็งแรงสุขภาพใจบริสุทธิ์ เป็นคนดีไปอีก 500 วันพันปีเลยนะ”…ให้ได้รู้ว่าผลของการให้นั้นอยู่ที่ “ความสุขในใจมากกว่าเงินทอง”…
…พาลให้นึกถึงคำจากนักปราชญ์โบราณที่เคยกล่าวไว้ว่า “…หากแต่ไปด้วยจิตศรัทธา มุ่งมั่น มิมีทรัพย์ไปบริจาค จักมิได้รับผลบุญอะไรบ้างเชียวหรือ….”
…แต่ก็ต้องยอมรับกันตรง ๆ ล่ะครับว่าสำหรับทุกวันนี้ ปัจจุบันนี้ มันคือวันที่ วัตถุเดินทางแซงหน้าจิตใจไปแล้ว และดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่สัมผัสและจับต้องได้ง่ายดายกว่าเรื่องราวของจิตใจ…
khaokhitchakut s 017 ศรัทธา ความหวัง การอนุรักษ์:เขาคิชฌกูฏ
…แต่อย่างไรก็ตามรอยพระพุทธบาทที่ยอดเขาคิชฌกูฏ แห่งนี้ยังคงตั้งมั่นอยู่ที่แห่งนี้ต่อไป ทั้งในด้านความเชื่อและในด้านวิทยาศาสตร์ที่ส่งผลมาจวบจนทุกวันนี้ ผู้มีจิตศรัทธาผู้ที่เลื่อมใสที่ต่างเดินทางมาเพื่อนมัสการกราบไหว้ขอพร ขอให้ได้ในสิ่งที่ตนหวังไว้ หลายคนเคยมาแล้ว หลายคนยังไม่เคยมา หลายคนไปแล้วกลับมาเพราะยังไม่ได้ดั่งหวัง แต่หลายคนไปแล้วและยังคงกลับมาอยู่เสมอเพราะได้ดั่งหวัง ก็สุดแท้แต่กันไป จะอย่างไรก็ดีสุดท้ายแล้วก็ต้องฝากถึงนักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางมาให้ช่วย กันรักษาสถานที่แห่งนี้ไว้ให้ดีที่สุดด้วยนะครับ …เพราะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์รอยพระพุทธบาทยอดเขาคิชฌกูฏแห่งนี้ก็จะยังคงอยู่คู่ผืนแผ่นดินไทยไปอีกนานเท่านาน
khaokhitchakut s 018 ศรัทธา ความหวัง การอนุรักษ์:เขาคิชฌกูฏ
…ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ… สุดท้ายนี้ขอฝากเรื่องของการอนุรักษ์รักษาสภาพสิ่งแวดล้อมไว้ด้วยนะครับ ทั้งที่เขาคิชฌกูฏแห่งนี้และทุก ๆ สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองไทย บ้านเมืองผืนป่าเป็นของเราอยู่ในมือของพวกเราทุกคนช่วยกันดูแลและทำเพื่อ ประโยชน์สูงสุดต่อ ๆ ไปด้วยกันเถอะครับ
…เดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ ที่อยากไป และช่วยกันอนุรักษ์หวงแหนสิ่งแวดล้อมไว้ให้อยู่นาน ๆ … สวัสดีครับ / ฟอร์ซ่านุ
ป.ล. ขอขอบคุณ ททท.สำหรับการเดินทางครั้งนี้ และอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏสำหรับข้อมูลและเรื่องราวต่าง ๆ


การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานระยอง (ระยอง จันทบุรี)
153/4 ถนนสุขุมวิท ต.ตะพง อ.เมือง จ.ระยอง 21000
โทรศัพท์ : 0-3865-5420-1, 0-3866-4585 โทรสาร : 0-3865-5422

อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ ต.พลวง อ. เขาคิชฌกูฏ จ. จันทบุรี 22210
โทรศัพท์ 0 3945 2074 โทรสาร 0 3945 2069 (VoIP) 

อีเมล: khaokhitchakut_np@hotmail.com

การแก้ไขปัญหาการชม Blog ผิดปกติ

เรียนเพื่อนธรรมทุกท่าน,
อันเนื่องมาจากใน Blog ของผม มีการนำรูปภาพส่วนใหญ่นำเข้ามาจากบอร์ดหลวงปู่แหวน ทำให้การแสดงผลไม่สมบูรณ์ 
แต่ท่านสามารถแก้ไขได้โดยติดตั้ง Google Chrome แทน Browser ตัวเดิม 
ตามภาพที่แสดงด้านล่างครับ


การแสดงผลไม่สมบูรณ์ใน Browser IE,Firefox ฯลฯ

ติดตั้ง Google Chrome เพื่อแก้ปัญหา

การแสดงผลภาพสมบูรณ์ใน Google chrome

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

39: พระวิสุทธิเทพ

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม
หรือ
สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลที่ ๑ 
ปางพระนิพพาน (พระวิสุทธิเทพ)

ถาม : พระวิสุทธิเทพ คือใคร?
ตอบ : พระวิสุทธิเทพ เทวดาผู้บริสุทธิ์
เทวดาเขาแบ่งออกเป็น ประเภทด้วยกัน มี
1. สมมติเทพ คนยกขึ้นเหมือนอย่างกับเป็นเทวดา อย่างเช่น พระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าจักรพรรดิ
2. อุปปัติเทพ บุคคลผู้เกิดเป็นเทวดาเองโดยกำเนิด อย่างเช่นว่า รุกขเทวดา ภุมมเทวดา อากาศเทวดา หรือพรหม แล้วก็
3. วิสุทธิเท เทวดาผู้บริสุทธิ์ คือท่านที่อยู่ในนิพพาน ไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ถ้าพระวิสุทธิ์เทพองค์นี้หลวงพ่อท่านสร้าง ท่านหมายเอาถึงว่าเป็นพระพุทธเจ้า

ถาม : เราบูชาโดยวางอยู่สูงกว่าพระพุทธเจ้าผิดไหม ?
ตอบ : ถ้าหากว่าวางอยู่สูงกว่าไม่ผิด แต่ว่าขณะเดียวกันถ้าคนสงสัยต้องตอบเขาให้ได้

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ (ต่อ) 
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ที่มา:
อัญเชิญรูปภาพมาประดิษฐานเรียบร้อย

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

38: สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม



สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมหรือสมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลที่ ๑
องค์พระพุทธประธานพระเบื้องบน


พระบรมสารีริกธาตุพระสมเด็จองค์ปฐม
กราบ กราบ กราบ
กราบ กราบ

Link ที่เกี่ยวข้อง:

สมเด็จองค์ปฐมวัดพระแก้ว

37: ใครจะประมาทลืมตัวก็ช่างเขา...เราอย่าประมาท

ใครจะประมาทลืมตัวก็ช่างเขา...เราอย่าประมาท
ม้าฝีเท้าดีย่อมทิ้งม้าฝีเท้าเลว...ไว้เบื้องหลัง
ฉันใดก็ฉันนั้น...


เมื่อถึงเวลา...พระเบื้องบนท่านก็ทรงมีพระเมตตาโปรดฯ
ให้กับผู้มีความเชื่อ มุ่งมั่น ศรัทธา มีสัมมาทิฏฐิ โดยเท่าเทียมกัน

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

36: พระมหาเมตตาแห่งพระเบื้องบน

อย่าพึ่งเชื่อ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

  
 
ไหว้พระ...ทำบุญที่วัดพระแก้ว กทม..
ลำดับเหตุการณ์
วันเสาร์ที่ 8 และวันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2554โดยกลุ่มสายธรรม ของเหล่านักรบธรรม(นรธ.)
มีผู้ที่ได้นัดและจะเข้าร่วมในครั้งนี้ 21 + 1 (22) คนนเนื่องจากมีเหตุอุทกภัย(น้ำท่วม)จึงมีผู้มาร่วมในงานครั้งนี้จำนวน 16 ท่าน
วันเสาร์ที่ 8 ต.ค. 2554
เวลาประมาณ 10.00 น
1. ไหว้พระ...ทำบุญที่วัดพระแก้ว กทม..
2. วัดระฆัง
3. สนทนาธรรมที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220557.JPG
Views: 41
Size: 356.6 KB
ID: 1716353 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220558.JPG
Views: 1
Size: 97.9 KB
ID: 1716354 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220561.JPG
Views: 1
Size: 367.9 KB
ID: 1716355
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220564.JPG
Views: 1
Size: 356.1 KB
ID: 1716356 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220565.JPG
Views: 42
Size: 153.5 KB
ID: 1716357 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220568.JPG
Views: 1
Size: 350.2 KB
ID: 1716358
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220569.JPG
Views: 1
Size: 141.4 KB
ID: 1716359 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220575.JPG
Views: 1
Size: 233.3 KB
ID: 1716361 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220583.JPG
Views: 1
Size: 244.6 KB
ID: 1716363
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220585.JPG
Views: 1
Size: 285.4 KB
ID: 1716364 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220595.JPG
Views: 2
Size: 173.9 KB
ID: 1716369 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220604.JPG
Views: 1
Size: 140.8 KB
ID: 1716370
................................................................................................
 
 
วัดระฆัง
................................................................................................
 
สนทนาธรรมที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วาระที่ 1
***พระ....(เบื้องบนมา) 999 องค์
***
พระ....(เบื้องบนมา)มากกว่า 7,300 องค์
***
ฯลฯ

เวลาประมาณ 14.30 น.
***พระเบื้องบนมา...สงเคราะห์ญาติธรรม
-
พิธีรวมอธิฐานบุญของญาติธรรม
-
พิธีรวมอธิษฐานเปิดฌานบารมี
-
พิธีอธิษฐานจิตยกหนี้ให้กับลูกหนี้ในอดีตชาติสืบๆต่อกันมาถึงปัจจุบัน
-
พระเบื้องบน...โมทนา...ให้กับเหล่านักรบธรรมที่ได้ร่วมในพิธีฯ

วาระที่ 2
เวลาประมาณ 21.00 น.
***พระ....(เบื้องบนมา) มากกว่า 1,030 องค์
***
พระ....(เบื้องบนมา) มากกว่า 10,000 องค์
***
ฯลฯ
***
พระเบื้องบนมา...สงเคราะห์ญาติธรรม
-
พิธีรวมอธิฐานบุญของญาติธรรม
-
พิธีรวมอธิษฐานเปิดฌานบารมี
-
พิธีอธิษฐานจิตยกหนี้ให้กับลูกหนี้ในอดีตชาติสืบๆต่อกันมาถึงปัจจุบัน
-
แนะนำสอนขั้นตอนเรียนรู้วิธีการใช้วิชา "จิตรู้" และอื่นๆ
-
พระเบื้องบน...โมทนา...ให้กับเหล่านักรบธรรมที่ได้ร่วมในพิธีฯ
................................................................................................
วันอาทิตย์ที่ 9 ต.ค. 2554
วาระที่ 3
เวลาประมาณ 8:00 น.
***พระเบื้องบนมา...สงเคราะห์ญาติธรรม
***ฯลฯ
- พิธีรวมอธิฐานบุญของญาติธรรม
- พิธีรวมอธิษฐานเปิดฌานบารมี
- สนทนาธรรม
วาระที่ 4
เวลาประมาณ 10:00 น.
***พระ....(เบื้องบนมา) มากกว่า 100,000 องค์
***พระ....(เบื้องบนมา) มากกว่า 500,000 องค์
***ฯลฯ
- พิธีรวมอธิฐานบุญของญาติธรรม
- พิธีรวมอธิษฐานเปิดฌานบารมี
- พิธีอธิษฐานจิตยกหนี้ให้กับลูกหนี้ในอดีตชาติสืบๆต่อกันมาถึงปัจจุบัน
- แนะนำสอนขั้นตอนเรียนรู้วิธีการใช้วิชา "จิตรู้" และอื่นๆ
- พระเบื้องบน...โมทนา...ให้กับเหล่านักรบธรรมที่ได้ร่วมในพิธีฯ
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220651.JPG
Views: 10
Size: 177.4 KB
ID: 1716391 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220652.JPG
Views: 8
Size: 154.5 KB
ID: 1716392 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220658.JPG
Views: 8
Size: 172.7 KB
ID: 1716393
คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220659.JPG
Views: 13
Size: 162.0 KB
ID: 1716394 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220660.JPG
Views: 7
Size: 165.8 KB
ID: 1716395 คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดใหญ่

Name: P1220668.JPG
Views: 4
Size: 255.7 KB
ID: 1716397
................................................................................................
วันอาทิตย์ที่ 9 ต.ค. 2554
เวลา 14:20:10 นาที (ทรงแผ่พระฉัพรรณรังสี)
วาระที่ 5
เวลาประมาณ 13:30 น.
***พระ....(เบื้องบนมา) ... องค์
***พระ....(เบื้องบนมา) ... องค์
***ฯลฯ
- พิธีรวมสร้างบุญบารมี...(บริเวณเจดีย์ทอง)
- พระเบื้องบน...โมทนา...และแผ่ฉัพรรณรังษีลงมาจากเบื้องบน...คุมพื้นที่บริเวณเจดีย์ทอง...และเหล่านักรบธรรมที่ได้ร่วมในพิธีทำบุญ
วาระที่ 6
เวลาประมาณ 14:10 น.
***เหล่าเทวดา-นางฟ้า ... องค์
- มาร่วมโมทนาบุญกับเหล่านักรบธรรม
ผู้เขียน(ดร.ณัฐชัย)ขอโมทนาบุญกับเหล่านักรบธรรมทั้งหลายที่มีจิตยึดมั่นใน ศลี สมาธิ ปัญญา
- ก่อให้เกิดบารมีธรรมที่สูงยิ่งๆขึ้นแบบก้าวกระโดด
- เกิด "จิตรู้" ต่างฝ่ายต่างได้รับผลบุญในอดีตชาติสื่อให้เกิดเป็นพยานซึ่งกันและกัน
- รับรู้และรับทราบถึงเรื่องพุทโธอัปปมาโณ
- รวมไปถึงเรื่องการเวียนไหว้ตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน
- และการสื่อจิตกับพระเบื้องบน...
- รวมทั้งเทคนิคฯต่างๆในการสนทนากับพระเบื้องบน...ฯลฯ
ขอเจริญในธรรม ธรรมสวัสดี
................................................................................................
เมื่อวาน 11 ตุลาคม 2554 เวลาประมาณ 13.30-16.00 น. พระเบื้องบนคือ พระ.....นับหมื่นพระองค์ พระ.....นับหมื่นๆพระองค์ และพระ.....นับ.ๆๆๆ..องค์ ได้เสด็จลงมาโปรดญาติธรรม ซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม จำนวน 4 ท่าน หลังจากเสร็จพิธีเหมือนที่เหล่าสายธรรมได้รับที่กรุงเทพฯเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มีอาจารย์สามท่านได้ปรับภูมิธรรมสูงขึ้น ส่วนอีกหนึ่งท่านต้องรอการบำเพ็ญภาวนาให้ถึงวงรอบเสียก่อน หลังจากนั้นเวลาประมาณ 18.00-19.00 น. พระเบื้องบนได้เสด็จลงมาโปรดคุณโกศล(ลูกศิษย์ผม)แล้ว หลังจากเสร็จพิธีและได้รับการปลดล็อคสัจจะสัญญาและความปรารถนาพุทธภูมิแล้ว ดวงจิตของเขาที่สว่างเคลื่อนไปสู่ข้างบนแล้วเคลื่อนลงสู่ที่ต่ำเพื่อแสดงให้เขารู้ว่า คำอธิษฐานจิตขอลาพุทธภูมินั้นบังเกิดผลแล้ว พระเบื้องบนอนุโมทนาแล้ว ภูมิธรรมของเขาจึงได้ก้าวกระโดดไปอย่างมหัศจรรย์ นี่แหละปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหลังกึ่งพุทธกาล จึงขออนุโมทนากับทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งทั้งหลายย่อมอยู่เหนือเหตุผลของปุถุชนทั่วไป
ผู้ที่อยู่ในกระแสมรรคกระแสผลแล้ว ย่อมรู้อยู่แก่ใจของตนเอง
ถึงแล้ว รู้เอง

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
12 ตุลาคม 2554

................................................................................................